เมื่อเห็นว่าเพียงเว่ยฉางอิ๋งมาถึง ยังไม่ทันข้ามคืนก็จัดการสามีภรรยาที่เป็นคนปกครองดูแลที่นี่เสียแล้ว พวกบ่าวตระกูลเสิ่นที่อยู่ในที่นี้จึงพากันส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมา เพียงแต่เมื่อ ว่ยฉางอิ๋งตบโต๊ะไปหนหนึ่ง สองตาดุดันดังพญาหงส์กวาดตาไปอย่างน่าเกรงขาม แล้วตวาดเสียงหนักไปว่า “ผู้ใดกล้าโวยวาย?!”
องครักษ์ที่กรูกันเข้ามาก่อนหน้านี้ มีเพียงสองคนที่พาตัวเสิ่นฉูสามีภรรยาออกไป ครานี้คนที่เหลือก็ยังไม่ได้ถอยออกไป แล้วชักดาบจากฝักออกมานิ้วหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน เผยให้เห็นคมดาบวิบวับดังหยาดน้ำค้างดุจเกล็ดหิมะ ดวงตามีแววดุดันกวาดตามองไปซ้ายขวา ช่วยคุณหนูบ้านตนข่มขวัญด้วยท่าทีเคร่งขรึมเป็นที่สุด!
แม้ตระกูลเสิ่นจะชำนาญการศึก องครักษ์ก็มีฝีมือล้ำเลิศกว่าองครักษ์ตระกูลเว่ย แต่ยามนี้องครักษ์เหล่านี้ก็ไม่ใช่พวกตี๋ ผู้บังคับบัญชาก็มิใช่หัวหน้าของพวกตี๋ หากแต่เป็นฮูหยินน้อยของตระกูลสายหลัก เป็นนายผู้หญิงที่ถูกต้องตามศักดิ์และสิทธิ์ อย่างไรพวกบ่าวก็เกรงกลัวนาย จึงค่อยๆ พากันสงบลง
รอจนเสียงคนสงบลงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มเย็นๆ พลางว่า “เมื่อครู่ข้าสอบถามท่านพี่แล้ว เหตุที่ครานี้เขาบาดเจ็บสาหัส ก็ด้วยมีไส้ศึกชาวเว่ยสมคบกับพวกตี๋ก่อเหตุขึ้น! เรื่องเช่นนี้พวกเจ้าก็รู้มาตั้งนานแล้ว แต่กลับปล่อยให้เสิ่นฉู่ผัวเมียทำการเลิ่นเลอ เพราะต้องการสมคบคิดกันข่มเหงสามีข้า ยามเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสไร้เรี่ยวแรงจะมาดูเรื่องนี้ได้หรือ!”
พวกบ่าวไพร่มองหน้ากัน เมื่อเห็นว่าเสิ่นฉู่สามีภรรยาถูกองครักษ์ลากตัวออกไปทั้งยังถูกคาดโทษว่าติดต่อกับพวกตี๋เป็นการภายในด้วย จึงไม่มีผู้ใดกล้าออกมารับหน้านายหญิงที่เพิ่งมาถึงผู้นี้ไปชั่วขณะ ในโถงจึงนิ่งเงียบไปเป็นนาน แล้วมีบ่าวชราผู้หนึ่งก้าวออกมา แรกเริ่มก็คารวะนางอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวคำทักทายฮูหยินน้อยสาม แล้วจึงเอ่ยเคารพว่า “บ่าวมิได้มีความหมายใดอื่น เพียงแต่ท่านพ่อบ้านใหญ่เสิ่นและภรรยาก็เป็นคนในตระกูลเสิ่นของเรา อาจจะละเลยต่อคุณชายไปบ้าง แต่บ่าวรู้สึกว่าพวกเขาคงไม่ถึงกับไปสมคบกับพวกตี๋หรอกขอรับ หวังให้ฮูหยินน้อยสามโปรดตรึกตรองให้กระจ่างขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเอียงตามองเขา กล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ใด?”
บ่าวชราผู้นั้นรีบตอบว่า “บ่าวเสิ่นถิงซู่ เป็นพ่อบ้านที่เรือนหน้าขอรับ”
“ที่แท้เป็นพ่อบ้านเสิ่น” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “โปรดอภัยที่นับแต่ข้าแต่งเข้ามาก็คอยอยู่ปรนนิบัติท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองหลวง ยามนี้จึงเพิ่งมาถึงซีเหลียง ยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ แต่กลับต้องถามสักคำ ก่อนท่านพี่จะไล่พวกไส้ศึกของพวกตี๋ออกไป ท่านรู้หรือไม่ว่าที่แท้เขามีฐานะใด?”
เสิ่นถิงซู่ กล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อยสาม บ่าวมิทราบขอรับ”
“เช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีกคำ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปเรียบๆ “หากเจ้ารู้ว่าคนข้างกายเจ้าเป็นไส้ศึกของพวกตี๋ เจ้าจะปล่อยเขาไปหรือกระทั่งช่วยพวกเขาปกปิดหรือไม่?”
เสิ่นถิงซู่รีบตอบไปว่า “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? บ่าวเป็นชาวเว่ย! เว่ยตี๋เป็นศัตรูมาแต่ไร ต่อให้ต้องตายก็จะไม่มีทางปล่อยไส้ศึกของพวกตี๋ไปแน่นอนขอรับ!”
“เช่นนั้นก็มิใช่ว่าสิ้นเรื่องแล้ว?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ยามนี้เรื่องยังไม่ทันตรวจสอบให้ชัดแจ้ง เจ้าว่าพวกเขาไม่ถึงกับเป็น…ไส้ศึก หากว่าล้วนมีคำนี้เขียนไว้บนหน้า แล้วพวกเขาจะหักหลังผู้ใดได้? โดยทั่วไปแล้วพวกไส้ศึกที่ถูกจับได้ ก่อนถูกเปิดโปงฐานะ มีคนใดที่ทุกๆ คนล้วนรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้บ้าง? ฉะนั้นจึงเป็นการเปิดโอกาสพวกเขาแอบขโมยความลับไปขายให้กับพวกตี๋! พ่อบ้านเสิ่น ท่านว่าถูกต้องหรือไม่?”
เสิ่นถิงซู่ไร้คำพูดจะตอบโต้ จึงได้แต่ตอบว่า “ฮูหยินน้อยสามกล่าวมีเหตุผล เป็นบ่าวโง่เง่านักขอรับ”
“นี่ก็ไม่อาจโทษเจ้าได้ทั้งหมด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย ทุกคนกำลังคิดว่าเมื่อครู่นี้นางออกฤทธิ์ออกเดชกับเสิ่นฉู่สามีภรรยาไปแล้ว ยามนี้ถึงคราวของเสิ่นถิงซู่ก็ควรจะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดาย ผู้ใดจะคิดว่าจากนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็พูดว่า “เจ้าอายุยู่ปูนนี้ หากใคร่ครวญไม่กระจ่างก็เป็นเรื่องปกติ ในเมื่อเป็นดังนี้ก็จะทำให้เสียงานของพ่อบ้าน เปลี่ยนคนที่อายุน้อยกว่านี้มา เพื่อมิให้ส่งผลเสียต่องาน และให้เจ้าได้ไปพักผ่อนในวัยชราด้วย!”
ทิ้งเสียงอื้ออึงเต็มห้องโถงของพวกบ่าวที่คิดจะโวยวายแต่ก็เกรงกลัวอำนาจของตระกูลสายหลักและชาติกำเนิดของตัวเว่ยฉางอิ๋งเองเอาไว้เบื้องหลัง เมื่อกลับมาที่โถงข้างหลังเว่ยฉางอิ๋งก็สามารถมาพักดื่มน้ำชาร้อนคลายความอ่อนล้าได้แล้ว
นางหวงรินน้ำชาให้นางด้วยตัวเอง แล้วใส่ยาสีเขียวเม็ดหนึ่งลงไปต่อหน้านาง กล่าวว่า “นี่ช่วยทำให้สดชื่นเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพยัก ดื่มไปหลายคำ ปรากฏว่ารู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมามาก
นางหวงจึงถามนางว่า “ฮูหยินน้อยเพิ่งจะมาถึง แรกเริ่มก็จัดการเสิ่นฉู่สามีภรรยา ทั้งยังปลดเสิ่นถิงซู่จากพ่อบ้าน รายหลังนี่ก็ยังแล้วไปเพราะเป็นเพียงบ่าวกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่รายก่อนหน้านั้น …เกรงว่าผู้อาวุโสในตระกูลอาจออกมาพูดบางสิ่งนะเจ้าคะ”
“จะให้ผู้ใหญ่เหล่านั้นต้องลำบากได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเย็นเฉียบหนหนึ่ง กล่าวว่า “รอข้าดื่มน้ำชาถ้วยนี้หมด พวกเราก็ไปที่จวนของท่านปู่ และไปคารวะ ผู้อาวุโสทุกท่าน …ข้ายังต้องไปรายงานเรื่องที่ท่านพี่ไม่ได้รับการเอาใจดูแลทั้งทำให้ต้องทุกข์ทรมานให้ดีๆ แล้วขอให้ผู้อาวุโสทั้งหลายจัดการให้ข้า!”
จูหลานอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดพวกเขาล้วนเข้าข้างเสิ่นฉู่จะทำเช่นใดเล่าเจ้าคะ?”
นางหวงพลันเอ็ดไปว่า “อย่าปากมาก!”
“ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ ยามนี้ข้าเพิ่งมา แต่พวกของเสิ่นฉู่กลับกล้าไม่ไว้หน้าสะใภ้ในสายหลักเช่นข้า” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างระแวงไปว่า “คงมิใช่เกี่ยงว่าอนาคตของลูกหลานบ้านตนดีเกินไปหรอกนะ?!”
ด้วยเหตุที่ครั้งนั้นจิ้งผิงกงผู้เฒ่าท่านปู่ทวดเป็นผู้สร้างชื่อเสียงของตนขึ้นมา ผู้อาวุโสทุกท่านในตระกูลเว่ยจึงทั้งชื่นชมและสนับสนุนให้เว่ยฮ่วนท่านปู่ของนางปกครองรุ่ยอวี่ถัง ทว่าแม้จะเป็นดังนี้ แรกเริ่มเมื่อครั้งชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งถูกศัตรูของตระกูลเว่ยร่วมมือกันทำลาย มิใช่ว่าเว่ยฮ่วนก็ยังคงเกิดความคิดจะสังหารบรรดาผู้อาวุโสที่ไม่เห็นชอบกับความคิดของเขาเช่นกัน?
เสิ่นเซวียนพี่น้องต้องต่อสู่กับผู้อาวุโสเหล่านี้มานานปีจึงสามารถทำให้ตำแหน่งประมุขมั่นคงได้!
ยามนี้ฐานะของเสิ่นเซวียนพี่น้องมั่นคงและสามารถกุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ จึงไม่ได้ไปแตะต้องผู้อาวุโสเหล่านี้ ประการแรกก็เพื่อรักษาชื่อเสียง ประการที่สองก็ด้วยกลัวว่าภายในตระกูลจะเกิดความไม่สงบ ทว่าทั้งสองประการนี้ก็อยู่ขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า เมื่อบรรดาผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่พบเห็นสิ่งใดก็จะไม่ทำการใดในภายหลังและเปลี่ยนมาแสดงท่าทียอมศิโรราบ ….หากผู้อาวุโสเกิดมีใจเป็นอื่น เสิ่นเซวียนพี่น้องก็มิได้สนใจว่าต้องจัดงานศพมากขึ้นอีกสักหลายงานเป็นแน่ ส่วนบุตรหลานของผู้คนเหล่านี้ก็ยิ่งจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีแล้ว ดีชั่วอย่างไรบุตรหลานตระกูลเสิ่นก็มีมากมายเสียยิ่งนัก
หากคนเหล่านี้ยังมิได้แก่จนเลอะเลือนกระทั่งต้องการทำลายครอบครัวของตน ย่อมไม่มีทางออกปากแทนเสิ่นฉู่สามีภรรยาแน่นอน
________________