ภาคที่ 2 บทที่ 24 การแก้ปัญหา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 24 การแก้ปัญหา

ซูเฉินไม่รู้ว่าคนจากตระกูลไป๋ได้พบตัวเขาแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้เขาก็คงไม่สนใจ

ในตอนนี้ความสนใจส่วนใหญ่ของเด็กหนุ่มนั้นกำลังมุ่งเน้นไปที่การศึกษาค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด

ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้นั้นมีทั้งลำบากและก็มีทั้งความสุขปน ๆ กันไป ทั้งยังดูเหมือนจะลากยาวไปตลอดกาล แต่มันก็ดูสั้นเช่นกัน

ภายใต้การสั่งสอนของฉือไคฮวง ความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดของซูเฉินก็ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก

การมีอาจารย์ส่วนตัวที่สามารถคอยให้คำแนะนำได้นั้น ถือว่ามีประโยชน์ยิ่ง เพราะอาจารย์ส่วนตัวสามารถบอกสอนหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ไม่มีสอนในชั้นเรียนให้ได้ อีกทั้งพวกเขายังจะช่วยอธิบายเนื้อหาในห้องเรียนที่ไม่เข้าใจให้ หรือกระทั่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบ่มเพาะฝึกฝนในแต่ละวัน

แม้ว่าพลังต้นกำเนิดของหอพลังต้นกำเนิดจะหนาแน่นกว่าที่หอพักมาก แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก เพราะฉือไคฮวงไม่เคยสอนทักษะต้นกำเนิดหรือวิชาจิตวิญญาณให้เด็กหนุ่ม หากแต่ชายชราก็ไม่ได้รั้งอะไรไว้เช่นกัน เพราะเขานั้นได้ทำการสอนทุกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดให้แก่ซูเฉินอย่างหมดไส้หมดพุง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ซูเฉินได้เริ่มตระหนักว่า แท้จริงแล้วความรู้เกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดของเขาตื้นเขินมากเพียงใด

การบ่มเพาะพลังต้นกำเนิดมีทั้งหมด 7 ระดับ ได้แก่ ก่อเกิดลมปราณ กลั่นโลหิต ทะลวงลมปราณ สู่พิสดาร ผลาญจิตวิญญาณ หยั่งรู้ฟ้าดิน และมหาราชัน

ระดับด่านพลังทั้ง 7 ไม่ใช่ลำดับขั้นที่ถูกแบ่งขึ้นแบบสุ่ม ๆ แต่มันคือผลจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเผ่ามนุษย์ในช่วงหลายหมื่นปีมานี้

การจะเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ จำเป็นจะต้องเปิดจุดตานไห่เสียก่อน ส่วนด่านกลั่นโลหิตจำจะต้องจุดไฟโคมใจ และด่านทะลวงลมปราณนั้นจำจะต้องสร้างตำหนักแห่งการรู้แจ้ง

ทั้งหมดนี่คือด่านพลังระดับต้น ๆ ส่วนพวกระดับที่เหนือไปกว่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีเงื่อนไขที่มากขึ้นอีก อาทิ แท่นบงกชทั้ง 7 เปิดหยินและหยาง ครอบครองตำหนักสวรรค์ หรือ 8 ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ทุกขั้นตอนนั้นล้วนลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่ง

ถึงแม้ทุกย่างก้าวจะมีความลึกลับไม่สิ้นสุด ทว่ามันก็นับเป็นความโชคดีของมนุษยชาติ เพราะพวกมันได้ช่วยนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงให้เผ่ามนุษย์ดียิ่งขึ้น

หลายหมื่นปีที่ผ่านมา เผ่ามนุษย์ได้อาศัยพลังแห่งสายเลือดเพื่อก้าวผ่านขั้นตอนเหล่านี้ หากขาดการสนับสนุนจากภายนอกที่มากพอ การจะก้าวไปสู้ระดับถัดไปแค่เพียงระดับเดียวก็เรียกได้ว่ายากลำบากอย่างมาก

ฉือไคฮวงได้อุทิศตัวเองเพื่อความฝันที่ว่าสักวันหนึ่งเผ่ามนุษย์จะสามารถขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และทะลวงด่านการฝึกตนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือด

ในทางตรงกันข้าม ถึงแม้ว่าเหมยอิงปู้ลู่เค่อจะไล่ตามความฝันเดียวกันกับพวกเขา แต่อีกฝ่ายนั้นมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการควบคุมพลังต้นกำเนิดจากภายนอก ดังนั้นแทนที่จะแบ่งเผ่ามนุษย์ออกเป็น 7 ขั้นพลัง เขากลับจำแนกพวกมันออกเป็นรูปแบบพลังต้นกำเนิดที่ซับซ้อน 10 ระดับ และมันก็คือ ระดับ 10 ขีดจำกัดที่แท้จริงของวิชาโบราณอาร์คาน่า

แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างร่างกายของตน เหมยอิงปู้ลู่เค่อเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงพัฒนาทักษะการกำเนิดของเขา

หากผู้ใดสามารถใช้วิชาโบราณอาร์คาน่าระดับ 7 ได้ นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญโบราณอาร์คาน่าระดับ 7 ในทางกลับกัน อะไรที่ตรงกันข้ามจากนี้ก็นับว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง

ส่วนฉือไคฮวงนั้นมีมุมมองที่แตกต่างออกไป สิ่งที่ชายชรามองว่าสำคัญที่สุดคือการเพิ่มความแข็งแกร่งพื้นฐานของแต่ละคน ไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิด

ตราบใดที่คน ๆ หนึ่งสามารถพัฒนาไปถึงระดับ ๆ หนึ่งได้ พวกเขาก็จะถูกจัดประเภทให้เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด โดยที่ไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะมีทักษะต้นกำเนิดที่ตรงกับระดับพลังของพวกเขาหรือไม่

จึงกลายเป็นว่าถึงแม้จุดประสงค์ของทั้ง 2 จะเหมือนกัน หากทว่าแนวทางกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าหรือทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย ก็ล้วนแล้วแต่มีความซับซ้อนและลึกซึ้งในตัวของพวกมันเอง ดังนั้นซูเฉินจึงมีความสุขอย่างมากที่ได้ศึกษาพวกมัน

และในวันนี้ ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเรียนอยู่ ทันใดนั้นเขาก็เห็นฉือไคฮวงเดินเข้ามา

ดูเหมือนว่าชายชราจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและกระวนกระวายใจ

หลังจากที่เขาเดินเข้ามาแล้ว ชายชราก็ตรงไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของค่ายกลขนาดใหญ่ จ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ด้วยสายตาที่ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างสักพักใหญ่ก่อนที่จะส่ายหัวและถอนหายใจออกมา “ การวางยันต์ตรึงกำลังไว้ที่จุดหยางเจียว(1) นั้นจะทำให้ทะเลปราณปั่นป่วนเกินไป แต่หากวางไว้ที่ทะเลปราณมันก็จะทำให้จุดหยางเจียวเกิดความโกลาหล เส้นทางนี้ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน”

ฉือไคฮวงโยนกระดาษที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ในมือของตนทิ้ง แล้วก็จากไป

ซูเฉินเข้าใจได้ในทันทีว่า ‘ตำราเปิดพลังไคฮวง’ คือทักษะต้นกำเนิดที่ฉือไคฮวงกำลังพัฒนาอยู่ และชายชราก็คงกำลังเผชิญหน้ากับจุดคอขวดอีกครั้งแล้ว

ตำราเปิดพลังไคฮวงเป็นทักษะต้นกำเนิดอีกอย่าง นอกเหนือจากค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดที่ฉือไคฮวงได้ค้นคว้า และปรับปรุงอย่างยากขึ้นลำบากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เขาพยายามสร้างทักษะวิชาที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงด่านกลั่นโลหิตได้โดยไม่ต้องใช้สายเลือด

ตึกระฟ้าถูกสร้างขึ้นจากพื้นดินเสมอ(2) เพื่อให้เผ่ามนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัดของสายเลือด มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิธีการเดิมซ้ำ ๆ กันไปตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นมนุษย์มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาไปทีละขั้นทีละจุดแทน

ฉือไคฮวงใช้เวลาหลายปีในการวิเคราะห์ตำราเปิดพลังไคฮวง และได้แก้ไขปัญหาทั้งหลายในเงื่อนไขที่ส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิต จนชายชราอยู่ใกล้ความสำเร็จมากแล้ว อาจกล่าวได้ว่ามีเพียงกระดาษบาง ๆ กั้นระหว่างเขากับเป้าหมายนี้

แต่ถึงกระนั้น เมื่อพูดถึงการบ่มเพาะฝึกตน กระดาษบาง ๆ ที่ว่านี้ก็เปรียบได้ดุจกำแพงที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา !

ยิ่งก้าวหน้าและเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะทะลุทะลวง

นี่คือสถานการณ์ที่ฉือไคฮวงกำลังเผชิญอยู่ แม้ว่าปัญหาส่วนใหญ่ของตำราเปิดพลังไคฮวงจะได้รับการแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาในส่วนสุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขได้

ฉือไคฮวงพยายามคิดกลยุทธ์ทุกรูปแบบ ทว่าวิธีต่าง ๆ ที่ เขาคิดขึ้นมาได้นั้นมันกลับไปขัดแย้งกับแนวทางก่อนหน้า หากเขาต้องการแก้ไขปัญหาในส่วนสุดท้ายนี้ ก็เท่ากับว่าเขาจะต้องยอมแพ้กับทุกสิ่งที่เคยทำก่อนหน้าทั้งหมด แต่ถ้าไม่ผลักดันมันให้ไปต่อ เส้นทางข้างหน้าเกือบทั้งหมดก็จะถูกปิดกั้นโดยทางเลือกที่เขาเคยเลือกเอาไว้ก่อนนี้ และมันก็จะกลายเป็นวงจรที่วนซ้ำไม่รู้จบ

แม้ชายชราจะหาวิธีแก้ปัญหาแบบอื่น ๆ เจอ แต่สุดท้ายเขาก็พบว่ามันยังคงถูกจำกัดอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้อยู่ดี และจำใจต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป

หลังจากที่ฉือไคฮวงจากไป ซูเฉินก็เดินไปหยิบกระดาษขึ้นมาจากพื้น

“ครานี้เป็นยันต์ตรึงกำลัง ?” ซูเฉินรู้ได้อย่างรวดเร็ว

ยันต์ตรึงกำลังเป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพของพลังต้นกำเนิดเป็นหลัก

หากผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนใดต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไม่รับความช่วยเหลือจากสายเลือด มีอยู่เพียงวิธีเดียวนั่นคือการเพิ่มความแข็งแกร่งและการควบคุมพลังต้นกำเนิดของพวกเขา

ดังนั้นแนวคิดพื้นฐาน ของการพัฒนาวิธีการก้าวข้ามสู่ด่านกลั่นโลหิตเพื่อผู้ที่ไร้สายเลือด จึงเป็นการหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังต้นกำเนิดภายในร่างกาย และหลังจากได้รับพลังในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จากนั้นก็ให้พวกเขาคิดหาวิธีในการควบคุมพลังต้นกำเนิดสำหรับตัวเอง

การเสริมสร้างและควบคุม การทำทั้งสองอย่างพร้อมกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

การเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังต้นกำเนิดให้ถึงจุดสูงสุดจำต้องใช้วิธีการต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำให้พลังต้นกำเนิดบ้าคลั่งหรือกระทั่งบีบอัดพวกมันเอาไว้ และอีกหลากหลายวิธี ทว่าเพื่อการนั้นแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างก็ต้องใช้ยันต์พลังต้นกำเนิดจำนวนมากเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

และในการควบคุมพลังดังกล่าว ก็ย่อมจำเป็นจะต้องมีวิธีการเพิ่มเติมอย่างไม่ต้องสงสัย

ตัวอย่างเช่น หากซูเฉินต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทักษะระเบิดเพลิงปักษา เด็กหนุ่มก็จำจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรูปแบบพลังต้นกำเนิดเสียก่อน เขาจึงจะสามารถเพิ่มพลังต้นกำเนิดลงไปในทักษะได้มากขึ้น และจะได้ผลลัพธ์ของแรงระเบิดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

ความแตกต่างก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของระเบิดเพลิงปักษาจะมีเพียงรูปแบบพลังต้นกำเนิดเท่านั้นที่ต้องได้รับการปรับปรุง หรือก็คือซูเฉินที่ต้องมุ่งเน้นก็มีแค่ตัวทักษะเท่านั้น

การเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตคือการเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงร่างกาย มันยากและซับซ้อนกว่าการพัฒนาทักษะเพียงอย่างเดียวหลายเท่าตัว

ยันต์พลังต้นกำเนิดมากมายนับไม่ถ้วนที่สามารถทำให้พลังต้นกำเนิดมีความเสถียรยิ่งขึ้น ยันต์ตรึงกำลังก็คือหนึ่งในยันต์ดังกล่าว การมีอยู่ของมันสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยควบคุมพลังต้นกำเนิด

อย่างไรก็ตาม ฉือไคฮวงกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับตำแหน่งที่จะวางยันต์นี้

เพราะถ้าเขาวางมันไว้ในจุดหยางเจียว พลังต้นกำเนิดในทะเลปราณของเขาจะบ้าคลั่งจนควบคุมได้ยาก แต่ถ้าเขาวางมันไว้ในตำแหน่งของทะเลปราณ จุดหยางเจียวก็จะตกอยู่ในความวุ่นวายทันที

และเนื่องจากการจัดวางยันต์ในการแก้ไขครั้งก่อนนี้ของชายชรา มันก็ทำให้เขาไม่สามารถใช้ยันต์ตรึงกำลัง 2 อันพร้อมกันได้ ดังนั้นหลังจากที่ได้ทดลองพยายามรวมพวกมันทั้งหมดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดเขาก็มีทางให้เลือกเพียงแค่จะยอมแพ้ หรืออาจลองใช้ยันต์เพิ่มความเสถียรอันอื่น ไม่ก็หาวิธีใหม่ ๆ ต่อไป

ในขณะที่ซูเฉินมองดูที่การไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดที่ฉือไคหวงได้ทำไว้ เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขานั้นคุ้นเคยกับมันมาช้านาน

ซูเฉินรู้สึกประหลาดใจ และไม่เข้าใจว่าความคุ้นเคยนี้มาจากที่ไหน หลังจากคิดอยู่นานเขาก็ตระหนักขึ้นได้ว่า แผนภาพการไหลของพลังต้นกำเนิดที่ฉือไคหวงทำเอาไว้นี้ คล้ายคลึงกับรูปแบบพลังต้นกำเนิดระเบิดเพลิงปักษาของเขา !

แม้ว่าทั้ง 2 จะยังมีส่วนที่แตกต่างกัน แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงคล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ ในแง่ของแนวคิดในการแก้ปัญหา

ทั้ง 2 เลือกที่จะใช้วิธีบีบอัดพลังต้นกำเนิดเช่นเดียวกัน ระเบิดเพลิงปักษาใช้ชิ้นส่วนที่บีบอัดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังต้นกำเนิด ส่วนตำราเปิดพลังไคฮวงจะใช้ยันต์จำนวนมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นั้น

และในระหว่างที่พลังต้นกำเนิดกำลังถูกบีบอัดให้มีความเสถียร ส่วนต่าง ๆ ก็จะคอยควบคุมการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในร่างกาย กรุยเส้นทางและปล่อยให้พลังต้นกำเนิดไหลไปได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังต้นกำเนิดเริ่มก่อตัวขึ้นร่างในที่สุด

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงพลังต้นกำเนิดในตอนท้าย

มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ระเบิดเพลิงปักษาประสบความสำเร็จ แต่กลับทำให้ตำราเปิดพลังไคฮวงล้มเหลว

เมื่อสังเกตเห็นความแตกต่างเหล่านี้ซูเฉินก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยแห่งความหวัง

เขาสามารถใช้วิธีการใช้พลังต้นกำเนิดในกฎแห่งบรูคเพื่อแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ ?

ครู่ต่อมา ซูเฉินก็ได้จมดิ่งลงไปสู่การคำนวณ

*****