ณ สุสานราชวงศ์ฉินแห่งเมืองหลันเยี่ยน

ข้าราชบริพารกว่าหมื่นคนช่วยกันเคลื่อนย้ายศพของทหารที่ล่วงลับไปยังสุสาน จากการศึกครานี้มีทหารตายทั้งหมดหนึ่งแสนนาย ก้อนหินยักษ์สีดำที่ใช้สร้างเป็นอนุสรณ์ถูกนำมาตั้งเรียงแถว ช่างฝีมือไต่บันไดไม้ไผ่ขึ้นไปก่อนจะบรรจงสลักรายชื่อคนตายลงบนแท่นอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ

บนผิวของอนุสาวรีย์เมืองขนาดใหญ่มีรายชื่อของนักรบแห่งจักรวรรดิกว่าหมื่นนาย

“องค์หญิงเสด็จแล้ว!” ทหารองครักษ์ตะโกน

ช่างฝีมือคุกเข่าลงสองข้างทางด้วยความยำเกรง ฉินอินควบม้านำฉู่เหยา ถังเสี่ยวซี เว่ยโฉว ฉินเหยียนและคนอื่นๆ เข้ามายังสุสานราชวงศ์ฉิน เมื่อมาถึงทุกคนทยอยลงจากม้า ฉินอินถกชายกระโปรงและเดินไปทีละก้าว กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ นางเงยหน้าอ่านรายชื่อที่สลักอยู่บนนั้น น้ำตาใสค่อยๆ หลั่งริน “อาอวี่…”

ฉู่เหยาเองก็มองดูรายชื่อที่อยู่บนอนุสรณ์ด้วยแววตาเศร้าโศก “ท่านพี่…”

เช่นเดียวกับถังเสี่ยวซีที่มองชื่อของหลินมู่อวี่ด้วยความอาลัยอย่างเงียบๆ

เว่ยโฉว ฉินเหยียน หลัวอวี่ เฟิงสี่ สี่แม่ทัพของกลุ่มมังกรผงาดคุกเข่าลงหนึ่งข้างและสงบนิ่งไว้อาลัยแก่ผู้นำของพวกเขา

ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ชื่อบนอนุสรณ์สะท้อนแสงสีทองเปล่งประกายราวกับต้องการจะบอกเล่าเรื่องราวและวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของบุคคลเหล่านี้ให้ทั้งแผ่นดินได้รับรู้

หลินมู่อวี่

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน

ฉินเหลย

ชวีฉู่

เหล่ยหง

สี่กง

อวี่เหวินเซี่ย

จู้เก่ออวิ๋น

เมิ่งฟาง

หลัวเลี่ย

ตามการจัดเรียงของฉินอิน หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหลยคือสามอันดับแรกของคนที่พลีชีพ ชวีฉูกับเหล่ยหงคืออันดับสี่และห้า ตามมาด้วยผู้ว่าการแห่งเมืองห้าหุบเขาสี่กงฝาน อดีตแม่ทัพพอทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยและคนอื่นๆ หนึ่งในนั้นแม่ทัพที่ยศสูงที่สุดคือหลัวเลี่ย รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ คนที่เฟิงจี้สิงไว้วางใจมากที่สุด

“องค์หญิง…”

ซูอวี่เข้าไปประคองฉินอิน “กระหม่อมเชื่อว่าดวงวิญญาณของอาอวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ล่วงลับไปแล้วกำลังเฝ้ามองเราอยู่ และคงจะดีใจมากหากเห็นเรายึดอาณาเขตกลับคืนมาได้”

“ไม่” ถังเสี่ยวซีมองอนุสรณ์และตอบอย่างแน่วแน่ “เสี่ยวอิน ข้ามั่นใจว่าอาอวี่ยังไม่ตาย เขายังอยู่กับเรา ความรู้สึกนี้…ข้ามั่นใจ อาอวี่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

ฉินอินมองหน้าถังเสี่ยวซีด้วยความสงสัย “เสี่ยวซี…ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า”

“อืม”

ฉินอินมองชื่อหลินมู่อวี่บนแท่นหิน “เขาบอกว่าจะกลับมาหาข้า เขาต้องไม่โกหกแน่นอน”

ซูอวี่กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “มันเป็นเพียงสิ่งที่พวกเจ้าคิดไปเองทั้งนั้น ทุกคนต่างก็เห็นว่าอาอวี่ตายในสนามรบ ซึ่งเป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้”

“ท่านอาอย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ…”

ฉินอินกล่าว “ถึงอย่างไรข้าก็จะรอเขากลับมา”

หลินมู่อวี่เคยกล้าวกับฉินอินเมื่อครั้งต้องแยกจาก ‘ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดข้าจะมาพบเจ้าให้ได้’ เราจะได้พบกันอย่างที่เคยบอกไว้หรือไม่?

“ยายเด็กโง่” ซูอวี่ส่ายหัวเลิกเกลี้ยกล่อมเด็กสาวตรงหน้า

วันที่ยี่สิบ เดือนมิถุนายน ปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด ตามปฏิทินของจักรวรรดิ หนึ่งเดือนหลังจากหลิงหนานออกเดินทาง

การสู้รบก็ถูกรายงานกลับมาว่าพ่ายแพ้

“ข้าแพ้รึ?” ฉินอินถามด้วยความฉุนเฉียว “เหตุใดจึงพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้?”

คนส่งสาส์นคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น “องค์หญิง…ติงซี่ได้ทำการติดต่อกับอวี่จื้อเทียนแห่งมณฑลเทียนชู่ ให้ส่งกองกำลังสองหมื่นนายไปเข้าร่วมกับติงซี่ ในคืนนั้นทหารทั้งหมดหนึ่งแสนนายถูกนำไปถล่มกองทัพของแม่ทัพหลิงหนานเทียนจนพ่ายแพ้ ทำให้ขณะนี้ท่านแม่ทัพต้องรวบรวมกำลังพลใหม่พ่ะย่ะค่ะ”

“รวมพลใหม่หรือ?”

ฉินอินหัวเราะ “การรวมพลใหม่ในตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดกันเล่า? ส่งสาส์นไปบอกแม่ทัพหลิงหนานเทียนให้ถอนกำลังเสียก่อน ข้าจะให้ท่านซูอวี่ตามไปสมทบ หากพวกอี้เหอยังไล่ล่าเราอีกจะได้ทำการโต้กลับได้”

ซูอวี่ประสานหมัด “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

ถังหลานประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง เพราะหลิงหนานเทียนถูกกำจัด เราจึงต้องรีบแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารคนใหม่ มิเช่นนั้นกระหม่อมเกรงว่า…พวกอี้เหอจะใช้นี้เข้าโจมตีเมืองหลันเยี่ยน หากเวลานั้นมาถึงเราคงทำสิ่งใดไม่ได้อีก”

“ที่ท่านหลานกงกล่าวมาก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ” ฉินอินมองทุกคน “มีแม่ทัพคนใดสามารถนำทัพจักรวรรดิเข้าทำลายความยิ่งผยองของจักรวรรดิอี้เหอได้บ้างหรือไม่?”

ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว เฟิงจี้สิงก็ยังไม่พร้อมทำภารกิจ แม้จะมีทหารเมืองหยาดสายัณห์กว่าพันนาย ทว่าด้วยแม่ทัพที่มีอยู่ก็มีแต่คนธรรมดา ไม่มีความสามารถมากพอจะขึ้นเป็นผู้นำ…

ทันใดนั้น แม่ทัพคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เซี่ยงอวี้ผู้นี้ขออาสาเองพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้” ฉินอินยิ้ม “ท่านเซี่ยงอวี้อยากได้คนเท่าไรหรือ?”

“ไม่มากพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยงอวี้เงยหน้ามองฉินอิน “เพื่อพิชิตเมืองห้าหุบเขา กระหม่อมขอทหารฝีมือดีของท่านหลานกงเพียงห้าหมื่นนายเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

“ห้าหมื่นเองหรือ?”

ฉินอินขมวดคิ้วกล่าว “โปรดท่านแม่ทัพอย่าได้หยอกเล่นในตำหนักเจ๋อเทียนแห่งนี้”

“ห้าหมื่นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยงอวี้กล่าวย้ำ “หากกระหม่อมไม่สามารถพิชิตเมืองห้าหุบเขาได้ด้วยกองกำลังห้าหมื่นนาย กระหม่อมจะขอน้อมรับโทษตามกฎทหารพ่ะย่ะค่ะ”

“ย่อมได้”

ฉินอินพยักหน้า “หากท่านยืนยันเช่นนั้นข้าก็จะส่งกองทัพให้ทันที”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจบการหารือ ซูมู่หยุนและซูอวี่ก็ไปยังหลังตำหนักเพื่อพบกับฉินอิน

“ท่านตามีสิ่งใดอยากกล่าวหรือเจ้าคะ?” ฉินอินนั่งลงก่อนจะยิ้มถาม

ซูมู่หยุนพยักหน้าก่อนจะประสานหมัด “เสี่ยวอิน เจ้ารู้สถานการณ์ที่มณฑลดาราหรือไม่?”

“เจ้าค่ะ”

“หลังจากเซี่ยงอวี้เข้ายึดครองมณฑลดารา เขาทิ้งแม่ทัพที่เชื่อใจได้ไว้คอยปกป้องเมืองเหลิ่งซิงกับเมืองสำคัญต่างๆ และรับสมัครทหารม้าใหม่โดยใช้ข้ออ้างเพื่อขยายความแข็งแกร่งของจักรวรรดิ และไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้กระทรวงกลาโหมทราบ”

ฉินอินพยักหน้า “ดีแล้วเจ้าค่ะ”

“ทว่าหากปล่อยไปเช่นนี้ อำนาจของถังหลานก็จะเพิ่มขึ้น ตอนนี้เมืองชีไห่รับสมัครทหารเพิ่มไปแล้วแสนนายและอยู่ระหว่างฝึกฝน บวกกับทหารม้าอีกสามหมื่นที่รับเพิ่มอีก ทำให้กองกำลังของถังหลานแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก หากครานี้เซี่ยงอวี้ออกไปจัดการกับพวกอี้เหอได้ ข้าเกรงว่า…เมืองห้าหุบเขาก็คงไม่พ้นตกไปอยู่ในมือของถังหลานอีกเช่นกัน” ซูมู่หยุนกล่าวด้วยความกังวล “ต่อให้เราส่งทหารเข้าไปเพื่อแทรกแซงอำนาจทางทหารในมณฑลดาราตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ถังหลานคงไม่ยอมให้เราเข้าถึง”

ฉินอินตอบ “ข้าทราบเจ้าค่ะ ทว่าตอนนี้เราทำได้เพียงเชื่อมั่นในตัวท่านหลานกง มิเช่นนั้นจะมีผู้ใดกล้าขับไล่กบฏจากอี้เหอให้จักรวรรดิเราได้อีกเล่า?”

ซูมู่หยุนถอนหายใจกล่าว “เอาเถิด…ตอนนี้ศพของกองทัพองครักษ์กว่าสามหมื่นนายที่หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟก็ถูกย้ายมาไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิแล้ว หากช่วงบ่ายเจ้าไม่มีธุระสำคัญอันใด ก็ควรตามเราไปพบเฟิงจี้สิงเพื่อพากลับเมืองหลันเยี่ยน เขาเอาแต่โทษตัวเองอย่างหนัก หากเจ้าไม่ไปพบเขาด้วยตนเอง ข้าเกรงว่าเขาคงไม่กล้ากลับมาเมืองนี้อีก”

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเราไปกันเถิด”

“อืม”

ในช่วงต้นฤดูร้อน ณ หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ นกขมิ้นออกบินไปมากับผีเสื้อ

ฉินอินสวมชุดราชวงศ์สีขาวและผ้าคลุมสีกรมท่า ซึ่งเป็นเครื่องแบบเดียวกันกับของจักรพรรดิ นางออกจากเมืองหลันเยี่ยนไปพร้อมกับทหารเมืองหยาดสายัณห์ห้าพันนายและองครักษ์จากกลุ่มมังกรผงาดอีกห้าร้อยนาย ทุกคนสวมชุดคลุมสีขาวพร้อมกับติดสัญลักษณ์ของกองทัพองครักษ์ไว้บนบ่า

ณ ดินแดนอันแห้งแล้ง เฟิ้งจี้สินั่งสิ้นหวัง ผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง

เมื่อกองทัพม้าของฉินอินมาถึง นางก็ลงจากม้าและเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงจี้สิง “ผู้บัญชาการ…”

“องค์หญิง…องค์หญิงฉินอิน…”

เฟิงจี้สิงเงยหน้ามองฉินอินผู้เลอโฉมด้วยร่างสั่นเทิ้ม “องค์หญิง…เป็นองค์หญิงจริงๆ ด้วย…”

“หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเล่า?” ฉินอินยิ้มก่อนเดินเข้าไปพยุงแขนเฟิงจี้สิงโดยไม่รังเกียจร่างอันสกปรกเลยแม้แต่น้อย “ท่านเฟิงจี้สิง ข้ามาพาท่านกลับเมืองหลันเยี่ยน”

เฟิงจี้สิงราวกับถูกไฟฟ้าสถิต เขารีบชักแขนกลับก่อนจะถอยหลังคุกเข่าและก้มหัวกระแทกพื้นอย่างแรงหลายครั้งกระทั่งเลือดซึมออกจากหน้าผาก ริมฝีปากสั่นเอ่ยขึ้น “ปล่อยคนบาปอย่างกระหม่อมไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมคงไม่มีหน้ากลับเมืองหลันเยี่ยนอีกแล้ว”

“เหตุใดเล่า?” ฉินอินถามด้วยความเอ็นดู

เฟิงจี้สิงเอ่ยปากตอบด้วยดวงตาแดงก่ำ “สหายศึกทั้งสามหมื่นของกระหม่อมยอมวางอาวุธด้วยความเชื่อใจ ทว่าพวกเขากลับถูกสังหารสิ้น ความผิดมหันต์นี้…กระหม่อมสมควรตายหมื่นครั้ง คนบาปมือเปื้อนเลือดมิบังอาจแบกหน้ากลับเมืองหลวงหรอกพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรด…ปลิดชีพกระหม่อมเสีย หากได้ตายด้วยคมดาบขององค์หญิง กระหม่อมคงตายตาหลับและไม่ต้องมาเจ็บปวดทรมานเช่นนี้อีก”

“ไม่ ท่านยังตายไม่ได้”

ฉินอินมองหน้าเฟิงจี้สิง “หากท่านตายเสียตอนนี้ ใครเล่าจะล้างแค้นให้ท่านพี่อาอวี่? ใครจะล้างแค้นให้ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านฉินเหลย? ฉะนั้นท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป…”

เฟิงจี้สิงทรุดเข่าทิ้งร่างลงกับพื้นและร้องไห้คร่ำครวญอย่างทรมานใจ

ขณะเดียวกัน กลุ่มทหารม้าในชุดเกราะทหารอวี้หลินก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าโศก แม่ทัพที่นำขบวนมาเป็นชายชรามีหนวด เขาคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าว “ผู้บัญชาการเฟิง เฒ่าจางผู้นำนี้พาน้องชายมาพบท่าน…”

เฟิงจี้สิงร่างสั่นสะท้านน้ำตาไหลพรากเมื่อได้เห็นจางเหว่ยและกองทหารองครักษ์ “จางเหว่ย…เป็นจางเหว่ยจริงรึนี่ เจ้ายังไม่ตาย!”

แม้จางเหว่ยจะเป็นคนหยาบกระด้าง เขาก็มีด้านอ่อนโยนอยู่เช่นกัน จางเหว่ยคุกเข่าพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม “ท่านลืมไปแล้วหรือผู้บัญชาการ? ก่อนจะออกเดินทางไปภูเขาเทียนชู่ ท่านหลินมู่อวี่ขอให้ท่านแบ่งทหารหนึ่งพันนายไว้ช่วยป้องกันเมือง เป็นเพราะเขา…พวกข้าทั้งหนึ่งพันคนถึงยังอยู่”

“อาอวี่ เจ้าเด็กบ้า”

เฟิงจี้สิงนั่งบนพื้นอย่างเขินอาย คราบน้ำตาเปรอะไปทั่วชุดเกราะอันผุพัง “ข้าขอโทษด้วยสหาย ขอโทษผู้เฒ่าชวี เฟิงจี้สิงผู้นี้ผิดไปแล้ว…ผิดอย่างมิอาจให้อภัยได้”

ฉินอินเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าเฟิงจี้สิงร่างสั่นเทิ้มก่อนจะวางมือลงบนแขนและกล่าว “ผู้บัญชาการเฟิง ตอนนี้เสี่ยวอินได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิฉินแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องกลับไปไถ่บาปของตน โปรกลับไปเมืองหลันเยี่ยนกับข้าเถิด กลับไปรวบรวมกองทัพและขึ้นเป็นแม่ทัพแห่งจักรวรรดิอีกครั้ง ยิ่งท่านสังหารพวกกบฏอี้เหอได้มากเท่าไร ก็เท่ากับได้ชดใช้บาปมากเท่านั้น ท่านจะร่วมมือกับฉินอินผู้นี้อีกสักครั้งได้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงคุกเข่า “เฟิงจี้สิงผู้นี้จะขอติดตามองค์หญิงและภักดีต่อจักรวรรดินี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ!”