ตอนที่ 139-3 องค์ชายสามรับตำแหน่งใหม่ อัลมอนด์คู่ชาข้าว

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เสียงใสอ่อนหวานชัดแจ๋วของหญิงสาวดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง เหล่าผู้ฟังกลั้นหายใจฟังอย่างไม่ออกเสียง

 

 

เจี่ยงฮองเฮาหันหน้าไปเห็นว่าสีหน้าของฮ่องเต้ดีขึ้น มือที่กุมไว้ก็คลายออกอย่างช้าๆ หากคิดคำนึงถึงบ้านเมือง ป้องกันความล้มเหลวจากการทุจริตในราชสำนัก การกล่าวออกไปภายใต้พื้นฐานความถูกต้องเช่นนี้ ฝ่าบาทจะกล่าวโทษได้อย่างไรกันเล่า

 

 

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หนิงซีฮ่องเต้ถอนหายใจและตรัสว่า “เจ้า ลุกขึ้นเถิด ข้าลืมนึกถึงเรื่องนั้นไปเลย เดิมทีตำแหน่งของคลังอาวุธเหมาะสมกับองค์ชายสามมาก ดูสิ ต้องหาตำแหน่งดีๆ ตำแหน่งใหม่ ช่างยากเหลือเกิน”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ฝ่าบาทผู้ทรงปรีชาญาณเพคะ——” ความทะเล้นของนางกลับมาอีกครั้ง แต่นางยังพูดไม่ทันจบ แขนของนางถูกดึงอีกครั้ง และดึงไปด้านหลัง เห็นเพียงฉินอ๋องเดินไปข้างหน้าหลายก้าว “ถ้าเสด็จพ่อตัดสินพระทัยเดี๋ยวนี้มันยากเกินไป เช่นนั้นกระหม่อมอยากทูลขอตำแหน่งๆ หนึ่งพะยะค่ะ”

 

 

“หืม?” หนังตาหนิงซีฮ่องเต้ถึงกับกระตุก

 

 

“กระหม่อมได้ยินว่า ผู้ช่วยขุนนางกลาโหมเมืองฉางชวนนอนป่วยเพราะหน้ามืดหมดสติหล่นจากหลังม้า จนถึงวันนี้ตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางกลาโหมยังว่างอยู่ไม่มีใครรับตำแหน่งไป ลูกคิดว่า ลูกประสงค์จะรับตำแหน่งนี้ เสด็จพ่อทรงมีความเห็นว่าอย่างไรพะยะค่ะ”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกโล่งอก นึกว่าจะทูลขอตำแหน่งใหญ่โต ถ้าขอในสิ่งที่ไม่สามารถให้ได้ก็ต้องคิดหาเหตุผลปฏิเสธอีก แต่ที่ไหนได้มาทูลขอตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางกลาโหมเมืองฉางชวนนี่เอง แต่ฮ่องเต้กลับขมวดคิ้วพร้อมกับตรัสกลับไปว่า “ผู้ช่วยขุนนางกลาโหมเป็นเพียงขุนนางท้องถิ่น ลำดับขั้นขุนนางยังไม่ถึงขั้นสาม แล้วยังต้องรับผิดชอบงานหลายส่วน นอกจากตั้งหลักคอยป้องกันภัยอันตราย ปลอบขวัญบำรุงขวัญพลเมืองและกองทัพ เมื่อข้าศึกบุก ในเวลาจำเป็นยังต้องออกรบสู้กับศัตรูอีก นี่เป็นตำแหน่งที่ทำงานหนักและอันตราย เจ้า——” เรื่องที่ชวนให้ปวดหัวมากเป็นที่สุดก็คือการมอบตำแหน่งให้ลูกชายคนนี้ ห้ามแต่งตั้งตำแหน่งที่มีอำนาจมากเกินไป และห้ามละเลยมากเกินไป เพราะเป็นถึงพระราชโอรส หน้าตาของราชวงศ์จะขาดตกไปไม่ได้เด็ดขาด

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงตรัสต่อ “เมื่อครั้งล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง กระหม่อมยังเอาชัยชนะมาได้ งานแค่นี้กระหม่อมไม่กลัวหรอกพะยะค่ะ ให้กระหม่อมอยู่ในที่ทำการที่ไม่ขาดแคลนคน สู้ให้กระหม่อมไปอยู่ในที่ทำการที่ต้องการคนเพิ่ม นั่นแหละถึงจะเป็นการรับใช้บ้านเมืองอย่างแท้จริง”

 

 

นัยน์ตาของเจี่ยงฮองเฮาเปล่งประกายวิบวับ เมืองฉางชวนอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง ระยะทางไปกลับต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน ครอบคลุมไปด้วยสามแคว้นสี่อำเภอ นับว่าเป็นเมืองชนบทสภาพแวดล้อมย่ำแย่

 

 

โจรท้องถิ่นหลบซ่อนอยู่ตามป่ามักก่อความวุ่นวายอยู่เป็นประจำ แล้วยังมีภัยพิบัติที่ไม่ใช่แผ่นดิวไหวก็คือน้ำทะลักเอ่อล้น หลายปีที่ผ่านมาปัญหาเหล่านี้สร้างความปวดหัวให้กับขุนนางที่ปฏิบัติงานอยู่ที่เมืองฉางชวนอยู่ไม่น้อย ทันทีที่ได้รับการแต่งตั้งก็ต้องวางแผนต่อว่าจะย้ายไปที่อื่นให้เร็วที่สุดด้วยวิธีไหน ซึ่งขุนนางที่ถูกสั่งย้ายไปที่นั่นล้วนแต่เป็นพวกที่ทำผิดต่อเหล่าขุนนางอำนาจสูง ไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์ไว้ให้ดีแต่แรก จึงได้ถูกสั่งย้ายไปอยู่ในที่แบบนั้น ได้ข่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีกลุ่มโจรก่อความวุ่นวาย แล้วผู้ช่วยขุนนางกลาโหมคนเก่าไปปราบด้วยตนเองจนถูกธนูยิงใส่ได้รับบาดเจ็บ และตกลงมาจากอานม้าจนไม่ไม่สามารถขยับตัวได้

 

 

ฉินอ๋องท่านนี้กลับทูลขอไปที่แบบนั้นด้วยตนเอง หากไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา เช่นนั้นก็คง——เป็นผู้มองการณ์ไกล!

 

 

เพราะสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ จะทำให้เห็นถึงความอดทน และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

 

 

หากดำรงตำแหน่งงานสบาย กินอิ่มทุกมื้อ ก็เหมือนกับการต้มกบในน้ำที่ร้อนขึ้นอย่างช้าๆ กว่าจะสุกก็ใช้เวลาอีกนาน!

 

 

เจี่ยงฮองเฮาหรี่ตามองฉินอ๋อง ไหนบอกว่าเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่สนใจอะไร ที่แท้ก็มีใจที่อยากจะสร้างผลงาน แต่ว่า——เมืองฉางชวนอันย่ำแย่นั่น ใช่ว่าจะทำได้ภายในวันสองวัน ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมย่ำแย่ ยังมีภัยพิบัติที่สร้างความลำบากให้พลเมือง แม้แต่ตัวพลเมืองเอง ก็ใช่ว่าจะนอบน้อมอ่อนโยนเหมือนกับคนในเมืองหลวง ได้ข่าวว่า แต่ละคนล้วนแต่เป็นพลเมืองที่ดื้อรั้น มีขุนนางเคยไปปกครองแล้วหลายคน ก็ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ คนนี้น่ะหรือ จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้จริง? ฮึ! ไม่รู้ซะแล้ว ว่าฟ้ามีความสูงเท่าไหร่ แล้วแผ่นดินมีความหนาเท่าไหร่

 

 

ก็คงไม่ต่างจากผู้ช่วยขุนนางกลาโหมคนเก่าหรอก!

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ เจี่ยงฮองเฮาแสดงสีหน้าสบายใจออกมา อยากจะให้หนิงซีฮ่องเต้รับปากซะเดี๋ยวนี้เลย

 

 

หนิงซีฮ่องเต้คิดชั่งใจไปครู่หนึ่ง หลังจากได้ยินฉินอ๋องกล่าวแบบนั้น เขาตรัสกลับว่า “ในเมื่อฉินอ๋องมีใจอยากรับใช้บ้านเมือง ทูลขอตำแหน่งเอง ข้าก็จะมอบตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางกลาโหมเมืองฉางชวนให้ ไว้ให้เหยาฝูโซ่วมอบพระราชโองการอย่างเป็นทางการให้อีกทีที่จวนอ๋องก็แล้วกัน”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงแสดงความเคารพขอบพระทัย พอถึงเวลากลับ ทั้งสองคนแสดงความเคารพ รอจนฝ่าบาทเสด็กออกจากพระตำหนักหย่างซินเตี้ยน และตอนที่กำลังจูงมืออวิ๋นหว่านชิ่นออกจากวัง เจี่ยงฮองเฮาหยุดเดินตรงหน้าประตูตำหนัก และตรัสว่า “ฉินอ๋องกลับไปก่อนเถิด พระชายาอวิ๋น หากไม่มีธุระอันใด ไปตำหนักเฟิงจ๋ากับข้าสิ”

 

 

สีหน้าของซย่าโหวซื่อถิงมืดลงทันที ไป๋ซิ่วฮุ่ยที่ยืนข้างเจี่ยงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายาอวิ๋นเพิ่งเข้าวัง ระเบียบหลายอย่างคงยังไม่เข้าใจ ในเมื่อวันนี้ได้เข้าวังแล้ว เสด็จไปฟังคำสอนของฮองเฮาเสียหน่อยนะเพคะ”

 

 

ชาติก่อนตอนที่เพิ่งแต่งเข้าจวนกุยเต๋อโหว อวิ๋นหว่านชิ่นก็มักจะถูกสิงซื่อลากไปสอนกฎระเบียบอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย นางจึงหันไปแสดงความเคารพต่อซย่าโหวซื่อถิงและกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านอ๋องกลับจวนไปก่อนนะเพคะ”

 

 

เจี่ยงฮองเฮาเห็นฉินอ๋องไม่ยอมก้าวเท้าเดิน นางหัวเราะเบาๆ แต่ในเสียงหัวเราะนั้นกลับแฝงไปด้วยความเย็นชา “กลัวข้าจะกลืนกินเจ้าสาวของฉินอ๋องเช่นนั้นรึ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดด้วยเสียงเบาว่า “กลับจวนไปก่อน”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นทำสีหน้าใส่ตน เขาไม่พูดอะไรอีก และหันหลังออกไปทันที

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามไป๋ซิ่วฮุ่ยและเจี่ยงฮองเฮามาถึงตำหนักเฟิงจ๋า

 

 

หน้าประตูตำหนัก มีหญิงสาวผู้หนึ่งรายล้อมไปด้วยนางกำนัล กำลังชูคอขึ้นมองไปมา คล้ายว่ายืนรอมาสักพักแล้ว

 

 

หญิงสาวสวมใส่เสื้อตัวนอกคมกลมผ้ามันเงาสีเขียวปักลายกิ่งไม้ดอก บนศีรษะปักปิ่นปักผมใบพัดทองฝังมุกหนึ่งอัน ทั้งตัวประดับเต็มไปด้วยเพชรพลอย นางโผลเข้าอ้อมอกของเจี่ยงฮองเฮาทันทีที่เห็นหน้า และไม่แม้แต่จะแสดงความเคารพใดๆ “เสด็จอา เสด็จไปไหนมาหรือเพคะ หลานคอยอยู่น้านนานแล้วนะเพคะ”

 

 

เป็นพระสนมในไท่จื่อเจี่ยงอวี๋นั่นเอง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ส่งเสียงใดๆ มองดูเจี่ยงฮองเฮาไม่ถือโทษที่นางไม่แสดความเคารพ คาดว่าความสัมพันธ์ของเขาสองคนน่าจะดีทีเดียว ทำแบบนี้ลับหลังจนเคยชิน ก็แหงละสิ ถ้าเจี่ยงฮองเฮาเกลียดชังหลานสาว แล้วจะยกหลานสาวให้เป็นสนมในไท่จือได้อย่างไรกันเล่า

 

 

เจี่ยงฮองเฮาตีมือเจี่ยงอวี๋แปะแปะ “ดูเจ้าสิ ในสมองของเจ้าวันๆ จำแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ เมื่อวานองค์ชายสามเข้าพิธีอภิเษกเจ้าลืมเช่นนั้นรึ วันนี้เขาสองคนมาแสดงความเคารพในวัง ข้าไปที่ตำหนักหย่างซินเตี้ยนมา ยังไม่แสดงความเคารพต่อพระชายาเอกของฉินอ๋องอีก!”

 

 

เจี่ยงอวี๋แอบมองคนที่อยู่ด้านหลังเสด็จอาแวบหนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นที่สวมใส่ชุดทางการซึ่งอยู่ด้านหลัง ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ

 

 

ชายาอวิ๋นแม้ว่าจะเป็นชายาเอก ตนเป็นสนมรอง แต่ฉินอ๋องมีลำดับที่ต่ำกว่าองค์รัชทายาท เมื่อหญิงสาวออกเรือนตำแหน่งของหญิงสาวจะถูกกำหนดโดยยศถาบรรดาศักดิ์ของฝ่ายชาย เมื่อเขาทั้งสองคนพบหน้ากันนางไม่ได้อยู่ต่ำกว่าชายาอวิ๋น แล้วเหตุใดนางจึงต้องแสดงความเคารพต่อนางด้วยเล่า