ณ สุสานราชวงศ์ฉินแห่งเมืองหลันเยี่ยน
ข้าราชบริพารกว่าหมื่นคนช่วยกันเคลื่อนย้ายศพของทหารที่ล่วงลับไปยังสุสาน จากการศึกครานี้มีทหารตายทั้งหมดหนึ่งแสนนาย ก้อนหินยักษ์สีดำที่ใช้สร้างเป็นอนุสรณ์ถูกนำมาตั้งเรียงแถว ช่างฝีมือไต่บันไดไม้ไผ่ขึ้นไปก่อนจะบรรจงสลักรายชื่อคนตายลงบนแท่นอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ
บนผิวของอนุสาวรีย์เมืองขนาดใหญ่มีรายชื่อของนักรบแห่งจักรวรรดิกว่าหมื่นนาย
…
“องค์หญิงเสด็จแล้ว!” ทหารองครักษ์ตะโกน
ช่างฝีมือคุกเข่าลงสองข้างทางด้วยความยำเกรง ฉินอินควบม้านำฉู่เหยา ถังเสี่ยวซี เว่ยโฉว ฉินเหยียนและคนอื่นๆ เข้ามายังสุสานราชวงศ์ฉิน เมื่อมาถึงทุกคนทยอยลงจากม้า ฉินอินถกชายกระโปรงและเดินไปทีละก้าว กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ นางเงยหน้าอ่านรายชื่อที่สลักอยู่บนนั้น น้ำตาใสค่อยๆ หลั่งริน “อาอวี่…”
ฉู่เหยาเองก็มองดูรายชื่อที่อยู่บนอนุสรณ์ด้วยแววตาเศร้าโศก “ท่านพี่…”
เช่นเดียวกับถังเสี่ยวซีที่มองชื่อของหลินมู่อวี่ด้วยความอาลัยอย่างเงียบๆ
เว่ยโฉว ฉินเหยียน หลัวอวี่ เฟิงสี่ สี่แม่ทัพของกลุ่มมังกรผงาดคุกเข่าลงหนึ่งข้างและสงบนิ่งไว้อาลัยแก่ผู้นำของพวกเขา
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ชื่อบนอนุสรณ์สะท้อนแสงสีทองเปล่งประกายราวกับต้องการจะบอกเล่าเรื่องราวและวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของบุคคลเหล่านี้ให้ทั้งแผ่นดินได้รับรู้
หลินมู่อวี่
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน
ฉินเหลย
ชวีฉู่
เหล่ยหง
สี่กง
อวี่เหวินเซี่ย
จู้เก่ออวิ๋น
เมิ่งฟาง
หลัวเลี่ย
…
ตามการจัดเรียงของฉินอิน หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหลยคือสามอันดับแรกของคนที่พลีชีพ ชวีฉูกับเหล่ยหงคืออันดับสี่และห้า ตามมาด้วยผู้ว่าการแห่งเมืองห้าหุบเขาสี่กงฝาน อดีตแม่ทัพพอทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยและคนอื่นๆ หนึ่งในนั้นแม่ทัพที่ยศสูงที่สุดคือหลัวเลี่ย รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ คนที่เฟิงจี้สิงไว้วางใจมากที่สุด
“องค์หญิง…”
ซูอวี่เข้าไปประคองฉินอิน “กระหม่อมเชื่อว่าดวงวิญญาณของอาอวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ล่วงลับไปแล้วกำลังเฝ้ามองเราอยู่ และคงจะดีใจมากหากเห็นเรายึดอาณาเขตกลับคืนมาได้”
“ไม่” ถังเสี่ยวซีมองอนุสรณ์และตอบอย่างแน่วแน่ “เสี่ยวอิน ข้ามั่นใจว่าอาอวี่ยังไม่ตาย เขายังอยู่กับเรา ความรู้สึกนี้…ข้ามั่นใจ อาอวี่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”
ฉินอินมองหน้าถังเสี่ยวซีด้วยความสงสัย “เสี่ยวซี…ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า”
“อืม”
ฉินอินมองชื่อหลินมู่อวี่บนแท่นหิน “เขาบอกว่าจะกลับมาหาข้า เขาต้องไม่โกหกแน่นอน”
ซูอวี่กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “มันเป็นเพียงสิ่งที่พวกเจ้าคิดไปเองทั้งนั้น ทุกคนต่างก็เห็นว่าอาอวี่ตายในสนามรบ ซึ่งเป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้”
“ท่านอาอย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ…”
ฉินอินกล่าว “ถึงอย่างไรข้าก็จะรอเขากลับมา”
หลินมู่อวี่เคยกล้าวกับฉินอินเมื่อครั้งต้องแยกจาก ‘ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดข้าจะมาพบเจ้าให้ได้’ เราจะได้พบกันอย่างที่เคยบอกไว้หรือไม่?
“ยายเด็กโง่” ซูอวี่ส่ายหัวเลิกเกลี้ยกล่อมเด็กสาวตรงหน้า
…
วันที่ยี่สิบ เดือนมิถุนายน ปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด ตามปฏิทินของจักรวรรดิ หนึ่งเดือนหลังจากหลิงหนานออกเดินทาง
การสู้รบก็ถูกรายงานกลับมาว่าพ่ายแพ้
…
“ข้าแพ้รึ?” ฉินอินถามด้วยความฉุนเฉียว “เหตุใดจึงพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้?”
คนส่งสาส์นคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น “องค์หญิง…ติงซี่ได้ทำการติดต่อกับอวี่จื้อเทียนแห่งมณฑลเทียนชู่ ให้ส่งกองกำลังสองหมื่นนายไปเข้าร่วมกับติงซี่ ในคืนนั้นทหารทั้งหมดหนึ่งแสนนายถูกนำไปถล่มกองทัพของแม่ทัพหลิงหนานเทียนจนพ่ายแพ้ ทำให้ขณะนี้ท่านแม่ทัพต้องรวบรวมกำลังพลใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
“รวมพลใหม่หรือ?”
ฉินอินหัวเราะ “การรวมพลใหม่ในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดกันเล่า? ส่งสาส์นไปบอกแม่ทัพหลิงหนานเทียนให้ถอนกำลังเสียก่อน ข้าจะให้ท่านซูอวี่ตามไปสมทบ หากพวกอี้เหอยังไล่ล่าเราอีกจะได้ทำการโต้กลับได้”
ซูอวี่ประสานหมัด “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
ถังหลานประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง เพราะหลิงหนานเทียนถูกกำจัด เราจึงต้องรีบแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารคนใหม่ มิเช่นนั้นกระหม่อมเกรงว่า…พวกอี้เหอจะใช้นี้เข้าโจมตีเมืองหลันเยี่ยน หากเวลานั้นมาถึงเราคงทำสิ่งใดไม่ได้อีก”
“ที่ท่านหลานกงกล่าวมาก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ” ฉินอินมองทุกคน “มีแม่ทัพคนใดสามารถนำทัพจักรวรรดิเข้าทำลายความยิ่งผยองของจักรวรรดิอี้เหอได้บ้างหรือไม่?”
ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว เฟิงจี้สิงก็ยังไม่พร้อมทำภารกิจ แม้จะมีทหารเมืองหยาดสายัณห์กว่าพันนาย ทว่าด้วยแม่ทัพที่มีอยู่ก็มีแต่คนธรรมดา ไม่มีความสามารถมากพอจะขึ้นเป็นผู้นำ…
ทันใดนั้น แม่ทัพคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เซี่ยงอวี้ผู้นี้ขออาสาเองพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้” ฉินอินยิ้ม “ท่านเซี่ยงอวี้อยากได้คนเท่าไรหรือ?”
“ไม่มากพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยงอวี้เงยหน้ามองฉินอิน “เพื่อพิชิตเมืองห้าหุบเขา กระหม่อมขอทหารฝีมือดีของท่านหลานกงเพียงห้าหมื่นนายเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
“ห้าหมื่นเองหรือ?”
ฉินอินขมวดคิ้วกล่าว “โปรดท่านแม่ทัพอย่าได้หยอกเล่นในตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้”
“ห้าหมื่นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยงอวี้กล่าวย้ำ “หากกระหม่อมไม่สามารถพิชิตเมืองห้าหุบเขาได้ด้วยกองกำลังห้าหมื่นนาย กระหม่อมจะขอน้อมรับโทษตามกฎทหารพ่ะย่ะค่ะ”
“ย่อมได้”
ฉินอินพยักหน้า “หากท่านยืนยันเช่นนั้นข้าก็จะส่งกองทัพให้ทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
หลังจบการหารือ ซูมู่หยุนและซูอวี่ก็ไปยังหลังตำหนักเพื่อพบกับฉินอิน
“ท่านตามีสิ่งใดอยากกล่าวหรือเจ้าคะ?” ฉินอินนั่งลงก่อนจะยิ้มถาม
ซูมู่หยุนพยักหน้าก่อนจะประสานหมัด “เสี่ยวอิน เจ้ารู้สถานการณ์ที่มณฑลดาราหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
“หลังจากเซี่ยงอวี้เข้ายึดครองมณฑลดารา เขาทิ้งแม่ทัพที่เชื่อใจได้ไว้คอยปกป้องเมืองเหลิ่งซิงกับเมืองสำคัญต่างๆ และรับสมัครทหารม้าใหม่โดยใช้ข้ออ้างเพื่อขยายความแข็งแกร่งของจักรวรรดิ และไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้กระทรวงกลาโหมทราบ”
ฉินอินพยักหน้า “ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“ทว่าหากปล่อยไปเช่นนี้ อำนาจของถังหลานก็จะเพิ่มขึ้น ตอนนี้เมืองชีไห่รับสมัครทหารเพิ่มไปแล้วแสนนายและอยู่ระหว่างฝึกฝน บวกกับทหารม้าอีกสามหมื่นที่รับเพิ่มอีก ทำให้กองกำลังของถังหลานแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก หากครานี้เซี่ยงอวี้ออกไปจัดการกับพวกอี้เหอได้ ข้าเกรงว่า…เมืองห้าหุบเขาก็คงไม่พ้นตกไปอยู่ในมือของถังหลานอีกเช่นกัน” ซูมู่หยุนกล่าวด้วยความกังวล “ต่อให้เราส่งทหารเข้าไปเพื่อแทรกแซงอำนาจทางทหารในมณฑลดาราตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ถังหลานคงไม่ยอมให้เราเข้าถึง”
ฉินอินตอบ “ข้าทราบเจ้าค่ะ ทว่าตอนนี้เราทำได้เพียงเชื่อมั่นในตัวท่านหลานกง มิเช่นนั้นจะมีผู้ใดกล้าขับไล่กบฏจากอี้เหอให้จักรวรรดิเราได้อีกเล่า?”
ซูมู่หยุนถอนหายใจกล่าว “เอาเถิด…ตอนนี้ศพของกองทัพองครักษ์กว่าสามหมื่นนายที่หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟก็ถูกย้ายมาไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิแล้ว หากช่วงบ่ายเจ้าไม่มีธุระสำคัญอันใด ก็ควรตามเราไปพบเฟิงจี้สิงเพื่อพากลับเมืองหลันเยี่ยน เขาเอาแต่โทษตัวเองอย่างหนัก หากเจ้าไม่ไปพบเขาด้วยตนเอง ข้าเกรงว่าเขาคงไม่กล้ากลับมาเมืองนี้อีก”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเราไปกันเถิด”
“อืม”
…
ในช่วงต้นฤดูร้อน ณ หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ นกขมิ้นออกบินไปมากับผีเสื้อ
ฉินอินสวมชุดราชวงศ์สีขาวและผ้าคลุมสีกรมท่า ซึ่งเป็นเครื่องแบบเดียวกันกับของจักรพรรดิ นางออกจากเมืองหลันเยี่ยนไปพร้อมกับทหารเมืองหยาดสายัณห์ห้าพันนายและองครักษ์จากกลุ่มมังกรผงาดอีกห้าร้อยนาย ทุกคนสวมชุดคลุมสีขาวพร้อมกับติดสัญลักษณ์ของกองทัพองครักษ์ไว้บนบ่า
ณ ดินแดนอันแห้งแล้ง เฟิ้งจี้สินั่งสิ้นหวัง ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง
เมื่อกองทัพม้าของฉินอินมาถึง นางก็ลงจากม้าและเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงจี้สิง “ผู้บัญชาการ…”
“องค์หญิง…องค์หญิงฉินอิน…”
เฟิงจี้สิงเงยหน้ามองฉินอินผู้เลอโฉมด้วยร่างสั่นเทิ้ม “องค์หญิง…เป็นองค์หญิงจริงๆ ด้วย…”
“หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเล่า?” ฉินอินยิ้มก่อนเดินเข้าไปพยุงแขนเฟิงจี้สิงโดยไม่รังเกียจร่างอันสกปรกเลยแม้แต่น้อย “ท่านเฟิงจี้สิง ข้ามาพาท่านกลับเมืองหลันเยี่ยน”
เฟิงจี้สิงราวกับถูกไฟฟ้าสถิต เขารีบชักแขนกลับก่อนจะถอยหลังคุกเข่าและก้มหัวกระแทกพื้นอย่างแรงหลายครั้งกระทั่งเลือดซึมออกจากหน้าผาก ริมฝีปากสั่นเอ่ยขึ้น “ปล่อยคนบาปอย่างกระหม่อมไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมคงไม่มีหน้ากลับเมืองหลันเยี่ยนอีกแล้ว”
“เหตุใดเล่า?” ฉินอินถามด้วยความเอ็นดู
เฟิงจี้สิงเอ่ยปากตอบด้วยดวงตาแดงก่ำ “สหายศึกทั้งสามหมื่นของกระหม่อมยอมวางอาวุธด้วยความเชื่อใจ ทว่าพวกเขากลับถูกสังหารสิ้น ความผิดมหันต์นี้…กระหม่อมสมควรตายหมื่นครั้ง คนบาปมือเปื้อนเลือดมิบังอาจแบกหน้ากลับเมืองหลวงหรอกพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรด…ปลิดชีพกระหม่อมเสีย หากได้ตายด้วยคมดาบขององค์หญิง กระหม่อมคงตายตาหลับและไม่ต้องมาเจ็บปวดทรมานเช่นนี้อีก”
“ไม่ ท่านยังตายไม่ได้”
ฉินอินมองหน้าเฟิงจี้สิง “หากท่านตายเสียตอนนี้ ใครเล่าจะล้างแค้นให้ท่านพี่อาอวี่? ใครจะล้างแค้นให้ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านฉินเหลย? ฉะนั้นท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป…”
เฟิงจี้สิงทรุดเข่าทิ้งร่างลงกับพื้นและร้องไห้คร่ำครวญอย่างทรมานใจ
ขณะเดียวกัน กลุ่มทหารม้าในชุดเกราะทหารอวี้หลินก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าโศก แม่ทัพที่นำขบวนมาเป็นชายชรามีหนวด เขาคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าว “ผู้บัญชาการเฟิง เฒ่าจางผู้นำนี้พาน้องชายมาพบท่าน…”
เฟิงจี้สิงร่างสั่นสะท้านน้ำตาไหลพรากเมื่อได้เห็นจางเหว่ยและกองทหารองครักษ์ “จางเหว่ย…เป็นจางเหว่ยจริงรึนี่ เจ้ายังไม่ตาย!”
แม้จางเหว่ยจะเป็นคนหยาบกระด้าง เขาก็มีด้านอ่อนโยนอยู่เช่นกัน จางเหว่ยคุกเข่าพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม “ท่านลืมไปแล้วหรือผู้บัญชาการ? ก่อนจะออกเดินทางไปภูเขาเทียนชู่ ท่านหลินมู่อวี่ขอให้ท่านแบ่งทหารหนึ่งพันนายไว้ช่วยป้องกันเมือง เป็นเพราะเขา…พวกข้าทั้งหนึ่งพันคนถึงยังอยู่”
“อาอวี่ เจ้าเด็กบ้า”
เฟิงจี้สิงนั่งบนพื้นอย่างเขินอาย คราบน้ำตาเปรอะไปทั่วชุดเกราะอันผุพัง “ข้าขอโทษด้วยสหาย ขอโทษผู้เฒ่าชวี เฟิงจี้สิงผู้นี้ผิดไปแล้ว…ผิดอย่างมิอาจให้อภัยได้”
ฉินอินเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าเฟิงจี้สิงร่างสั่นเทิ้มก่อนจะวางมือลงบนแขนและกล่าว “ผู้บัญชาการเฟิง ตอนนี้เสี่ยวอินได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิฉินแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องกลับไปไถ่บาปของตน โปรกลับไปเมืองหลันเยี่ยนกับข้าเถิด กลับไปรวบรวมกองทัพและขึ้นเป็นแม่ทัพแห่งจักรวรรดิอีกครั้ง ยิ่งท่านสังหารพวกกบฏอี้เหอได้มากเท่าไร ก็เท่ากับได้ชดใช้บาปมากเท่านั้น ท่านจะร่วมมือกับฉินอินผู้นี้อีกสักครั้งได้หรือไม่?”
เฟิงจี้สิงคุกเข่า “เฟิงจี้สิงผู้นี้จะขอติดตามองค์หญิงและภักดีต่อจักรวรรดินี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ!”