ตอนที่ 36 อาศัยก้าวแรกเพื่อหาข้อผิดพลาด

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 36 อาศัยก้าวแรกเพื่อหาข้อผิดพลาด

ซูหวานหว่านบ่นในใจไม่หยุดหย่อน นางลากซูจิ่นเฉียงเข้าไปในร้านอาหารเจวียเซ่อก่อนจะนั่งลงและสั่งอาหาร ซูหวานหว่านไม่ได้สั่งอะไรมาก ทว่ากลับทำให้ซูจิ่นเฉียงตกตะลึงเมื่อเห็นเด็กในร้านจดรายการอาหารไม่หยุด เขาเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน จึงหันมองไปยังเด็กในร้านพร้อมกับพูดออกไปอย่างทำตัวไม่ถูก

“น้องชาย เจ้าเลิกจดเถิด พวกเราไม่ได้สั่งแล้ว น้องสาวข้าแค่ล้อเล่น”

พวกเขาจะไปจ่ายไหวได้อย่างไร อาหารพวกนี้จานหนึ่งก็ราคา 20 – 30 อีแปะ!

ซูหวานหว่านเห็นท่าทีดูกระอักกระอ่วนและร้อนรนของผู้เป็นพี่จึงเอี้ยวตัวไปกระซิบข้างหูของเขา “ท่านพี่…ไม่ต้องห่วง ข้ามีวิธีที่จะทำให้พวกเรากินอาหารทั้งหมดนี่โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่นิดเดียว”

เมื่อเห็นแววตาที่ดูแน่วแน่และท่าทางจริงจังของน้องสาว ซูจิ่นเฉียงจึงสงบสติและทำตัวปกติ แต่ความตื่นตระหนกยังไม่คลายหายไป

เขาสงสัยเหลือเกินว่าซูหวานหว่านคิดจะทำอะไร….

ดูเหมือนเด็กในร้านจะได้ยินสิ่งที่ซูหวานหว่านบอกกับพี่ชาย เขาไม่รีรอที่จะเดินเข้ามาพูดกับเด็กสาวอย่างไม่เกรงกลัว “แม่นาง พอดีว่าร้านของเรามีกฎและได้รับการดูแลโดยพวกผู้ชายผู้แข็งแกร่งมากฝีมือ ทำให้ร้านของเราสงบ และไร้เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ซึ่งข้าเองก็ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวของพวกท่าน เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีถ้าหากพวกท่านไม่สร้างปัญหาให้กับทางร้านของพวกเรา”

ฟังจากน้ำเสียงของคนผู้นั้นแล้วก็รับรู้ได้เลยว่าเขาต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังวางตัวสุภาพไม่ได้พูดจาดูถูกหรือเอ่ยปากไล่นางออกจากร้าน ถึงแม้มันจะน่าหงุดหงิด ทว่าก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ซูหวานหว่านเข้าใจในสิ่งที่เขาผู้นั้นพูดออกมาและรู้สึกประทับใจร้านอาหารเจวียเซ่อแห่งนี้มาก

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงพูดหยอกล้อพี่ชายของข้าเท่านั้น รีบไปบอกพ่อครัวให้เตรียมอาหารให้กับพวกข้าเถอะ” ซึ่งในขณะที่ซูหวานหว่านพูดอยู่นั้น ก็หันไปส่งสายตาและทำท่าทางเหมือนจะปลอบให้พี่ชายของนางสงบลง

ซูหวานหว่านมองสำรวจรอบ ๆ ร้านอีกครั้ง พลันใดนางก็เห็นแผ่นป้ายหนึ่งที่สะดุดตา แผ่นป้ายนั้นดูคล้ายกฎข้อห้ามข้อควรปฏิบัติที่ร้านค้าของโลกในอนาคตมักใช้กันอย่างแพร่หลาย ข้อความบนป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘อย่านำอาหารประเภทเดียวกันกับที่ร้านนี้ เข้ามาภายในร้านเด็ดขาด’

จากแผ่นป้ายที่เขียนไว้เช่นนั้นทำให้ซูหวานหว่านฉุกคิดถึงวิธีในการขายของตัวเองให้ง่ายขึ้น ไม่นานอาหารก็ถูกวางลงบนโต๊ะ

ด้านของซูจิ่นเฉียงที่นั่งเกาหัวด้วยความงุนงงอยู่ข้าง ๆ ก็ตักอาหารที่วางลงบนโต๊ะกินอย่างขมขื่น ราวกับว่าหากกินของที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปแล้วจะตายเสียให้ได้ ท่าทางเช่นนั้นของพี่ชายทำให้ซูหวานหว่านนึกขำอยู่ในใจ

ท่าทางของซูจิ่นเฉียงในตอนนี้เหมือนกับกำลังกลัวอะไรบางอย่างและพร้อมที่จะลุกหนีไปได้ทุกเมื่อ

ซูหวานหว่านที่ค่อย ๆ กินอย่างเรียบร้อยราวกับกุลสตรีนั้นช่างขัดกับท่าทีของพี่ชายที่นั่งข้าง ๆ นางเหลือเกิน

ท่าทางน่ามองของซูหวานหว่านสะดุดตาชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่มองมาจากห้องชั้นสอง เขารู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นหญิงสาวที่มีท่าทางทีสง่างามโดยไร้การเสแสร้ง นางช่างดูต่างจากพวกหญิงอื่นที่งดงามแต่ท่าทีและมารยาทย่ำแย่ เขาเพลิดเพลินกับการมองดูซูหวานหว่านจนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นภาพอันน่าเอ็นดูของหญิงสาวที่ขมวดคิ้วอย่างงุนงงที่เหมือนกัดเจอกระดูกเข้า

“นายท่าน ท่านกำลังมองสิ่งใดอยู่หรือ น่าตลกขนาดนั้นเชียว?” ผู้ติดตามมองตามสายตาของผู้เป็นนายลงไปจากระเบียง เขากวาดตามองอย่างสงสัย สิ่งที่เห็นก็มีเพียงแค่กลุ่มคนที่กำลังกินข้าวและพูดคุยกัน จึงคิดจะปิดหน้าต่างให้เจ้านาย “นายท่าน ข้างนอกเสียงดังมากเลย ข้าว่าข้าปิดหน้าต่างให้จะดีหรือไม่”

“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงไปด้วยความไม่พอใจ จนผู้ติดตามคนนั้นรีบเปิดหน้าต่างคืนด้วยความตกใจ

ซูหวานหว่านเริ่มอิ่มกับอาหารตรงหน้า จึงนำมือล้วงเข้าไปในตะกร้าและหยิบอาหารจานที่ตนปรุงไว้เมื่อเช้าขึ้นมา หญิงสาวค่อย ๆ เปิดผ้าออกก่อนจะเริ่มกินมันอย่างช้า ๆ

กลิ่นหอมหวนชวนกินของเห็ดผัดก็เริ่มส่งกลิ่นหอมลอยไปทั่วร้าน

ชายหนุ่มบนชั้นสองที่เฝ้ามองดูอยู่ตกตะลึงกับการกระทำของหญิงสาว ท่าทางชื่นชมเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปเป็นดูหมิ่นในทันที เขายกชาขึ้นดื่มก่อนจะรู้สึกว่ารสชาติของชาเปลี่ยนไปเนื่องจากความไม่สบอารมณ์ของตนเอง

“ไม่คิดเลยว่าสตรีงดงามที่ได้มานั่งในร้านอาหารดี ๆ อย่างนี้จะอ่านหนังสือไม่ออก”

“อ่านอะไรไม่ออกหรือท่าน?” ผู้ติดตามถามกลับด้วยความสงสัย

“เจ้าคิดว่าอะไร?” ผู้เป็นนายตอบกลับพร้อมส่งสายตาไปยังแผ่นป้ายแผ่นใหญ่ แล้วส่ายหัวอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ที่ชั้น 1 ของร้านอาหารเจวียเซ่อ

ผู้คนส่วนมากมองหน้ากันไปมา สลับกับมองแผ่นป้ายและมองไปที่ซูหวานหว่าน บางก็คนหาว่าสิ่งที่นางนำออกมากินนั้นอยู่ในรายการอาหารของร้านหรือไม่ แต่ก็หาไม่เจอเลย

มีคนหนึ่งถึงกับเรียกเด็กในร้านมาถามถึงชื่อของอาหารจานนี้ “อาหารจานนั้นเรียกว่าอะไร?”

พนักงานที่ถูกถามยื่นหน้าไปดูสิ่งที่ซูหวานหว่านกิน และส่ายหน้าพร้อมตอบคำถามของลูกค้าท่านนั้นไปว่า “อาหารจานนั้นไม่ใช่ของร้านเรา หากว่าท่านอยากทานจริง ๆ เราก็สามารถบอกให้พ่อครัวทำมาให้ท่านได้”

“อ่อ…” เขาชะงักไปด้วยความตกใจ ก่อนส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ

“ลืม ๆ ไปเถอะ ข้าแค่อยากจะลองกินดู หากไม่มีจานนั้นในรายการของร้านเจ้าก็ไม่เป็นไร”

คนผู้นั้นเมื่อฟังที่ลูกค้าพูดจบถึงกับเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา การที่ลูกค้าบอกว่าอยากกินในสิ่งที่อยากกิน แต่ร้านของเรากลับไม่มีสิ่งนั้นมันทำให้ร้านเจวียเซ่อกลายเป็นร้านที่การบริการแย่ได้เลย

เด็กในร้านเกิดความสงสัยว่าซูหวานหว่านกำลังทำสิ่งใด นางพยายามนำมันมาในร้าน พยายามอวดอาหารชามใหม่ของนาง เขาเดินตรงไปหาซูหวานหว่านพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่พอใจ “นั่นไม่ใช่อาหารจากทางร้านของเรา ได้โปรดนำมันออกไปด้วย”

เมื่อพูดจบเขาก็ชี้ไปที่ป้ายที่ซูหวานหว่าน ป้ายที่ใคร ๆ ที่เดินเข้ามาก็ต้องเห็นเพราะตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่ของมัน

“ทว่าบนป้ายมันเขียนว่าห้ามนำอาหารประเภทเดียวกันเข้ามาในร้านไม่ใช่หรอกหรือ?” ซูหวานหว่านพูดพลางเงยหน้ามองเขาคนนั้นก่อนจะเอียงคอส่งยิ้มไร้เดียงสาไปให้ จนเด็กในร้านเกือบรู้สึกผิด

“ใช่” คำตอบของเขาทำให้ซูหวานหว่านฉีกยิ้มอีกครั้ง

“แล้วที่ข้านำมามันเป็นอาหารชนิดเดียวกับของร้านท่านตรงไหน ข้าว่าร้านของท่านไม่มีอาหารประเภทนี้นะ”

คนผู้นั้นคิดไม่ตกในใจ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาหารของหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นรายการอาหารของร้านอื่น?

พลันใดก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว ร้านอาหารใกล้ ๆ แถวนี้ก็มีเพียงร้านอาหารไท่อันเท่านั้น หรือหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นคนของร้านไท่อันที่ถูกส่งมาเพื่อก่อกวนร้านเจวียเซ่อของเขากัน

“ท่านเก็บมันกลับไปเถอะ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเลย” เขาพูดย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่น่ากลัวกว่าเดิม

“สรุปแล้วนี่ใช่อาหารประเภทเดียวกับที่นี่งั้นหรือ…” ซูหวานหว่านยักไหล่แล้วถามต่อ “ใช่หรือไม่”

มันจะใช่ได้ยังไงล่ะ!

การกระทำเช่นนี้ของเด็กสาวทำให้เขาเริ่มหมดความอดทน “คุณหนู …ได้โปรดนำมันออกไปเถิด หรือว่าจะให้ข้านำมันไปโยนทิ้ง!”

เขากล้าทำแบบนั้นหรือ?

ซูหวานหว่านแสร้งทำเป็นโมโหกระแทกตะเกียบในมือลงกับจานดัง ๆ และหันมาตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด “ท่านพูดเรื่องไร้สาระอะไร! นี่ข้าอธิบายไม่ชัดเจนหรือไง! เหตุใดท่านไม่เรียกคนดูแลร้านมาคุยกับข้าแทน หากข้าเป็นคนผิดข้าจะจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้สามเท่าเลย ทว่าหากข้าไม่ผิด พวกท่านจะต้องจ่ายค่าเสียหายมาให้กับข้า ว่าอย่างไร?”

เด็กสาวผู้นี้กล้าที่จะตะโกนใส่เขาอย่างนั้นเหรอ? เขาผู้นั้นคิดอย่างโมโหในใจ “ได้! งั้นท่านเตรียมเงินค่าอาหารไว้ได้เลย เพราะถึงเวลานั้นจะได้ไม่ลำบาก!”

เมื่อเขาพูดจบก็รีบวิ่งไปเรียกผู้ดูแลร้านทันที

ลูกค้าหลายคนเริ่มสนใจเหมือนกับเจอเรื่องน่าตื่นเต้น และผู้คนต่างก็ให้ความสนใจกับอาหารของซูหวานหว่านมากขึ้น

“นี่ ๆ เจ้าเคยกินอาหารจานนั้นหรือไม่ นางไปซื้อมาจากที่ใดกัน”

“จะบ้าหรือไง ข้าก็ไม่เคยกินเหมือนเจ้านั่นแหละ อยากรู้เหลือเกินว่ามันคืออะไร ข้าอยากกินบ้าง”

“…”

ในขณะที่ทุกสายตาได้จับจ้องและพูดคุยเกี่ยวกับโต๊ะของซูหวานหว่าน ผู้เป็นพี่ชายอย่างซูจิ่นเฉียงก็ถึงกับนั่งไม่ติดและตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก

“จบแล้วน้องพี่…เราอาศัยจังวะช่วงที่ไม่มีคนแล้วหนีกันดีกว่า!” ซูจิ่นเฉียงกล่าว

นางมาที่นี่เพื่อจะมาหาเงินไม่ใช่หรือไง? จะให้นางหนีไปได้อย่างไร เช่นนั้นแล้วเด็กสาวจึงปลอบพี่ชายเพื่อให้เขาสงบลง และหันไปกินอาหารบนจานต่อโดยไร้ท่าทีกังวล

หลายคนถึงกับทนไม่ไหว หันมาถามกับนางด้วยความอยากรู้ “แม่นางอาหารที่เจ้ากินอยู่มันคือสิ่งใด?”

“ข้าก็เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรเรียกอาหารจานนี้ว่าอะไร” ซูหวานหว่านรีบตอบ “มันเป็นของที่ข้าเก็บมาได้มาจากบนภูเขาระหว่างเดินเล่น ข้ามั่นใจว่าสิ่งนี้จะต้องกลายเป็นของที่มีค่าในเมืองนี้แน่นอน”

ชายผู้ที่ได้ตั้งคำถามชะงักงัน เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินหรือลิ้มลองอะไรเช่นนี้มาก่อน? ซูหวานหว่านจึงลองให้ชายผู้นั้นเข้ามาลิ้มรสอาหารในจานของตน ชายผู้นั้นเมื่อได้กินเข้าไปก็ติดใจและชื่นชอบในรสชาติอันหนุบหนับของเห็ดหูหนูและความหวานหอมอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ของเห็ดหอม เขาไม่รีรอที่จะตักคำต่อไปเข้าปากในทันที

เมื่อผู้คนในร้านเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งเข้าไปลองชิมอาหารจานดังกล่าวแล้ว จึงรีบเข้ามาหาซูหวานหว่านแล้วขอชิมอาหารในจานบ้าง หลังจากกินกันหมดแล้ว ชายผู้ที่ดูมั่งคั่งคนหนึ่งเลยถามนางด้วยท่าทางเป็นมิตรว่า “แม่นาง ท่านมีของสิ่งนี้เหลือที่บ้านอีกหรือไม่ เจ้าขายให้ข้าบ้างสิ ส่วนเรื่องราคาข้าว่า… เราคุยกันได้”

“ข้าก็ต้องการเหมือนกันนะ ขายให้ข้าสิ! ข้าจ่ายให้ได้มากกว่าเขาเสียอีก!”

“…”

ในช่วงเวลาโกลาหลเกิดขึ้นในร้าน คนดูแลร้านเจวียเซ่อก็เดินเข้ามาพอดีด้วยท่าทางไม่พอใจ เขาเดินแหวกฝูงชนมาและผลักคนที่ขวางทางของเขาออกเพื่อเข้ามาหาซูหวานหว่าน “ใครกันที่มาก่อความวุ่นวายในร้านของข้า!”