บทที่ 23 การจับคำลวง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในช่วงกลางวันซูเฉินก็จะเข้าไปเรียนในชั้นเรียน และกลับมาศึกษาค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดกับฉือไคฮวงในตอนกลางคืน วันเวลาของเขาเต็มไปด้วยการศึกษาและการทดลองที่ดุเดือดอีกครั้ง โชคดีที่หลังจากที่เด็กหนุ่มสร้างตาข่ายลมพิสุทธิ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว มือของเขาจึงว่างขึ้นมากจนสามารถจัดการกับภาระงานที่เพิ่มขึ้นได้
ตารางงานที่ยุ่งมากของซูเฉิน ได้ทรมานเหล่าคนที่เฝ้ารอหาโอกาสสอนบทเรียนให้เขาอย่างยิ่ง
เพราะซูเฉินไม่เคยไปที่ไหนเลยนอกจากวนอยู่ในสถาบัน ในทุก ๆ วันเขามักจะอยู่แค่ที่ห้องเรียน หอพลังต้นกำเนิด หรือไม่ก็หอพักของตน และหากซูเฉินมีเวลาว่าง เขาก็จะเดินไปรอบ ๆ หอตำราเพื่อหาข้อมูล ทั้งวันของเขาชีวิตเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยงานให้ทำ
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการจัดการกับเขา ยิ่งซูเฉินทำตัวให้ไม่เป็นที่น่าสังเกตมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเขาจะหาได้ก็ยิ่งจะน้อยลง
วันนี้เองก็เช่นกัน ทันทีเลิกเรียนซูเฉินก็วางแผนที่จะกลับไปยังหอพักของเขา
ศิษย์คนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างเร่งรีบ “ซูเฉิน !”
ซูเฉินจำอีกฝ่ายได้ เขามีนามว่าถังหลิง เป็นศิษย์จากเขตหยกวิไล เขาถือได้ว่าเป็นคนรู้จักของซูเฉินและยังเป็นศิษย์คนหนึ่งที่ไร้สายเลือดเช่นกัน
มีศิษย์จำนวนไม่น้อยในสถาบันที่ไร้สายเลือด นับประมาณ 1 ใน 10 ของศิษย์ทั้งหมด นี่เป็นผลมาจากการรับศิษย์โดยแบ่งตามเขตของสถาบันมังกรซ่อนเร้น และยังสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ที่แห่งนี้เป็นสถาบันสำหรับผู้ที่มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง…
ด้วยเหตุนี้เหล่าศิษย์ไร้สายเลือดในสถาบันจึงมักจะรวมกลุ่มเข้าหากันโดยสัญชาตญาณ
หลังจากที่ซูเฉินเข้ามาสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ไม่นาน องค์กรที่รู้จักกันในชื่อ ‘กลุ่มเหมันต์เหิน’ ก็ได้พยายามเข้ามาชักชวนและรับสมัครเขา ซึ่งเจ้ากลุ่มเหมันต์เหินที่ว่านี้ มันก็เป็นองค์กรที่ก่อตั้งและที่รวมตัวกันของเหล่าศิษย์ผู้ไร้สายเลือด ที่อยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นนี่เอง
ในฐานะผู้ที่สามารถผ่านเข้าสถาบันมาด้วย 10 อันดับแรกจากการสอบของมณฑลสามเทือกเขา ซูเฉินจึงได้รับการยกย่องจากกลุ่มเหมันต์เหินโดยธรรมชาติ และถังหลิงคนนี้ก็เป็นผู้รับผิดชอบในการเชิญชวนเขา
อย่างไรก็ตามจุดหมายของความทะเยอทะยานของซูเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในองค์กรประเภทที่มีเป้าหมายทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงปฏิเสธอีกฝ่ายไป ทว่ากลุ่มเหมันต์เหินเองก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยเขาไป พวกเขาจึงพยายามรับสมัครซูเฉินอีกหลายครั้ง ทำให้เขากับถังหลิงคุ้นเคยกันอยู่พอตัว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายตรงเข้ามา ซูเฉินก็ยิ้มและพูดว่า “พี่ถัง วันนี้มีเรื่องอันใดถึงได้มาหาข้ากัน ? คงจะไม่ใช่เรื่องเข้าร่วมกลุ่มอีกแล้วหรอกนะ ใช่ไหม ?”
ถังหลิงหัวเราะ “ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนใจเจ้า ข้าก็เลือกยอมแพ้ไปแล้ว ไม่ต้องกังวล วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้เจ้าเข้าร่วมกลุ่มกับเรา แต่ข้าก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกลุ่มเหมันต์เหินแม้ว่ามันจะดีมากก็ตาม”
“ทุกคนมีความทะเยอทะยานของตัวเอง” ซูเฉินตอบอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้มองหาข้ากัน ?”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ข้าจึงอยากจะหาเพื่อนสัก 2-3 คนที่สามารถพูดคุยและมาสังสรรค์ด้วยได้ คืนนี้ที่หอฉลองคุณธรรมเป็นอย่างไร ?”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น” ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ข้าต้องขอโทษด้วยช่วงนี้ข้ายุ่งมากจริง ๆ ข้าเกรงว่าข้าคงจะไปร่วมไม่ได้”
การแสดงออกของถังหลิงเปลี่ยนไป “พี่ซู นั่นดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่เลยนะ จริงไหม ? ข้ามาเชิญเจ้าด้วยเจตนาดี แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้า ? เจ้าหมายความว่าอย่างไรแน่ ?”
“ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่มีเวลาว่างจริง ๆ พี่ถังโปรดยกโทษให้ข้าด้วย” ซูเฉินตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“เจ้าจะยุ่งอะไรกันนักเชียว ? มันก็แค่การฝึกฝนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่หรือ ? แค่เวลาไม่ถึงวันไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
ซูเฉินกล่าวอย่างจริงจัง “เสียเวลาไป 1 วันก็คือเสียเวลาไป 1 วัน เสียเวลาไป 10 วันก็คือเสียเวลาไป 10 วัน หากในวันนี้ข้าสามารถสละเวลามาให้พี่ถังได้ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าก็ย่อมต้องสละเวลามาให้พี่หลี่ พี่จาง หรือพี่หวังได้สิจริงไหม ข้าสามารถมีเพื่อนมากมายนับไม่ถ้วนได้ แต่ข้ามีเวลาในการเรียนรู้อยู่ในสถาบันแห่งนี้อย่างจำกัด”
“ในฐานะคนที่ไม่มีสายเลือด ก็นับได้ว่าข้าถูกเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงทิ้งเอาไว้ด้านหลังไปแล้ว หากข้ายังไม่ความพยายามอย่างหนัก มันจะไปมีความหมายใดที่ข้าจะต้องมาเข้าร่วมสถาบันแห่งนี้กัน ? เพียงเพื่อที่จะได้มีสถานะที่เป็นเพียงเปลือกนอกยามเมื่อข้าจากไปหลังได้รับความรุ่งโรจน์แค่ชั่วคราว ? ขออภัย นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”
ถังหลิงโกรธมากจนเขาหัวเราะขึ้น “เจ้า … เจ้า เจ้า ! ข้าแค่ขอให้เจ้ามาสังสรรค์กับข้าด้วยเจตนาดี แต่เจ้ากลับมาสั่งสอนข้า ราวกับว่าข้าตั้งใจมาที่นี่ด้วยเจตนาร้าย ! ได้ ลืมมันไปซะ ! เป็นความผิดของข้าเองที่มารบกวนเวลาในการเรียนรู้และฝึกฝนของเจ้า ด้วยการชวนเจ้าออกไปเที่ยวกินดื่มอันเล็กน้อย ในอนาคตข้าจะไม่มารบกวนอีกต่อไปแล้ว”
พูดจบเขาก็โบกแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ..
เด็กหนุ่มส่ายหัวขณะที่เขาเฝ้าดูถังหลิงจากไป ก่อนที่จะโบกมือเพื่อกระจายทักษะต้นกำเนิดอย่างไร้เสียง
ถังหลิงไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ซูเฉินก็ได้ใช้ทักษะต้นกำเนิดกับเขาไปแล้ว
การจับคำลวง
วิชาจับคำลวงรับรู้ถึงความคิดและความผันผวนจากสภาพจิตใจของเป้าหมาย เพื่อพิจารณาว่าเขาหรือเธอกำลังพูดความจริงหรือไม่ แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกต้องเต็ม 100 บุคคลที่ทรงพลังอย่างแท้จริงนั้นสามารถควบคุมสภาพจิตใจและการเต้นของหัวใจของตนเองได้ ทำให้หัวใจของพวกเขาจะยังคงสงบนิ่งไม่ว่าพวกเขาจะโกหกแบบไหนก็ตาม อย่างไรก็ตามการควบคุมแบบนี้จะทิ้งร่องรอยบางอย่างที่วิชาจับคำลวงสามารถรับรู้ได้เอาไว้ ซึ่งตัวผู้ใช้วิชาเองก็จะต้องมีสัมผัสที่ไวต่อพลังตนกำเนิดอย่างยิ่งด้วย
ด้วยเหตุนี้วิชาจับคำลวงจึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการกลั่นแกล้งศิษย์ผู้อ่อนแอกว่าเท่านั้น หากผู้ใช้มีพลังมากกว่าเป้าหมายมากอัตราความสำเร็จก็จะสูงมากขึ้น หากใช้ในทางกลับกันโดยทั่วไปแล้วมันก็ย่อมจะล้มเหลว
ความแข็งแกร่งของถังหลิงนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าซูเฉิน อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขามีวิชาจับคำลวงและไม่ได้ป้องกันอะไร ดังนั้นซูเฉินจึงได้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการอย่างง่ายดาย
ถังหลิงโกหก !
เขาไม่ได้ซักถามถังหลิงว่าแรงจูงใจที่ทำเช่นนี้คืออะไร เพราะซูเฉินพอจะรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธอีกฝ่ายไปตรง ๆ
ในความเป็นจริง แม้ว่าถังหลิงจะไม่ได้โกหก แต่เด็กหนุ่มก็ตั้งใจจะปฏิเสธอยู่แล้ว
เส้นทางของผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่นั้นทั้งเงียบเหงาและอ้างว้าง แขนเสื้อยาวย่อมระบำได้สวยงาม(1) ไม่ใช่ทัศนคติที่เขาควรจะมี
หลังจากที่ถังหลิงจากไป ซูเฉินก็กลับไปที่หอพักของเขา
ไม่นานหลังจากที่เขาหายตัวไป ถังหลิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เขามาพร้อมกับคน 2 คน
ไป๋อี่หงและชายอีกคนที่มีคิ้วเหมือนดาบ
เขาถูกเรียกว่าไป๋โอว
จิตวิญญาณอัสนีบาตไป๋โอว
“ลูกพี่ลูกน้องข้า เจ้าเด็กคนนี้ไม่ตกหลุมพรางของเรา เราควรทำอย่างไรต่อดี ?” ไป๋อี่หงถามด้วยความเกลียดชัง
แม้ว่าไป๋อี่หงจะเป็นสมาชิกของตระกูลฉางจากภูผาลมศักดิ์สิทธิ์ แต่พ่อของเขาก็เป็นคนของตระกูลจิตวิญญาณอัสนีบาตไป๋
ด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากเกิดมาไป๋อี่หงจึงต้องอยู่กับแม่ของเขา เติบโตขึ้นในตระกูลฉาง และไม่ค่อยได้ติดต่อกับฝั่งตระกูลไป๋
จนกระทั่งเขาเข้ามาในสถาบันและได้เริ่มรู้จักคุ้นเคยกับไป๋โอว
อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉางจากภูผาลมศักดิ์สิทธิ์นั้นเก่าแก่ยิ่งกว่าตระกูลไป๋มากนัก ปู่ของเขาเองก็โกรธแค้นตระกูลไป๋อยู่ไม่น้อย ดังนั้นไป๋อี่หงจึงถูกห้ามไม่ให้สร้างความสัมพันธ์กับตระกูลไป๋ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยสร้างมิตรภาพใด ๆ แก่กันเลย
ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูเฉินได้ทำให้พวกเขามารวมตัวกันโดยไม่คาดคิด
เพื่อแก้แค้น ไป๋อี่หงได้โยนคำตักเตือนของปู่ของเขาทิ้งไปอย่างไม่สนใจ
จิตวิญญาณอัสนีบาตไป๋โอวก็เป็นผู้ที่สามารถผ่านเข้าสถาบันมาด้วย 10 อันดับแรกจากการสอบของมณฑลสามเทือกเขาเช่นกัน แม้ว่าเขาจะอยู่ในอันดับที่ 9 แต่เขาก็พึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งอันดับนั้น ในแง่ของความแข็งแกร่งอย่างแท้จริงจึงถือได้เขามีพลังมากกว่าซูเฉินที่ใช้กลอุบายเล็ก ๆ แทบทุกชนิด
ด้วยประการฉะนี้ จึงกล่าวได้ว่าไป๋อี่หงรอเวลาที่จะสั่งสอนบทเรียนให้แก่ซูเฉินมานานแล้ว
แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซูเฉินกลับออกไปจากสถาบันเพียงครั้งเดียวในวันเดียวกับที่เขาถูกกักขังเท่านั้น หลังจากนั้นมาซูเฉินก็ยังคงอยู่ในสถาบันและไม่เคยก้าวออกไปจากสถาบันเลย
เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้ว 3 เดือน ซูเฉินยังคงไม่ได้ก้าวออกไปจากสถาบันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้คนที่เฝ้ารอเขาออกไปเช่นนั้นเริ่มที่จะหมดความอดทน พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาตัวถังหลิง เพื่อใช้เขาไปหลอกล่อซูเฉินให้ออกจากสถาบัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่า เด็กหนุ่มจะไม่ไว้หน้าถังหลิงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะหว่านเหยื่อไปแล้ว แต่ปลาก็กลับไม่กินเบ็ด
ไป๋อี่หงได้แต่กัดฟันแน่น
ในทางตรงกันข้าม ไป๋โอวกลับสงบกว่ามาก “มันอาจจะไม่ตกหลุมพรางของเรา เพราะยุ่งมากจริง ๆ หรือไม่เช่นนั้นมันก็อาจจะจับได้ว่าถังหลิงโกหก ในระหว่างการสอบของมณฑลสามเทือกเขา คน ๆ นี้ใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ของตน แม้แต่จินหลิงเอ้อร์ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่มัน ถึงจะขาดความแข็งแกร่งแต่ก็มีไหวพริบสูงยิ่งจนไม่ควรจะมองข้าม หากจะกล่าวว่ามันค้นพบข้อบกพร่องบางอย่างในแผนของเรา ข้าก็ไม่แปลกใจเลย”
“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี ? ถ้าหัวหน้ากลุ่มของข้ารู้เข้า ข้าคงจะถูกจับย่างเป็นแน่” ถังหลิงตกใจมาก
ในฐานะสมาชิกของกลุ่มเหมันต์เหิน การช่วยตระกูลสายเลือดชั้นสูงทำร้ายศิษย์ผู้ไร้สายเลือดคนอื่น นับว่าเขาได้ทำบาปร้ายแรงลงไปแล้ว …
กล่าวได้เพียงว่าถังหลิงถูกความโลภบังตาเพราะตระกูลไป๋เสนอผลประโยชน์มาให้มากเกินไป จนทำให้เขาลืมไปว่าอะไรคือหลักการหรืออะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขา
เมื่อได้ยินว่าเขาอาจถูกจับได้แล้ว ถังหลิงก็รู้สึกตกใจสุดขีด ในที่สุดเขาก็เริ่มเสียใจที่ได้ร่วมมือกับไป๋โอว
ไป๋โอวเหลือบมองดูถังหลิงอย่างเหยียดหยาม “ถ้ามันรู้แล้วจะทำไม ? คิดว่าเพียงแค่กลุ่มเหมันต์เหินก็พอที่จะกดดันให้พวกข้าเกรงกลัวซูเฉินได้งั้นหรือ ?”
“เหตุผลเดียวที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นอนุญาตให้กลุ่มเหมันต์เหินดำรงอยู่ได้ตั้งแต่ต้น ก็เพื่อแสดงให้โลกภายนอกเห็นถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตระกูลสายเลือดชั้นสูง หากพวกมันพยายามที่จะมก้าวข้ามขอบเขตของพวกมันออกมา พวกข้าก็จะสอนให้มันได้รู้จักคิดเอง”
ถังหลิงรีบกล่าวเสริมว่า “โดยปกติมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่กลุ่มเหมันต์เหินจะทำอะไรกับตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่ถ้าพวกเขาต้องการลงโทษข้า ข้าก็ยังตกอยู่ในที่นั่งลำบากอยู่ดี”
“เช่นนั้นก็อย่าให้พวกมันรู้สิ ! คิดหาวิธีลากซูเฉินออกมาซะแล้วพวกข้าจะจัดการแก้ปัญหาทุกอย่างเอง แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลอะไรอีก” ไป๋โอวพูดอย่างมืดมน
“ปัญหาคือมันไม่ยอมออกมาเลย เจ้าเด็กบ้านี้ไม่รู้ว่ามันไปหาคะแนนอุทิศกับหินพลังต้นกำเนิดมาจากไหน ดูเหมือนมันจะไม่กังวลเกี่ยวกับทรัพยากรการบ่มเพาะเลยสักนิด แม้ว่าจะเอาอยู่ในสถาบันเป็นครึ่งปี โดยที่ยังไม่ได้รับภารกิจไปทำสักครั้งก็ตาม แต่กลับดูจะอยู่ได้อย่างสบายใจ” ถังหลิงกล่าวด้วยความกังวล
“ก็เพราะมันเป็นศิษย์หน่ออ่อนระดับสอง จึงได้รับคะแนนอุทิศ 100 แต้มและสิทธิพิเศษระดับ 9 มาตั้งแต่ต้น นอกจากนี้มันยังไม่เคยไปที่ใดที่ต้องเสียคะแนนอุทิศเลย มันก็ย่อมจะไม่ขาดแคลนแต้มเหล่านั้นอยู่แล้ว” ไป๋อี่หงกล่าว
“แต่หากมันต้องการที่จะรักษาสถานะของตัวเองในฐานะศิษย์หน่ออ่อนระดับสอง มันก็จะต้องเข้าร่วมการประลองสิ้นปี มิฉะนั้นถึงแม้ว่ามันจะสามารถหลบหนีไปได้ในครั้งนี้ ในอนาคตมันก็จะไม่สามารถทำอะไรได้เพราะขาดแคลนคะแนนอุทิศ” ดวงตาของถังหลิงสว่างขึ้น
“เจ้าหมายความว่าเราจะต้องรอไปจนถึงสิ้นปีงั้นหรือ ?” ไป๋อี่หงไม่ค่อยเต็มใจที่จะยอมรับการตัดสินใจนี้สักเท่าไหร่
“มันทำตัวอย่างกับเต่าที่หมุดอยู่แต่ในกระดองตลอดเวลา นี่จึงเป็นทางเลือกเดียวของเราแล้ว” ไป๋โอวกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ไม่เป็นไร นั่นก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ทุ่มพลังจัดการพวกมันไปทีละคน ว่าแต่ แล้วกับเจ้าเด็กอีกคนที่มีนามว่าอวิ๋นเป้าล่ะ ?”
“มันตรงกันข้ามกับซูเฉินโดยสิ้นเชิง เป็นเพียงคนป่าเถื่อนโดยกำเนิด ข้าไม่เคยเห็นมันอยู่อย่างสงบ ๆ ในสถาบันเลยสักครั้ง มันมักจะออกล่าสัตว์อสูรทั้งวันทั้งคืน การตามหาตัวมันนั้นนับเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง”
“บ้าเอ้ย ! เต่าแล้วยังคนเถื่อน เหตุใดถึงได้มีแต่เป้าหมายที่จัดการได้ยากลำบากเหลือเกิน” แม้แต่ไป๋โอวเองก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดบางแล้ว
*****
(1) 长袖善舞 (ฉาง-ซิ่ว-ช้าน-อู๋) – แขนเสื้อยาวย่อมระบำได้สวยงาม
หมายถึง อำนาจและเงินตราจะช่วยคุณในทุกโอกาส ผู้ที่มีคุณสมบัติที่ดีไม่ว่าจะทำอะไรย่อมได้เปรียบ ดั่งเช่นผู้มีเพื่อนฝูงและเส้นสายอยู่มากมาย