ตอนที่ 607 ไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว
เพียงเห็นว่าหลังจากรวมกลิ่นอายพลังเร้นลับ พวกเขาก็พุ่งไปข้างหน้าทันที คิดจะกอดขาและร่างนางไว้ ทำให้นางเหนื่อยเสียก่อนค่อยจัดการ
แม้แต่องค์ชายโฉมงามกับองค์ชายร่างใหญ่กำยำ ยามนี้ก็ยังไม่ไว้หน้า เพราะแต่ละคนโดนเฟิ่งจิ่วซ้อมเสียจนกลายเป็นหัวหมูไปหมด ในใจทั้งอับอายและโกรธเกรี้ยว คิดแต่จะสั่งสอนนาง ด้วยเหตุนี้จึงพุ่งตามไปข้างหน้าด้วย
เฟิ่งจิ่วที่เห็นภาพเช่นนี้ หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง ก็หลุดยิ้มพูดว่า “องค์ชายทั้งหลาย หากพวกท่านไม่อยากฝึกซ้อมจะเอ่ยปากยอมแพ้ก็ได้ เข้ามารุมกันทำไมเล่า? จะเสียมารยาทเกินไปแล้ว”
ใครจะรู้ว่านางไม่พูดเช่นนี้ยังดีกว่า เอ่ยเช่นนี้ไป แต่ละคนก็หน้าดำทะมึนจนไม่น่ามอง
ยอมแพ้? พวกเขาไม่อยากยอมแพ้หรือ ชัดเจนว่านางไม่มีแม้แต่โอกาสให้พวกเขาเอ่ยปากยอมแพ้ ไม่เห็นหรือว่าองค์ชายที่คิดยอมแพ้ยังโดนซ้อมทุกครั้งที่จะเอ่ยปาก? ซ้ำยังถูกถีบลงเวทีไปทันทีอีก
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นองค์ชาย จะเสียหน้าเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าคนมากมายเพียงนี้จะสู้ชนะนางคนเดียวไม่ได้!
เวลานี้ พวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าการเข้ามารุมกันทีเดียวยังน่าขายหน้าเจ้าชายอย่างพวกเขามากกว่าการยอมแพ้เสียอีก
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็ไม่อยากเล่นกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เห็นอาการพวกเขาแต่ละคนจมูกช้ำหน้าบวม ความฮึกเหิมเธอก็เหือดหายไป ถึงอย่างไรก็เป็นผู้มาเข้าร่วมงานแต่งท่านปู่ จะทำเกินไปไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อเห็นพวกเขาทะยานเข้ามา เธอจึงเตะพวกเขาลงเวทีไปทันที บางคนโดนเตะไหล่กลิ้งตกเวที บางคนซวยหน่อยก็โดนเธอเตะเข้าที่หน้า ยังมีบางคนโดนเตะเข้าท้องจนกระเด็นไปทันใด
“อึก!”
“อ๊าก!”
ทุกคนกลิ้งตกเวทีไป เสียงร้องอู้อี้ด้วยความเจ็บปวดแต่ละเสียงดังขึ้น เหล่าองค์ชายในชุดหรูหราที่เดิมทีเสื้อผ้าสว่างเจิดจ้า ยามนี้ต่างมีสภาพจนตรอก ใบหน้าซ้ายช้ำขวาบวม น่าขบขันอย่างยิ่ง
พวกเขาตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น จิตวิญญาณก่อนหน้านี้โดนกำราบเสียจนไม่เหลือ ยังมีความหวาดกลัวที่มาจากหมัดนั้นหลงเหลืออยู่เลือนราง แม้พวกเขาจะทะนงตนไปบ้าง แต่ในใจรู้ว่าเฟิ่งชิงเกอคนนี้สู้หนึ่งต่อแปดได้เพราะฝีมือและวรยุทธ์ของนางยอดเยี่ยม
เวลานี้ พวกเขาถึงจะเข้าใจว่าทำไมนางกล้าปฏิเสธการหมั้นหมายจากรัชทายาทแคว้นเหินเวหา และทำไมในขณะที่จวนตระกูลเฟิ่งเหลือนางดูแลเพียงคนเดียวถึงกล้าเป็นศัตรูกับมู่หรงป๋อ
นอกจากฝีมือและวรยุทธ์ แผนการพวกเขายังเทียบนางไม่ได้เลย นางอาศัยการดูถูกที่พวกเขาไม่เห็นนางในสายตา ขุดหลุมพรางจัดการพวกเขา
นี่เรียกให้น่าฟังว่าการฝึกซ้อม พูดตามจริงคือการชดใช้ให้ความทะนงตน พวกเขาปรี่เข้ามาให้นางซ้อมโดยเปล่าประโยชน์
ครั้นนึกถึงหนังสือรับประกันที่ลงนามก่อนหน้านี้ ในใจแต่ละคนต่างอัดอั้นจนโกรธเคือง นางวางแผนเล่นงานพวกเขาตั้งแต่แรก ซ้ำยังทำให้พวกเขาภาคภูมิใจและเฝ้ารอที่จะสบโอกาสเอาเปรียบนางตอนฝึกซ้อมไปเปล่าๆ
ใครจะรู้ว่าไม่ได้เอาเปรียบ แต่กลับโดนจัดการอย่างโหดเหี้ยมแทน
“ท่านทั้งหลาย การฝึกซ้อมครั้งนี้ท่าจะจบลงแล้ว ข้าจะไม่อยู่เล่นกับพวกท่านแล้ว หากพวกท่านรู้สึกว่ายังไม่หนำใจ จะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ ข้าต้องขอตัวก่อน”
เธอหัวเราะเบาๆ กระโปรงขาวพลิ้วไหว เสื้อคลุมสะบัดน้อยๆ ใบหน้างามเลิศมีรอยยิ้มบางๆ ขณะยืนบนเวทีมองลงไปยังพวกเขา หลังจากเห็นความอับอายของพวกเขาทั้งหมดสู่สายตา รอยยิ้มตรงริมฝีปากยิ่งกดลึกขึ้น จากนั้นถึงจะก้าวลงจากเวที แล้วพาหงส์ไฟน้อยกับเหลิ่งซวงออกไปพร้อมกัน ทิ้งไว้เพียงพวกคนด้านหลังที่มองหน้ากันพร้อมทั้งเก็บกลั้นความโกรธไว้อย่างน่าอับอาย…
………………………………………………….
ตอนที่ 608 สายตาเลื่อนลอย
เฟิ่งจิ่วที่จากไปเดิมคิดจะไปพบท่านพ่อเสียก่อน แต่ได้ยินองครักษ์บอกว่าบิดากำลังคุยเล่นอยู่กับผู้ครองแคว้นอื่น ดังนั้นเธอจึงไปหาท่านปู่ก่อน
ทว่าเธอกลับหาตัวเขาในตำหนักไม่พบ หลังจากถามถึงจะรู้ว่าที่แท้เขาไปยังป่าไผ่ในวัง
“เจ้าพาหงส์ไฟน้อยไปหาเหลิ่งหวา จากนั้นก็ไปเดินเล่นตามใจชอบเถอะ” เธอสั่งการ ให้สัญญาณเหลิ่งซวงพาหงส์ไฟน้อยไปหาเหลิ่งหวา
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงขานรับ แล้วมองหงส์ไฟน้อย
หงส์ไฟน้อยมองเฟิ่งจิ่ว ก่อนจะตามเหลิ่งซวงออกไปโดยไม่พูดอะไร
เฟิ่งจิ่วมาที่ป่าไผ่ในวังเป็นครั้งแรก เพราะเธอไม่ค่อยพักอยู่ในวัง สถานที่แห่งนี้แค่เคยได้ยินเท่านั้น วันนี้เพิ่งมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งแรก
เดินไปด้านในได้สักระยะ เห็นต้นไผ่เขียวขจีสะท้อนสู่สายตา เมื่อกลิ่นหอมไผ่จางๆ กระจายไปกลางอากาศตามสายลมแผ่วเบา จิตใจก็สงบลงไปด้วย
เธอเดินไปด้วยฝีเท้านวยนาด อาจเพราะจิตใจสงบ เวลานี้จึงคิดถึงเซวียนหยวนโม่เจ๋อที่จากไปสองเดือนกว่าแล้วขึ้นมา ผ่านไปนานเพียงนี้ เขาคงกลับถึงจักรวรรดิแล้วกระมัง?
พิษเหมันต์พันปีในร่างเขายังไม่รักษา ยาเม็ดระงับอาการพวกนั้นเกรงว่าคงประคองไว้ไม่ได้นานมาก หลังจากกลับไป ทางนั้นจะมีนักเล่นแร่แปรธาตุที่สามารถปรุงยาแก้ให้เขาได้จริงๆ หรือไม่?
นึกได้ว่าในห้วงมิติยังมีเลือดเขาอยู่ขวดหนึ่ง รอเสร็จจากงานแต่งท่านปู่ค่อยหาเวลานำมาศึกษาเสียหน่อย เธอไม่เชื่อหรอกว่าด้วยพรสวรรค์ด้านยาของเธอจะรักษาพิษเหมันต์พันปีนั้นไม่ได้
เมื่อมาถึงด้านใน ก็เห็นเพียงผู้เฒ่าชุดเทากำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาฝึกบำเพ็ญบนก้อนหินใหญ่กลางป่า อาจเพราะบรรลุกลายเป็นจักรพรรดินักรบ เส้นผมที่เคยเป็นสีเงินขาวจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว รูปลักษณ์เขาก็ไม่แก่ชราเหมือนเดิมแล้ว แต่ดูอ่อนวัยลงกว่าเมื่อก่อนสิบปี
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจบรรลุกลายเป็นนักรบทรงเกียรติได้
จริงอยู่ว่าการกลายเป็นนักรบทรงเกียรติภายในเวลาสั้นๆ เพียงนี้ แม้มียาช่วยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน น่าเสียดายที่ด้านการกลั่นยาเซียนของเธอยังขาดความชำนาญอยู่ แม้ตั้งใจจะปรุงกลั่นยาคืนรูปลักษณ์ แต่สุดท้ายยังต้องศึกษาและเข้าใจด้านยาเซียนอย่างลึกซึ้ง
อาจเพราะรู้สึกถึงการมาของนาง ผู้เฒ่าที่เดิมทีหลับตาอยู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อสายตาหยุดลงบนร่างเฟิ่งจิ่ว ในดวงตาก็เผยความรักใคร่เอ็นดู
“แม่หนูเฟิ่ง มาแล้วทำไมถึงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เล่า?”
เฟิ่งจิ่วเผยรอยยิ้มออกมา ยิ้มพลางเดินเข้าไป “ข้าอยากดูว่าท่านปู่จะสังเกตเห็นว่าข้ามาเมื่อไรน่ะสิเจ้าคะ!”
“เหอะๆ เจ้าเข้าป่าไผ่มาปู่ก็รู้แล้ว” เขาพูดยิ้มๆ ทำท่าเชื้อเชิญให้นางเข้ามานั่งลงบนก้อนหินใหญ่ ถามว่า “ข้าได้ยินพวกองครักษ์บอกว่าเจ้าเก็บตัวฝึกบำเพ็ญ ออกมาตั้งแต่เมื่อใด?”
ระหว่างพูด สายตาเขากวาดผ่านไปบนร่างนาง เมื่อเห็นว่านางบรรลุถึงระดับบรรพชนนักรบก็แปลกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเป็นบรรพชนนักรบแล้ว?” กลายเป็นบรรพชนนักรบภายในเวลาสั้นๆ เพียงนี้ พรสวรรค์นางช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
เฟิ่งจิ่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และมานั่งลงข้างกายเขา
เธอไม่ได้เก็บซ่อนวรยุทธ์ เขาจึงมองออกได้ แต่เขาทำได้เพียงเห็นวรยุทธ์พลังเร้นลับ ส่วนวรยุทธ์พลังวิญญาณกลับเขามองไม่เห็น
“เดิมทีจะบรรลุผ่านบรรพชนนักรบ แต่ถึงตรงนี้แล้วก็ติดขัดบรรลุขั้นไม่ได้มาตลอด ดังนั้นข้าจึงไม่ฝึกบำเพ็ญต่อ คิดว่าค่อยเป็นค่อยไปแล้วกันเจ้าค่ะ!”
เธอหรี่ตายิ้ม มองเขาพลางถามด้วยความสงสัย “ท่านปู่ ท่านน้าซู่ซีมาถึงที่นี่แล้ว ท่านจะแอบๆ ไปดูสักหน่อยไหมเจ้าคะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าผู้เฒ่าเฟิ่งก็เผยแววอึดอัดใจ กระแอมไอเบาๆ ขณะที่สายตาเลื่อนลอย…
………………………………………………….