ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 6-1 เล่าทั้งน้ำตา

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ความจริงก็เป็นดังเว่ยฉางอิ๋งคาดไว้ จากนั้นเป็นเวลาสามวันติดต่อกันนางก็ไปคารวะผู้อาวุโสหลายท่านในซีเหลียง ทั้งญาติพี่น้องในสายที่ใกล้ไกลทุกระดับอาวุโส นับตั้งแต่บรรดาท่านอาของเสิ่นเซวียนพี่น้องเป็นต้นไปจบครบรอบหนึ่ง บอกเล่าทั้งน้ำตาถึงเคราะห์กรรมที่เสิ่นจั้งเฟิงต้องเผชิญว่า “ก่อนนี้ได้รับข่าวว่าท่านพี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าอยู่เมืองหลวงก็ร้อนใจนัก ขอร้องให้ท่านพ่อท่านแม่ส่งข้ามาเยี่ยมเขา เดิมทีคิดว่าในเมื่อระหว่างทางไม่ได้รับข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของท่านพี่ ฉะนั้นท่านพี่ก็คงอาการดีขึ้นมากแล้ว? ทั้งก่อนหลังนับๆ ดูแล้วก็เป็นเวลาสามเดือน ต่อให้เส้นเอ็นหรือกระดูกได้รับบาดเจ็บก็ควรจะหายดีแล้ว ไม่คิดว่าเมื่อมาถึงที่นี่  กลับได้เห็นว่าท่านพี่ยังคงนอนซมหายใจรวยรินอยู่บนตั่งนอน!”

เว่ยฉางอิ๋งปั้นเสริมเติมแต่งไปว่าทั้งที่เสิ่นฉู่สามีภรรยารู้ทั้งรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงเจ็บหนัก แต่กลับยังย้ายสาวใช้สองสามคนที่เคยอยู่ในเรือนเขาแต่เดิมออกไป เหลือไว้เพียงสาวใช้ที่นอกจากแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น ที่สวรรค์รู้ว่ามาได้อย่างไรมาปรนนิบัติเขา “ท่านปู่และท่านย่าทั้งสองล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ต้องเข้าใจหลักการต่างๆ ดีเป็นที่สุด! และย่อมรู้ว่าจนบัดนี้ท่านพี่ก็ยังนอนซมอยู่บนตั่ง แม้จะลุกนั่งเองก็ยังทำไม่ได้ หากไม่มีบ่าวกลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย แล้วที่ผ่านมาต้องมีชีวิตอยู่เช่นใด? น่าสงสารท่านพี่ที่ก่อนหน้านี้บาดเจ็บสาหัสนัก จึงไร้เรี่ยวแรงใดจะลุกขึ้นมาจัดการ! เสิ่นเตี๋ยเด็กรับใช้ของเขาร้องขอกับท่านอาและท่านอาสะใภ้ให้ส่งคนมาปรนนิบัติท่านพี่มากกว่านี้ พวกเขากลับเอาแต่สนใจเรื่องอื่น …ครั้นแล้วเสิ่นเตี๋ยจึงไม่กล้าอยู่ห่างกายท่านพี่แม้ชั่วครู่ชั่วยาม ดีที่เขาจงรักภักดี! หาไม่แล้ว ข้าล้วนไม่กล้าคิดว่าท่านพี่จะถูกท่านอาและท่านอาสะใภ้ทรมานจนเป็นเช่นใดแล้ว!”

ไม่ว่าในใจท่านปู่ท่านย่าทุกท่านจะคิดเห็นเช่นใดอยู่ แต่อย่างไรก็ต้องปลอบโยนนางสักหน

เมื่อพักเอาแรงสักหน่อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงพูดต่อไปว่า “ข้าเดินทางมาครานี้ นานๆ ครั้งท่านพี่จะตื่นขึ้นมาสักหน เมื่อรู้ข่าวจึงสั่งให้เสิ่นเตี๋ยไปรอต้อนรับที่หน้าประตูเมือง ข้าก็คิดว่าไยมีเพียงเสิ่นเตี๋ยมาต้อนรับเพียงผู้เดียว ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อท่านพี่อยู่ในห้อง กลับเห็นว่ามีหลานเสิ่นหยิวเจี่ยอยู่ภายในห้องด้วย ภายหลังจึงทราบว่าเป็นเสิ่นเตี๋ยเป็นห่วงท่านพี่ ทั้งยังไม่อาจฝืนเรื่องที่ท่านอาและอาสะใภ้ไม่ให้คนเพิ่มได้ จึงทำได้เพียงขอให้หลานหยิวเจี่ยมาช่วยดูแลท่านพี่! หากรู้เช่นนี้แต่แรก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ให้เขาไปรับที่หน้าประตูเมืองหรอกเจ้าค่ะ!”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็อดจะน้ำตานองหน้าไม่ได้ ทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วว่า “ท่านปู่สี่และท่านย่าสี่ทราบหรือไม่ว่าคนที่ท่านอาและอาสะใภ้ส่งไปดูแลท่านพี่กำลังทำสิ่งใดอยู่?”

คนที่นางมาเยี่ยวคารวะในวันนี้คือลูกผู้น้องของบิดาของเสิ่นเซวียน ท่านปู่ผู้นี้มีนามว่าเสิ่นซวิน ภรรยาแซ่ฮั่ว เสิ่นซวินสามีภรรยาจึงเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกันว่า “ทำสิ่งใด?”

“สาวใช้ผู้นั้นแต่งกายยั่วยวน แต่หน้าทาปากทั้งยังทาเล็บ …ในวันที่อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ ไม่รู้ว่าสาวใช้เช่นนางไปเอาเทียนดอกจากที่ใดมาทาเล็บ! ยิ่งไม่ต้องบอกว่านางต้องมาคอยดูแลนายที่บาดเจ็บหนัก แต่นางก็มีแก่ใจไปแต่งตัวรึ?! นี่นางคิดการใดอยู่กันแน่!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “อีกทั้งนางยังมารินน้ำชาดื่มเองอยู่นอกห้อง! แล้วปล่อยท่านพี่ไว้กับเสิ่นหยิวเจี่ยทั้งเช่นนั้น! ภายหลังข้าถามเสิ่นเตี๋ยดูแล้ว เขาบอกว่านับแต่ท่านพี่มาถึงซีเหลียงก็เคารพนบนอบกับท่านอาและท่านอาสะใภ้เป็นอย่างยิ่ง และไม่เคยไม่นอบน้อมต่อพวกเขาแม้แต่น้อย! เหตุใดท่านอาและท่านอาสะใภ้จึงปฏิบัติกับเขาเช่นนี้? ข้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นคนรุ่นหลาน รู้สึกสงสารท่านพี่แต่กลับไม่กล้าทำอันใดท่านอาและท่านอาสะใภ้….”

“แต่ไม่นึกวาพอสะใภ้สอบถามถึงสาเหตุกับท่านอาและท่านอาสะใภ้ ท่านอากลับหันมาแขวะข้า! บอกว่าข้าริษยาสาวใช้หน้าตางดงามที่คอยปรนนิบัติใกล้ชิดท่านพี่ จึงจงใจไปหาเรื่องเขา!” เว่ยฉางอิ๋งเอาผ้าขึ้นมาซับหางตา ยิ้มเย็นพลางว่า “ข้าโตมาจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินคำเหลวไหลเพียงนี้มาก่อนเลย! ยังไม่ต้องเอ่ยว่าสาวใช้ผู้นั้นมีหน้าตางดงามกว่าคนทั่วไปพอควร ทว่าในสายตาข้าก็เพียงเท่านั้น! ว่ากันแต่เพียงครั้งท่านพี่อยู่ในเมืองหลวง มีหญิงงามเช่นใดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน? แล้วข้าเคยไปขัดขวางไม่ให้เขารับคนยามใด? หากท่านปู่ท่านย่าไม่เชื่อ ก็สามารถเขียนจดหมายไปสอบถามท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองหลวงดูได้เจ้าค่ะ ว่าสะใภ้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยดังว่าหรือไม่!”

นางฮั่วรีบเอ่ยว่า “มีจดหมายใดต้องเขียนกันเล่า? ทั่วทั้งเขตทะเลต่างก็รู้กันดีว่าบุตรีตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวล้วนดีงามเป็นกุลสตรี! ประสาอะไรเจ้ายังเป็นคนที่ท่านประมุขหมั้นหมายมาด้วยตนเอง แม้พวกเราจะอยู่ไกลถึงซีเหลียง แต่ก็เคยได้ยินมาว่าการอบรมสอนสั่งของแม่เฒ่าซ่งท่านย่าของเจ้านั้นขึ้นชื่นว่าเคร่งครัดเรื่องจารีตธรรมเนียมเพียงใด!”

เว่ยฉางอิ๋งกล่าวขอบคุณคำชมเชยของนาง แล้วตอบไปว่า “แม้สะใภ้จะไม่เฉลียวฉลาด ทว่าก็เป็นบุตรีจากภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ ได้รับการอบรมมาแต่เล็ก ยังคงระลึกถึงสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนสั่งอยู่เสมอ มิเคยลืมเลือน ท่านอาตำหนิข้าเช่นนี้ ข้าไม่อาจยอมรับได้จริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้นข้าคิดว่าท่าทีและการกระทำที่ท่านอามีต่อท่านพี่และตัวข้านั้นมีลับลมคนใจจริงๆ! กอปรกับก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าระหว่างนั้นท่านพี่เคยถูกลอบทำร้ายมาก่อน จึงยิ่งรู้สึกกลัวอยู่ในใจขึ้นเรื่อยๆ …เรื่องครานี้จึงหวังให้ท่านปู่ท่านย่าจัดการให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

เสิ่นซวินสามีภรรยาล้วนคิดอยู่ในใจว่า ยามนี้ในเมืองล้วนพูดกันว่าเจ้าจับเสิ่นฉู่ผัวเมียรวมทั้งสาวใช้ผู้นั้นไปขังและลงโทษทุบตีอย่างหนัก เพื่อบีบให้พวกเขายอมรับว่าสมคบกับพวกตี๋ทำร้ายเสิ่นจั้งเฟิง ทั้งยังปลดเสิ่นถิงซู่จากตำแหน่งพ่อบ้าน ยามนี้ทุกคนในหมิงเพ่ยถังล้วนมาคอยปรนนิบัติเจ้าอย่างระมัดระวัง ด้วยหวาดกลัวว่าจะมีที่ใดให้เจ้าจับผิดและมาลงมือกับพวกเขาเอาอีก …เรื่องราวล้วนเป็นดังนี้แล้ว ยังจะให้พวกเราจัดการให้เจ้าอีกหรือ? จะต้องเปิดศาลบรรพชนแล้วลบชื่อของเสิ่นฉู่ผัวเมียออกเช่นนั้นหรือ?

แต่ติดที่หน้าตาของเสิ่นเซวียนจึงไม่อาจไม่พยายามรักษาหน้านาง พลันว่า “เสิ่นฉู่และนางโจวเลอะเลือนเกินไปจริงๆ! น่าเสียดายก็แต่พวกเราก็อายุมากแล้ว เอาแต่อยู่ว่างๆ ไม่ออกไปข้างนอก และไม่ใคร่ได้ยินเรื่องราวข้างนอก จึงไม่รู้ว่าเฟิงเอ๋อร์ถูกละเลยจนถึงเพียงนี้! เพิ่งจะมาได้ยินก็ครานี้! ดีที่เจ้ามาทันกาล หาไม่คงเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นแล้ว!”

เว่ยฉางอิ๋งได้ยินก็ร่ำไห้อีกครั้ง กล่าวว่า “ก็มิใช่หรือเจ้าคะ? คิดว่าท่านปู่ท่านย่าก็คงได้ยินข่าวมาก่อนว่าบุตรชายคนโตของข้าที่ยามนี้ท่านแม่เป็นคนเลี้ยงดูอยู่อายุเพิ่งจะไม่กี่เดือน ยังไม่ทันครบปีเลย! ลูกรักยังเล็กนัก ข้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง จะสามารถรับภาระยิ่งใหญ่อบรมเลี้ยงดูเขาจนเป็นผู้ใหญ่เพียงลำพังได้อย่างไร? หากท่านพี่เป็นอันใดขึ้นมา แล้วจะให้ข้ากับกวงเอ๋อร์มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร? นี่ท่านอาและท่านอาสะใภ้จงใจบีบให้ข้าแม่ลูกตายนะเจ้าคะ!”

“เด็กดี อย่าพูดเช่นนี้เลย” เมื่อเห็นว่านางยิ่งพูดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสิ่นซวินสามีภรรยาจึงรีบยับยั้งนางเอาไว้ นางฮั่วช่วยรอมชอมว่า “ก็มิใช่ว่ายามนี้เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดีหรอกหรือ? วาสนาของพวกเจ้าทั้งสามคนยังรออยู่ในวันหน้านะ!”

“ท่านย่าของเจ้ากล่าวถูกต้องนัก” เสิ่นซวินและภรรยาสบตากันคราวหนี้ ครานี้เสิ่นฉู่ผัวเมียทำการเลอะเลือนเช่นนี้ แม้มิได้หนักหนาสาหัสเช่นที่เว่ยฉางอิ๋งกล่าว …เพราะสามีภรรยาทั้งสองคนนี้ก็มิได้โง่ ก่อนนี้เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาพักรักษาตัวที่ คฤหาสน์ดั้งเดิมในตัวเมืองซีเหลียง ก็เป็นเพราะที่แห่งนี้เหมาะสมที่สุดในซีเหลียงแล้ว เขาเป็นนายผู้ชายที่ถูกกำหนดเป็นการภายในแล้วว่าจะมารับช่วงดูแลหมิงเพ่ยถังในวันหน้า แล้วเสิ่นฉู่ผัวเมียจะกล้าละเลยเขาได้อย่างไร?!”

ฉะนั้น แม้พวกเขาต้องการแอบยัดเยียดหร่วนอวี้ให้เสิ่นจั้งเฟิง จึงโยกย้ายสาวใช้สองสามคนในเรือนของเสิ่นจั้งเฟิงออกไป แต่ความจริงก็ไม่ได้ย้ายไปที่ใด เพียงแต่มิให้คนเหล่านั้นมาอยู่ต่อหน้าเสิ่นจั้งเฟิงบ่อยครั้ง และสั่งให้พวกนางหลบไปอยู่ที่อื่นเพื่อมิให้รบกวนหร่วนอวี้ปีนขึ้นเตียงเท่านั้น

————————–