ตอนที่ 139-4 องค์ชายสามรับตำแหน่งใหม่ อัลมอนด์คู่ชาข้าว

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มและไม่ได้ถือสาอะไร มีคนมากมายกำลังมองดูอยู่ นางเดินไปข้างหน้าและทักทายอย่างผู้มีจิตใจกว้างขวาง “สนมเจี่ยง” 

 

 

เมื่อถูกอวิ๋นหว่านชิ่นแย่งโอกาสไปก่อน นิสัยใจคอที่คับแคบของหลานสาวก็เผยออกมา เจี่ยงฮองเฮาเสียหน้าเล็กน้อย ดึงมือของหลานสาวออก เจี่ยงอวี๋เห็นแล้วว่าเสด็จอาไม่พอพระทัย นางก็ยิ่งเกลียดชัดอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จอาพาชายาเอกฉินอ๋องกลับมา เพื่อมาฝึกระเบียบใช่หรือไม่เพคะ เช่นนั้นอย่ายืนคุยกันตรงนี้อีกเลย เข้าไปด้านในกันดีกว่านะเพคะ” 

 

 

เจี่ยงฮองเฮาเดินนำเข้าไปพร้อมนางกำนัลหนึ่งกลุ่ม เชิญหลายคนนั่งลง เริ่มถามไถ่งานพิธีอภิเษกเมื่อวานก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตอบเป็นข้อๆ  

 

 

เจี่ยงฮองเฮาถูปลอกหุ้มเล็บหยกฝ้าหลางอันแหลมคมพลางตรัสว่า “ร่างกายของฉินอ๋องไม่ค่อยจะดีนัก เมื่อก่อนไม่ยอมอภิเษกก็ใช้เหตุผลนี้ในการหลีกเลี่ยง ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นอ๋องคงมีลูกหลานวิ่งเล่นอยู่เต็มไปหมด เดิมทีข้านั้นคิดว่าเจ้าสองคนคงจะปรับตัวกันสักหน่อย ไม่คิดว่าเลยว่าจะเข้าห้องหอได้เร็วถึงเพียงนี้” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแสร้างทำเป็นเขินหน้าแดง ตอบกลับว่า “อืม” ระหว่างทางที่เดินทางเข้าวังวันนี้ ฉินอ๋องเล่าเรื่องผ้าพรหมจรรย์ให้นางฟังแล้ว แถมยังให้นางดูนิ้วที่บาดเจ็บเรียกร้องความสนใจอีก นางหัวเราะชอบใจใหญ่ จับนิ้วแล้วเป่าเกือบครึ่งค่อนวันกว่าคนบางคนจะพึงพอใจ แล้วยังจะบอกอีกว่ารู้อย่างนี้แล้วกรีดปากเสียดีกว่า 

 

 

เมื่อก่อนเขาจะอยู่นิ่งๆ หลีกเลี่ยงความโดดเด่น ไม่แปลกเลยที่ท่านอ๋องจะใช้ความเจ็บป่วยเป็นเหตุผล แต่ในวันนี้เขามีความคิดจะแย่งตำแหน่งรัชทายาท เขาไม่มีวันให้ความเจ็บป่วยเป็นตัวถ่วงแน่นอน 

 

 

องค์ชายที่เจ็บป่วยอิดออดจะไม่ได้ความสนใจจากราชสำนัก และการเข้าห้องหอได้สำเร็จ นั่นเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมที่แสดงว่ามีสุขภาพที่แข็งแรง 

 

 

เจี่ยงฮองเฮาจับผิดอะไรนางไม่ได้เลย ทำได้เพียงพยักหน้าและแสดงสีหน้าของผู้โอบอ้อมอารี “ดีแล้วล่ะ ฉินอ๋องสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เล็ก ในเมื่อวันนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ ข้ากับฝ่าบาทก็หายห่วงไปได้อีกหนึ่งเรื่อง ต่อไปนี้เจ้าต้องดูแลฉินอ๋องให้ดี อย่าได้ขาดตกบกพร่องเชียวล่ะ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นขานตอบ “หม่อมฉันเป็นชายาเอกที่ได้ตราประทับทองจากสำนักพระราชวัง นับจากนี้ หม่อมฉันจะไม่ละเลยต่อหน้าที่ และจะดูแลจวนอ๋องและสุขภาพของท่านอ๋องให้เป็นอย่างดีเพคะ” 

 

 

เจี่ยงอวี๋กำลังกินถั่วอัลมอนด์ที่นางกำนัลแกะให้อย่างเอร็ดอร่อย เสด็จอาชอบกินถั่วอัลมอนด์ ตำหนักเฟิงจ๋าจึงมีถั่วอัลมอนด์ให้กินตลอดปี มันทั้งสด หวานและอร่อย เวลานางมาที่ตำหนัก นางเคยชมอยู่หลายครั้ง ภายหลังนางกำนัลของตำหนักเฟิงจ๋าจึงแกะเปลือกไว้ให้ทุกครั้งที่นางมา วันนี้ชายาเอกอวิ๋นมาที่ตำหนักด้วย นางกำนัลจึงแกะเผื่อไว้อีกหนึ่งจานและวางเอาไว้ข้างๆ อวิ๋นหว่านชิ่น 

 

 

เดิมทีนางอยากเห็นฉากแม่สามีสอนกฎระเบียบให้ลูกสะใภ้ แต่คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงฮองเฮาถามออกไปแค่ไม่กี่คำถาม ไม่มีทีท่าว่าจะหาเรื่องและไม่ได้แสดงอำนาจข่มอวิ๋นหว่านชิ่นแต่อย่างใด นางรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด คนอย่างเสด็จอาไม่มีวันทำเรื่องที่ไร้จุดมุ่งหมายไม่ใช่หรือ การที่เรียกชายาเอกอวิ๋นมาถึงตำหนังเฟิงจ๋า หรือจะเรียกมาแค่สอนกฎระเบียบให้ลูกสะใภ้เท่านั้นจริงๆ  

 

 

เจี่ยงอวี๋รู้สึกเจ็บใจเมื่อได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถึงตราประทับทองชายาเอก ลูกสะใภ้ของราชวงศ์ มีเพียงเรือนเอกเท่านั้นที่จะได้รับตราประทับทอง นางไม่เห็นหรืออย่างไรว่าตนยังอยู่ตรงนี้ นี่นางกำลังประชดประชันตนเองอยู่เช่นนั้นรึ 

 

 

เจี่ยงอวี๋ถึงกับกินถั่วอัลมอนด์ไม่ลงอีกต่อไป ปัดมือที่เต็มไปด้วยเศษถั่วไปมา และพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายว่าพูดเล่น “เวลาชายาอวิ๋นพูด ช่างมีความมั่นใจเสียจริง อวี๋เอ๋อร์ว่า เสด็จอาไม่ต้องเป็นห่วงพระชายาเลยเพคะ! นางมีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องเสียเวลาแล้วเพคะ ให้พระชายากลับจวนเถอะเพคะ” 

 

 

เจี่ยงฮองเฮาจิกตาใส่เจี่ยงอวี๋และตำหนิด้วยเสียงต่ำว่า “หุบปาก” 

 

 

เจี่ยงอวี๋กัดฟันแน่นเมื่อเห็นเสด็จอาตำหนิตนเพราะคนนอกจนทำให้นางเสียหน้า แล้วไท่จื่อก็ชอบอวิ๋นหว่านชิ่น นางก็ยิ่งเกลียดอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปอีก นางจึงระบายอารมณ์กับคนรอบข้าง “ยังนิ่งอยู่ทำไมกันเล่า! ข้ากินถั่วอัลมอนด์ทั้งวัน ปากแห้งจะตายอยู่แล้ว ไม่รู้จักเอาน้ำมาให้ข้าอีก! เจ้าพวกโง่! รับใช้กันอย่างไร!” 

 

 

เจี่ยงฮองเฮาขมวดคิ้วหนึ่งทีพร้อมพูดน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไปเอาชาข้าวที่เจี่ยงเหลียงตี้ดื่มทุกครั้งมา เอามาเพิ่มหนึ่งถ้วยให้พระชายาด้วย มาถึงตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้รินน้ำให้พระชายาเลย” 

 

 

ไป๋ซิ่วฮุ่ยเข้าใจความหมายนั้นดี นางพากำนัลออกไปเตรียม พอเตรียมเสร็จก็สั่งให้นางกำนัลยกไปให้เจี่ยงอวี๋และอวิ๋นหว่านชิ่นคนละถ้วย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ชาข้าว คือน้ำข้าวสีขาวที่ทำจากข้าว เติมใส่น้ำตาล น้ำผึ้งและวัตถุดิบชูรสชาติหลายอย่าง รสชาติที่หญิงสาวชื่นชอบมักจะมีความหวาน น้ำชา รสชาติขมเกินไป น้ำเปล่า รสชาติจืดเกินไป ฉะนั้นเครื่องดื่มหอมกลิ่นนมแบบนี้จึงกลายเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวส่วนใหญ่ ดื่มคู่กับถั่วอัลมอนด์ ยิ่งอร่อย 

 

 

แต่ในชาข้าวนั้น——นอกจากส่วนผสมที่ให้ความหวานและเนื้อผลไม้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งกลิ่น 

 

 

เพราะชาข้าวถ้วยนั้นข้นเป็นพิเศษ ทำให้กลิ่นนั้นถูกกลบไปหมด 

 

 

คนทั่วไปอาจไม่ได้กลิ่น แม้จะได้กลิ่น แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องยา ก็คงไม่เกิดความสงสัยใดๆ  

 

 

เจี่ยงอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามตักกินทีละคำเหมือนทุกครั้ง พอกินหมด นางใช้ผ้าเช็ดปากที่นางกำนัลยื่นให้และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกครั้งที่มาหาเสด็จอา จะได้กินถั่วอัลมอนด์คู่กับชาช้าว มันวิเศษมากเลยเพคะ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองจานถั่วอัลมอนด์ที่ถูกเจี่ยงอวี๋กินจนเกือบหมด แล้วมองชาถ้วยนั้นต่อ นางสูดลมเย็นเข้าไปหนึ่งที 

 

 

“พระชายาคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ” สายตาของเจี่ยงฮองเฮามองมา 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากให้ฮองเฮาเกิดความสงสัย นางจึงยกถ้วยขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันแค่ไม่คิดว่าชาข้าวถ้วยนี้ จะมีรสชาติที่ดีถึงเพียงนี้ หม่อมฉันเคยชิมตอนอยู่ที่เรือน แต่มันไม่พิเศษเท่ากับถ้วยที่อยู่ในตำหนักเฟิงจ๋าถ้วยนี้เลยเพคะ” 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ของในวัง จะมีของชนชั้นล่างได้อย่างไรกันเล่า” เจี่ยงอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก 

 

 

หลังจากพูดคุยกันไปไม่กี่คำเสร็จ ถึงเวลาพลบค่ำแล้ว ในที่สุดเจี่ยงฮองเฮาก็เอ่ยออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงรีบร่ำลาขอตัวกลับทันที นางออกจากพระราชวังด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว ทันทีที่เดินออกจากประตูพระราชวัง นางเห็นเงาของคนๆ หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ น่าคุ้นเคยมาก ฉินอ๋องยังไม่ได้ไปหรือ เขารออยู่ที่ประตูมาโดยตลอด และเวลานี้เขายืนอยู่หน้าเกี้ยวหลังคาทอง ทันทีที่เห็นนาง ใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาก็คลายออก 

 

 

นางเดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว อยากจะเล่าความลับที่บังเอิญพบเจอที่ตำหนักเฟิงจ๋าให้เขาฟัง นางยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็จับข้อมือของนางและลากเข้าไปข้างในเกี้ยวทันที จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอยากจะกลับจวนเต็มทนว่า “กลับจวน” 

 

 

นางเห็นท่าทีรีบร้อนของเขาแล้วก็อดขำไม่ไหว นางยังขำไม่เสร็จ จู่ๆ ข้อมือก็ปวดจี๊ดขึ้นมา จนต้องจับข้อมือเอาไว้