ยิ่งไปกวานั้นในวันที่เว่ยฉางอิ๋งมาถึงและเห็นว่าหร่วนอวี้รินน้ำชาอยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าไปปรนนิบัติเสิ่นจั้งเฟิงในห้อง ที่จริงแล้วก็มีสาเหตุอยู่ ด้วยเสิ่นหยิวเจี่ยจะหารือเรื่องการศึกกับเสิ่นจั้งเฟิง แม้แต่กับเว่ยฉางอิ๋งเขาก็ยังบอกไปเพียงคำหนึ่งว่าเขาไปทำสิ่งใดภายในห้องของเสิ่นจั้งเฟิง ส่วนที่ว่าจะเป็นการศึกใดนั้น กลับมิได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว แล้วประสาอะไรกับหร่วนอวี้ซึ่งเป็นสาวใช้เล็กๆ คนหนึ่ง?
ยามหารือเรื่องการศึกย่อมต้องให้หร่วนอวี้ออกไปเสีย ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อนุญาตให้นางเข้าไปข้างในอีกแล้ว!
อีกทั้งหร่วนอวี้ก็ยังถูกนางโจวสอนสั่งชี้นำมาว่าต้องหาทางเข้าไปปรนนิบัติ เสิ่นจั้งเฟิงเพื่อให้ได้ฐานะบางอย่างมา วันหน้าหากสามารถมีบุตรชายหรือบุตรสาวสักคนก็นับว่ามีที่พึ่งพาแล้ว …เมื่อนางถูกให้ออกมาอยู่นอกห้องแล้วรู้สึกเบื่อนักหนา ทั้งยังรู้ว่าวันนั้นภรรยาเอกของเสิ่นจั้งเฟิงจะมาถึง อุตส่าห์มีโอกาสจะได้โบยบินขึ้นยอดไม้แต่ยังไม่ทันสำเร็จเลย ฮูหยินน้อยก็มาเสียแล้ว แล้วหร่วนอวี้จะไม่รู้สึกร้อนรนลนลานได้หรือ?
ในขณะที่กำลังร้อนรนลนลานอยู่ และในมือก็ไม่มีเรื่องใดทำ จึงชงชาฆ่าเวลาอยู่ที่นั่น
ทุกคนต่างรู้ถึงจิตใจที่ไม่ตรงไปตรงมาของสาวใช้ผู้นี้ นางนั่นหรือจะไม่คิดเข้าไปปรนนิบัติข้างเตียงเสิ่นจั้งเฟิง? แต่เห็นชัดว่านางไม่มีโอกาสเลย! มิเช่นนั้น เกรงว่านางคงแทบทนรอแทบไม่ไหว อยากเข้าไปแนบข้างกายเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากสามารถมุดเข้าไปภายในมุ้งได้จึงจะพอใจ!
ทว่าความเป็นมาที่แท้จริงซึ่งต่างรู้กันอยู่ในอกเช่นนี้ กลับไม่สามารถแก้ต่างเรื่องที่ตอนเว่ยฉางอิ๋งมาถึงแล้วเห็นว่ามีเพียงหร่วนอวี้อยู่ปรนนิบัติเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้อยู่ภายในห้องด้วย!
นางเป็นภรรยาเอกของเสิ่นจั้งเฟิงจะสงสารสามีของตนก็เป็นเรื่องที่สมควรและเป็นหลักการของฟ้าดินที่เที่ยงแท้ เพียงประโยคหนึ่งที่บอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงได้รับบาดเจ็บหนักหนาเพียงนั้นแต่กลับมีเพียงสาวใช้นอกรีตนอกรอยเพียงคนเดียวอยู่ปรนนิบัติ และด้วยรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางเช่นนั้นของหร่วนอวี้ เกรงว่าแม้จะช่วยพลิกตัวให้ เสิ่นจั้งเฟิงก็ยังยาก แล้วจะปรนนิบัติสามีนางดีๆ ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นยามที่นางไปถึงหร่วนอวี้ก็ไม่ได้อยู่หน้าตั่งเสิ่นจั้งเฟิง นี่เห็นชัดว่าทำงานผิดพลาด! เสิ่นฉู่สามีภรรยาจะพ้นจากความรับผิดชอบที่ละเลยเสิ่นจั้งเฟิงไปได้อย่างไร!
ที่คอขาดบาดตายที่สุดก็คือก่อนเว่ยฉางอิ๋งจะมาถึง นอกจากเสิ่นจั้งเฟิงที่มีอำนาจดูแลในหมิงเพ่ยถัง ก็ต้องเป็นเสิ่นฉู่สามีภรรยาแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเว่ยฉางอิ๋งกัดไม่ปล่อยว่าเสิ่นฉู่สามีภรรยารังแกสามีของนางที่กำลังบาดเจ็บหนักหมดสติไม่อาจลุกขึ้นมาดูแลเรื่องต่างๆ ได้ กระทั้งเคลือบแคลงว่าเสิ่นฉู่สามีภรรยาคิดจะทำร้ายเสิ่นจั้งเฟิงจนถึงตายอย่างเงียบๆ …หากเสิ่นฉู่สามีภรรยาอยากหาคนมาช่วยแบ่งความรับผิดชอบหรือคิดหาทางยอกย้อนสักหน่อยก็ยังทำไม่ได้!
แม้เสิ่นหยิวเจี่ยจะเป็นผู้บัญชาการแห่งซีเหลียง ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในหมิงเพ่ยถัง! และลำดับอาวุโสของผู้บัญชาการผู้นี้ก็ต่ำต้อยเสียยิ่งนัก หากนับไปแล้วก็ยังต้องเรียก เสิ่นฉู่สามีภรรยาว่าท่านปู่และท่านย่าเลย หากอ้างเอาเขามาพูดจาในตระกูล เขาเป็นเพียงคนรุ่นหลังคนหนึ่ง จึงไม่มีทางมาก้าวก่ายเรื่องใดของหมิงเพ่ยถังได้ แล้วจะรับผิดชอบสิ่งใดได้?
ต่อให้ทุกคนล้วนรู้ว่าเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าเสิ่นฉู่สามีภรรยาสมคบกับพวกตี๋นั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แต่หากคิดจะตำหนินางก็กลับไม่ง่ายเลย
ทว่าก็…
แล้วเหตุใดต้องไปตำหนินางเล่า? เสิ่นซวินและนางฮั่วเป็นสามีภรรยากันมานานปี จึงนับว่าเข้าใจกันและกันดังนิ้วในมือตน เพียงสบตากันคราวหนึ่งก็เข้าใจกันแล้ว เสิ่นซวินพลันสีหน้าดึงเครียด กล่าวว่า “ก่อนนี้เห็นว่าเสิ่นฉู่ผัวเมียก็ยังนับว่าดูซื่อตรง ทำการก็ละเอียดระมัดระวัง จึงได้สั่งให้พวกเขาไปคอยเฝ้าดูแลคฤหาสน์ดั้งเดิมไม่คิดว่าสองผัวเมียนี่จะเลวร้ายไร้ยางอายเพียงนี้! เฟิงเอ๋อร์มาสร้างความชอบเพื่อบ้านเมือง ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างเกียรติยศแก่ตระกูลเสิ่นของเราด้วย จึงได้บาดเจ็บหนักหนาเพียงนี้! คนเป็นอาและอาสะใภ้ก็ควรจัดเตรียมคนไปปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มกำลัง เพื่อให้หลานเฟิงเอ๋อร์หายในเร็ววันจึงจะถูก แต่สองคนนี้กลับเกียจคร้านจึงถึงขั้นนี้ จนเกือบทำร้ายเฟิงเอ๋อร์เสียแล้ว! ท่าจะคิดไม่ซื่อจริงๆ!”
เมื่อด่าทอไปดังนี้ก็แสดงว่าตนสนับสนุนการกระทำของเว่ยฉางอิ๋ง เสิ่นซวินเอามือลูบเครายาว นิ่งใคร่ครวญสักพัก แล้วเอ่ยในทำนองหารือกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “เสิ่นฉู่ผัวเมียไม่ได้ความ ทว่า…ตามความเห็นของปู่ สองคนนี้มีความประพฤติบกพร่องก็จริง แต่คงไม่ถึงขั้นไปสมคบกับพวกตี๋ เพราะอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลเสิ่นเรา ซึ่งมีความแค้นลึกล้ำกับพวกตี๋ หลานสะใภ้คิดเห็นประการใด?”
เว่ยฉางอิ๋งรีบแสดงท่าทีในทันใดว่า “ท่านปู่กล่าวถูกต้องนักเจ้าค่ะ! ตอนนั้นข้าก็โมโหเกินไป คิดว่าท่านอาและท่านอาสะใภ้ทำร้ายท่านพี่เช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ! จึงสงสัยไปถึงพวกตี๋โน่น เมื่อท่านปู่เอ่ยมายามนี้ ข้าก็รู้สึกว่าแม้ ท่านอาและท่านอาสะใภ้จะไม่ดี แต่ก็คงไม่ได้เป็นถึงขั้นนั้น”
คนที่คอยเฝ้าดูแลคฤหาสน์ดั้งเดิมกลับเป็นไส้ศึกของศัตรู หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็น่าขันสิ้นดี
อีกประการ เรื่องที่ในพวกชาวเว่ยมีไส้ศึกก็ยังแล้วไป แต่หากตระกูลเสิ่นที่เป็นคนดูแลที่แห่งนี้มารุ่นสู่รุ่นก็ยังมีไส้ศึกแล้ว อย่าว่าแต่ทำให้ตระกูลเสิ่นเสื่อมเสียชื่อเสียงเลย ว่ากันแต่เพียงทางฮ่องเต้ที่เมืองหลวง ก็ไม่รู้ว่าจะมาหาเรื่องหาราวเช่นใดแล้ว!
เหตุที่เว่ยฉางอิ๋ง ‘เคลือบแคลง’ เสิ่นฉู่สามีภรรยาก่อนหน้านี้ ประการแรก เพราะโมโหที่เขาไม่ยอมรับผิดแล้วกลับย้อนมาเล่นงานนาง จึงต้องหาข้ออ้างให้เขาลำบาก ประการที่สองก็เพื่อมอบโอกาสให้บรรดาญาติผู้ใหญ่เหล่านี้ได้ ‘สั่งสอน’ ตน
เวลานี้ ในเมื่อเสิ่นซวินสนับสนุนให้ลงโทษเสิ่นฉู่สามีภรรยาให้หนัก ดังนั้น เว่ยฉางอิ๋งย่อมน้อมรับคำแนะนำของเขาอย่างเต็มใจ
เมื่อไปคราวะผู้อาวุโสในตัวเมืองซีเหลียงจนครบหมดแล้ว ด้วยการเกลี่ยกล่อมของเว่ยฉางอิ๋ง นอกจากคนส่วนน้อยมากๆ ที่พยายามบ่ายเบี่ยงและไม่ยอมแสดงท่าทีในเรื่องนี้แล้ว ส่วนมากล้วนสนับสนุนให้ลงโทษเสิ่นฉู่สามีภรรยา
ด้วยเหตุที่ตัดข้อหาซึ่งว่ากันว่าสมคบคิดกับพวกตี๋ข้อนี้ออกไป ความผิดที่เสิ่นฉู่สามีภรรยาถูกลงโทษจึงคือข่มเหงรังแกหลานชายที่มีความดีความชอบ ทั้งยังเบาปัญญาไร้สามารถ ไม่อาจดูแลหมิงเพ่ยถังได้เป็นอย่างดี ละเลยหน้าที่ที่พึงมีต่อคฤหาสน์ดั้งเดิม ข้อหาแรกเท่ากับไร้คุณธรรม ส่วนข้อหาหลังก็คือไม่กตัญญู สองข้อหานี้ก็ไม่เบาเลยจริงๆ
…แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่ได้ดูแลหมิงเพ่ยถังอีกแล้ว ลำพังเรื่องที่ข่มเหงรังแก เสิ่นจั้งเฟิง เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อย จึงไม่ใช่แค่ส่งพวกเขากลับบ้านไปง่ายดายเพียงเท่านั้น
ผู้อาวุโสทุกท่านหารือกันให้พวกเขาต้องถูกลงทัณฑ์ เสิ่นฉู่ถูกตีด้วยท่อนไม้ห้าสิบไม้ นางโจวถูกตีด้วยลำไผ่ห้าสิบไม้ แต่ละคนถูกคุมตัวมารับโทษที่นอกศาลบรรพชนต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง ภายหลังยังริบสมบัติส่วนหนึ่งเข้าส่วนกลางอีกด้วย …ที่แย่ที่สุดก็คือประการสุดท้าย ซึ่งก็คือส่งพวกเข้าไปลงหลักปักฐานที่ตำบลตงเหอ ไม่ให้พวกเขาอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงอีกต่อไป
________________________