ตอนที่ 110 ความเร็วของการหลอมกระดูก (1)
วันที่ 8 กันยายน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เปิดคลาสเรียนอย่างเป็นทางการ
เพราะนักศึกษาของสามห้องแรกเคยเรียนจวงกงและเคล็ดวิชาหลอมกระดูกมาก่อนจึงมีคลาสเรียนน้อยกว่าห้าห้องหลัง
ห้องอื่นๆ นอกจากต้องเรียนวิชาวัฒนธรรมและวิชาเฉพาะแล้ว ยังต้องเรียนจวงกงและเคล็ดวิชาหลอมกระดูกเพิ่มเติม ตอนนี้ยังไม่เรียนเคล็ดวิชาต่อสู้
พวกฟางผิงจึงผ่อนคลายไม่น้อย นักศึกษาใหม่เหล่านั้นกลับยุ่งจนแทบไม่เห็นเงา
—
นักศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้นั้นไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่อื่นเท่าไหร่
แม้ฟางผิงจะไม่ได้บอกเรื่องที่ตัวเองทะลวงด่านกับพวกอู๋จื้อหาว แต่ทุกคนก็ติดต่อกันเป็นประจำ
อู๋จื้อหาวยังสร้างกลุ่มขึ้นมา ดึงพวกนักศึกษาสายศิลปะการต่อสู้ที่สนิทกันเข้าไปอยู่ในนั้น
ไม่ใช่ว่าดูถูกดูแคลนพวกที่เรียนสายสังคม แต่ส่วนมากทุกคนล้วนพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ หากลากคนพวกนั้นเข้ามา กลับจะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดมากกว่า
ฟางผิงยุ่งตัวเป็นเกลียวติดกันหลายวัน เขาไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์เลย
รอจนวันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง ฟางผิงค่อยมีเวลาว่างเปิดคอมเข้าสู่ระบบ QQ
พอเปิด QQ ขึ้นมา ข้อความก็เด้งรัวๆ ไม่หยุด
ในกลุ่มทุกคนพูดคุยกันหลายเรื่อง
ฟางผิงถือโอกาสว่างๆ ไล่อ่านอยู่พักหนึ่ง
อู๋จื้อหาว “คลาสเรียนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เยอะเกินไปแล้ว แน่นเอียดตั้งแต่เช้าจนเย็น แทบไม่มีเวลาให้พัก”
หยางเจี้ยน “เห็นด้วย ฉันยังคิดว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จะได้เรียนน้อยลงซะอีก ตอนนี้กลับปวดหัวยิ่งกว่าเดิม”
อู๋จื้อหาว “หยางเจี้ยน ตอนนี้ปราณนายเท่าไหร่แล้ว? ฝึกจวงกงและเคล็ดหลอมกระดูกหรือยัง?”
“ฝึกแล้ว ตอนนี้ปราณใกล้แตะหนึ่งร้อยสามสิบแคลแล้ว ฉันโชคดีไม่ใช่เล่น ได้อาจารย์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่ง ดูแลลูกศิษย์เป็นอย่างดี” หยางเจี้ยนเล่าสถานการณ์ของตัวเอง ทั้งเอ่ยถึงหลิวรั่วฉีไปด้วย
“หลิวรั่วฉีและฉันอยู่ห้องเดียวกัน แต่อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้เป็นคนละคน อาจารย์ของเธอขั้นสี่เหมือนกัน อู๋จื้อหาว ฝั่งนายล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
อู๋จื้อหาว “พวกเราดวงดีกันจริงๆ อาจารย์ฉันอยู่ขั้นสี่เหมือนกัน รุ่นพวกเรายังได้อาจารย์ขั้นห้าอีกสามคน น่าเสียดายที่ไม่ตกถึงมือพวกเรา”
ตอนที่สร้างกลุ่ม พี่น้องตระกูลถานถูกดึงเข้ามาเช่นกัน
ตอนนี้ถานเฮ่าบ่นว่า “พวกนายอยู่ในความดูแลของอาจารย์ขั้นสี่กัน ทำไมฉันได้ขั้นสามล่ะ? อาจารย์ของถานเทาก็อยู่ขั้นสี่!”
ในกลุ่มนอกจากพวกเขาที่อยู่ห้องสี่แล้ว ห้องอื่นๆ มีแค่สองพี่น้องตระกูลถานที่ถูกลากเข้ามาเท่านั้น
ปรากฏว่าทุกคนโชคดีหมด ยกเว้นถานฮ่าว
ถานเฮ่าเป็นคนเดียวที่ได้อาจารย์ขั้นสาม คนอื่นๆ อาจารย์อยู่ขั้นสี่กันทั้งนั้น
ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป อาจารย์ขั้นสามมีจำนวนมากที่สุด ขั้นสี่ไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนขั้นห้าถือว่าหายาก
ทุกคนคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่นาน ก่อนหลิวรั่วฉีที่แทบไม่โผล่ออกมาตลอดบทสนทนากลับแทรกมาในเวลานี้ว่า “ฟางผิงล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”
อู๋จื้อหาว “ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้หมอนั่นเงียบไปเลย QQ ขึ้นสถานะออฟไลน์ตลอด”
“…”
บทสนทนาพวกนี้เป็นของหลายวันก่อนแล้ว ฟางผิงแค่ผ่านมาอ่าน รับทราบข้อมูลของแต่ละคนเท่านั้น
หลิวรั่วฉีและหยางเจี้ยนไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เทียนหนาน แม้ปราณของหลิวรั่วฉีจะไม่เยอะ แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง หน้าตายังดูดีไม่ยอก ผู้หญิงในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มีน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอจึงใช้ชีวิตอยู่ในเทียนหนานได้อย่างสบาย
อาจารย์ของเธออยู่ขั้นสี่ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน อาจารย์ขั้นสี่ที่เป็นผู้หญิงถือว่าหายากในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
อาจารย์หญิงรับลูกศิษย์ไม่เยอะ หลิวรั่วฉีเลยได้รับความเอาใจใส่เช่นกัน
หลังจากการปิดเทอม รวมทั้งช่วงนี้ที่เริ่มฝึกเคล็ดหลอมกระดูก ปราณของหลิวรั่วฉีก็ใกล้ถึงหนึ่งร้อยสามสิบแคลแล้ว
ตอนนี้ปราณของอู๋จื้อหาวเกินหนึ่งร้อยสามสิบแคลเป็นที่เรียบร้อย เพิ่งเริ่มฝึกเคล็ดหลอมกระดูก ถือว่าปราณเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วเลย
สองพี่น้องตระกูลถานเหมือนกัน พวกเขาเรียนจวงกงแล้ว ปราณจึงสูงกว่าอู๋จื้อหาวเล็กน้อย
แต่พวกเขาไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ หนานเจียงและเทียนหนานใช้ระบบผลการเรียน คล้ายกับระบบคะแนนของเขา แค่เปลี่ยนชื่อเรียกเท่านั้น
ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาใช้ห้าแต้ม ส่วนขั้นหนึ่งใช้สิบห้าแต้ม
มูลค่าของแต้มและคะแนนไม่ต่างกันมาก เทียบกับเซี่ยงไฮ้แล้ว อัตราการแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยอื่นจะสูงกว่าอยู่บ้าง
ทั้งไม่ได้เริ่มที่ห้าสิบคะแนนเหมือนเซี่ยงไฮ้ ปีนี้หนานเจียงและเทียนหนานให้นักศึกษาใหม่แค่สามสิบแต้มเท่านั้น แต่นับว่าเป็นปีที่เยอะที่สุดของช่วงหลายปีนี้
เพราะผู้ว่าของหนานเจียงเพิ่งทะลวงขั้น จึงได้ทรัพยากรมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนครั้งก่อนเทียนหนานสูญเสียไปไม่น้อย ครั้งนี้จึงลงทุนเต็มที่
ฟางผิงกวาดสายตาอ่านผ่านๆ อดถอนหายใจไม่ได้ ความแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้และมหาวิทยาลัยทั่วไป หลังจากนี้คงห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ!
ให้คะแนนเป็นเรื่องเล็ก สิ่งสำคัญคืออัตราแลกเปลี่ยนทรัพยากรต่างหาก
เซี่ยงไฮ้นั้นใช้คะแนนแลกเปลี่ยนน้อยกว่ามหาวิทยาลัยทั่วไป
ทั้งความสามารถของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังแข็งแกร่งกว่ามหาวิทยาลัยทั่วไปมาก
วิธีให้คะแนนไม่ยาก ได้คะแนนเยอะ ใช้แลกเปลี่ยนจำนวนน้อย ความแตกต่างจึงมากขึ้นแล้ว
ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปกว่าจะทะลวงถึงขั้นสามเป็นเรื่องยากจริงๆ ไม่เหมือนที่เซี่ยงไฮ้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามพบได้ทั่วไป
เป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน ความแตกต่างกลับชัดเจนอย่างมาก ไม่แปลกใจที่มหาวิทยาลัยทั่วไปจะรู้สึกไม่ยุติธรรม
มหาวิทยาลัยทั่วไปมีปรมาจารย์คอยนั่งรักษาการณ์เหมือนกัน แต่เพราะมีจำนวนน้อย จึงไม่อาจดูแลมหาวิทยาลัยทั่วไปได้ทั่วถึง ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยชื่อดังที่มีไม่กี่แห่ง
ตอนนี้มหาวิทยาลัยชื่อดังที่ทุกคนยอมรับมีแค่เซี่ยงไฮ้และปักกิ่งเท่านั้น
แน่นอนว่า ในสายตามหาวิทยาลัยทั่วไป พวกมหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาคง ก็ถือว่ามีชื่อเสียงเช่นกัน จัดอยู่ในอันดับรอง
ส่วนหนานเจียงและเทียนหนานนับว่าอยู่อันดับสาม
ไล่อ่านอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ในกลุ่มก็มีข้อความใหม่เข้ามา
อู๋จื้อหาว “ฟางผิง ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
เห็นได้ชัดว่า หมอนี่กำลังท่องอินเตอร์เน็ต เห็นฟางผิงออนไลน์พอดี
“อืม ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาเล่นเน็ตเลย”
“เล่าทางฝั่งนายให้ฟังหน่อยสิ แทบไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังเป็นยังไงบ้าง”
ถานเฮ่าส่งข้อความตามมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน “ใช่แล้ว รีบเล่ามาเลย สองวันก่อนพ่อฉันยังโทรมาว่าให้ฉันเอาอย่างนาย ถามเขาก็ไม่ยอมบอก นายติดต่อกับพ่อฉันใช่หรือเปล่า?”
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจพวกเขา เลยเล่าสั้นๆ ว่า
“ฉันอยู่ในความดูแลของอาจารย์ขั้นหกคนหนึ่ง ให้ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดามาสิบเม็ด นอกนั้นไม่มีอะไรแล้ว”
“…”
ในกลุ่มเงียบกริบอยู่พักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรเลย
ผ่านไปอีกหนึ่งนาที อู๋จื้อหาวค่อยตอบกลับมา “นายออฟไลน์ต่อได้เลย!”
ฟางผิงจินตนาการได้ทันทีว่าหมอนี่กำลังทำหน้าคับแค้นใจยังไง อารมณ์ดีไม่น้อย เวลานี้จึงถามว่า “ช่วงนี้พี่หวังอยู่มหาวิทยาลัยหรือเปล่า?”
“ไม่รู้ ตั้งแต่มามหาวิทยาลัยจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เจอตัวสักครั้ง แต่พี่หวังสร้างชื่อไว้ที่นี่ไม่น้อยจริงๆ!”
อู๋จื้อหาวพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา “ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียงนั้นน่าเกรงขามกว่าอาจารย์ปกติเสียอีก กระทั่งอาจารย์ฉันที่อยู่ขั้นสี่ เวลาเอ่ยถึงพี่หวังยังชมไม่ขาดปาก น่าเสียดายที่นายไม่มาเรียนที่นี่ ไม่งั้นมีพี่หวังคอยกางปีกอยู่ คงอยู่ที่หนานเจียงได้อย่างสบายๆ!”
เห็นได้ชัดว่าอู๋จื้อหาวไม่รู้เรื่องที่หวังจินหยางเดินทางขึ้นเหนือ
ช่วงนี้หวังจินหยางไม่ปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัย เรื่องทางเหนือ ฟางผิงไปสืบข่าวมาจากฟู่ชางติ่งอีกครั้ง ได้ยินว่าหวังจินหยางออกมาจากปักกิ่งแล้ว
“หรือเตรียมจะทะลวงขั้นแล้ว?”
ฟางผิงคาดเดา ลอบอิจฉาอยู่บ้าง
นี่เพิ่งผ่านมาไม่นานเอง นั่งดูอีกฝ่ายทะลวงตั้งแต่ขั้นสอง จนตอนนี้แทบจะขั้นสี่แล้ว เขายังเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นหนึ่งเท่านั้น
“ตกลงสถานการณ์ทางเหล่าหวังเป็นยังไงกัน?”
—————–