ตอนที่ 139-2 องค์ชายสามรับตำแหน่งใหม่ อัลมอนด์คู่ชาข้าว

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นคุกเข่าลงที่พื้นหิน และถวายความเคารพตามแบบพระชายาของพระราชโอรส ขุกเข่าสามครั้ง คำนับสามครั้งแล้วเรียก “เสด็จพ่อ” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้จ้องหญิงสาวด้วยความว้าวุ่นใจ หลายครั้งที่จิตใจล่องลอย พอได้ยินนางขานตนว่าเสด็จพ่อ แก้วหยกในมือสั่นจนน้ำชาเกือบหก 

 

 

นางที่สวมชุดพระชายาเอกเอาไว้ ตั้งแต่เดินเข้าตำหนักหย่างซินเตี้ยน จนถึงตอนนี้ องค์ชายสามจูงมือนางเอาไว้แน่น ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลยสักนิด ฮ่องเต้สงบจิตสงบใจลง แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ดื่มน้ำชาที่ลูกสะใภ้ยื่นให้จนหมด จากนั้นก็ตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด” 

 

 

เจี่ยงฮองเฮาเห็นท่าทีฮ่องเต้ที่จ้องลูกสะใภ้ ปลอกหุ้มเล็บแทบทิ่มไปถึงกลางฝ่ามือ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ฮองเฮารู้สึกคิดถูกที่ให้นางแต่งกับฉินอ๋อง หากนางแต่งเข้าวังจริงๆ ไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะวุ่นวายแค่ไหน 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ได้รับแจ้งจากขุนนางฝ่ายในแต่แรกแล้วว่า คืนอภิเษกของฉินอ๋องนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น หาได้มีจุดบกพร่องไม่ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ออกเรือน ยังพูดได้ว่าเป็นเด็ก ไม่สามารถแบกรับภารกิจสำคัญได้ และเขาเองก็ไหลไปตามน้ำใช้อาการป่วยเป็นเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยง จึงยังพอควบคุมและไม่ให้มีโอกาสก้าวหน้ามากเกินไป แต่วันนี้ หลังจากได้สร้างผลงานจากการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงครั้งนั้น กับการเข้าพิธีอภิเษก จะใช้เหตุผลว่ายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ กับร่างกายอ่อนแอ ไม่เพียบพร้อมไม่ได้อีกแล้ว ถ้ายังไม่มอบหน้าที่เพิ่มก็อาจเป็นที่ครหาได้ 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ หนิงซีฮ่องเต้นำแผนการที่ร่างไว้เมื่อวานออกมา “ตั้งแต่ฉินอ๋องได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งอ๋อง ก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเสมอมา ออกจากจวนก็นับครั้งได้ ไม่แต่งงานออกเรือน อีกทั้งยังตรัสว่าร่างกายของตนนั้นไม่ค่อยดีนัก ข้าจึงให้เจ้าทำหน้าที่ขุนนางฝ่ายในซึ่งเป็นงานที่สบาย ในเมื่อวันนี้เจ้าออกเรือนแล้ว ถือว่าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สองสามีภรรยายังรักใคร่กลมเกลียวอีก ข้านั้นดีใจยิ่งนัก เมื่อวานข้าจึงนึกถึงตำแหน่งดีๆ ให้ฉินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย เหยาฝูโซ่ว มานี่สิ——” พูดไปพลางสั่งให้เหยาฝูโซ่วอ่านพระราชโองการแทนตน 

 

 

ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นถึงกับแสยะยิ้ม เมื่อได้ยินหนิงซีฮ่องเต้ตรัสเช่นนั้น คำพูดนั้นช่างดูสวยหรูเหลือเกิน ก็ไม่ใช่เพราะฉินอ๋องมีสายเลือดของคนทางเหนืออยู่ครึ่งหนึ่งหรอกหรือ ถึงได้ขัดขวางอนาคตของเขาได้ถึงเพียงนี้ ฉินอ๋องเห็นว่าฮ่องเต้กดขี่ตน ตนจะตรัสว่าไม่อยากได้ ทำได้หรือ ทำตัวให้ฉลาดด้วยการไหลไปตามน้ำก่อนชั่วคราวดีกว่า การใช้เหตุผลว่าร่างกายอ่อนแอจะทำการใหญ่ไม่ได้! 

 

 

ตอนนี้ไม่มีวิธีไหนอีกแล้ว จึงจำเป็นต้องมอบตำแหน่งดีๆ สักตำแหน่งหนึ่งให้ฉินอ๋อง…แต่ ดูเหมือนว่า ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีเท่าไหร่ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหูตั้ง 

 

 

จากนั้น เหยาฝูโซ่วหันหน้าเข้าหาสองสามีภรรยาพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้คลังอาวุธยังขาดตำแหน่งขุนนางผู้ดูแลตราประทับอยู่หนึ่งตำแหน่ง คลังอาวุธนับได้ว่าเป็นที่ทำการอันสำคัญของราชสำนัก! ท่านอ๋องน่าจะรู้ หากพูดถึงลำดับขั้น นั่นคือขุนนางขั้นที่สอง ลำดับขั้นนี้ ในบรรดาพระราชโอรส นอกจากเว่ยอ๋องแล้ว ไม่มีใครอีกแล้วพะยะค่ะ! ตำแหน่งนี้ดีกว่าขุนนางฝ่ายในที่ฉินอ๋องดำรงอยู่ ดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้วพะยะค่ะ ซึ่งล้วนแต่เป็นความหวังดีของฝ่าบาท” 

 

 

คลังอาวุธคือสถานที่ที่ดูแลอาวุธกองทัพและอาวุธปืนของเมืองหลวง เพราะอวิ๋นเสวี่ยนฉั่งเกิดในครอบครัวทหาร ไปกลับคลังอาวุธอยู่บ่อยครั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงคุ้นเคยอยู่บ้าง ที่ทำการแห่งนี้มีความสำคัญต่อราชสำนักตามที่ว่าจริง ทั้งสำคัญและทำงานหนัก แต่ไม่ใช่สถานที่ที่จะเอาไว้สร้างเนื้อสร้างตัว คนในนั้นล้วนแต่เป็นลูกหลานตระกูลผู้ลากมากดีของเมืองหลวง ที่ไม่ยอมต่อสู้ อยากจะใช้ชีวิตโอ้เอ้พึ่งพาราชสำนักไปวันๆ หากได้เข้าไปในนั้น วันๆ ก็ได้แต่จ้องมองอาวุธที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้น นอกจากได้ยศที่สูงขึ้นแล้ว ไม่เห็นว่าหนิงซีฮ่องเต้จะลำบากใจตรงไหน ก็แค่ย้ายจากยศต่ำงานสบาย ไปสู่งานสบายที่ยศสูงขึ้น พูดไปพูดมา ก็ยังคงเป็นแค่งานราชการสบายๆ คนหนึ่ง! 

 

 

แล้วอีกอย่าง ขุนนางผู้ดูแลตราประทับคลังอาวุธเป็นตำแหน่งที่มียศขุนนางขั้นที่สอง ซึ่งเป็นยศสูงสุดของขุนนางแล้ว หากรับยศที่มีชื่อเสียงแต่ไร้อำนาจนี้ไป ต่อจากนี้ก็คงยากที่จะได้เลื่อนขั้น! แผนการของหนิงซีฮ่องเต้เห็นได้ชัดว่ามีความประสงค์จะให้ฉินอ๋องติดอยู่แค่ในตำแหน่งนี้ 

 

 

หลังจากเหยาฝูโซ่วอ่านจบ หันหน้าไปทางซย่าโหวซื่อถิงกล่าวว่า “ฉินอ๋อง ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีกหรือพะยะค่ะ——” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสูดหายใจลึก “หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่เหมาะนะเพคะ” 

 

 

พอประโยคนี้พูดออกไป สีหน้าของเจี่ยงฮองเฮาเปลี่ยนทันที นางตรัสด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “บังอาจ! ฮ่องเต้ทรงเลือกพระยศให้ฉินอ๋องเอง นี่คือพระราชโองการ! เจ้าไม่มีสิทธิพูดแทรก กล้าดีอย่างไรถึงพูดว่าไม่เหมาะ!” 

 

 

แม้หนิงซีฮ่องเต้จะเข้าข้างอวิ๋นหว่านชิ่นแค่ไหน แต่เมื่อนางพูดต่อหน้ากลางผู้คนถึงเพียงนี้ ก็เสียหน้าพอควร 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่คิดว่านางไม่แม้แต่จะส่งสัญญาณกล่าวโพล่งออกไปแบบนั้น สีหน้าของเขาหวูบมืด พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ยังไม่ถึงคราวพูดของเจ้า! ถอยไป!” เมื่อเห็นว่าฮองเฮามีท่าทีจะลงโทษ เขาจึงดึงแขนนางอย่างแรงหนึ่งที และดึงนางมาไว้ที่ด้านหลัง 

 

 

บรรยากาศนี้ ตั้งแต่คนใต้ฟ้าจนผู้สูงศักดิ์ล้วนแต่จับจ้องอยู่ที่คนๆ เดียว หากเป็นหญิงสาวทั่วไป คงตกใจจนหลบไปก่อนเป็นแน่ เหยาฝูโซ่วเห็นแล้วว่าฉินอ๋องมีความประสงค์จะปกป้องด้วยการตั้งใจตำหนิ แต่พระชายาเอกกลับไม่รับน้ำใจนี้ นางพยายามดิ้นให้หลุดจากฉินอ๋อง จากนั้นดึงแขนเสื้อขึ้น คุกเข่าลง “หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะขัดพระราชโองการเพคะ กลับกัน หม่อมฉันเข้าใจดี ความตั้งใจที่ฝ่าบาทหวังจะให้ฉินอ๋องเป็นดั่งมังกร และสร้างความเสมอภาคในราชสำนัก ไม่ให้เป็นที่ครหาได้ในภายหลัง หม่อมฉันจึงตรัสว่าไม่เหมาะเพคะ” 

 

 

เจี่ยงฮองเฮาหรี่ตาลง สีหน้าเรียบตึง ยิ้มด้วยความเย็นชาพลางตรัสว่า “ยิ่งพูดยิ่งเหลวไหล! ชายาเอกอวิ๋นปฏิเสธของพระราชทาน แต่กลับตรัสว่าเข้าใจพระราชโองการของฝ่าบาท! แล้วยังจะบอกว่าสร้างความเสมอภาคในราชสำนัก! ข้าได้ยินมานานแล้วว่า พระชายาอวิ๋นฝีปากฉะฉาน เป็นที่พอพระทัยของไทเฮา แต่นี่คือหน้าพระพักตร์ เป็นการเลื่อนยศให้กับพระราชโอรส ไม่ใช่เวลาพะเน้าพะนอผู้ใหญ่! ไม่ใช่ว่าพูดเก่งแล้วจะพูดอะไรก็ได้!” ศีรษะเอียงไปทางฉินอ๋อง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม “ฉินอ๋องดูแลคนท้ายเรือนอย่างไรรึ ก่อนเข้าวังเหตุใดจึงไม่สั่งสอนเสียก่อน ตามใจมากเกินไปแล้วกระมัง! นึกว่าตำหนักหย่างซินเตี้ยนเป็นห้องนอนหรืออย่างไร!” 

 

 

เดิมทีซย่าโหวซื่อถิงใจหล่นวูบเมื่อเห็นนางโพล่งออกไปแบบนั้น แต่พอฟังสิ่งที่นางกล่าว ก็ฟังออกทันทีว่านางเตรียมตัวมาแล้ว เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น งานเลี้ยงเสียเล่อครั้งก่อน นางก็กระโจนเข้าไปอยู่ตรงหน้าไทเฮา เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาเป็นห่วงเกือบครึ่งค่อนวัน 

 

 

เวลานางจะทำอะไร นางเคยบอกกกล่าวเขาล่วงหน้าด้วยหรือ 

 

 

พอคิดได้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นนิ่งเรียบ “เสด็จพ่อลองฟังก่อนดีหรือไม่พะยะค่ะ” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้แม้จะไม่พอพระทัยที่อวิ๋นหว่านชิ่นล่วงละเมิด แต่พอเห็นเจี่ยงฮองเฮาอยากจะลงโทษนางซะเดี๋ยวนี้ จึงแตะจมูกเบาๆ ขมวดคิ้วพลางตรัสไปว่า “ว่ามาสิ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มอธิบาย “คลังอาวุธเป็นที่ทำการดูแลอาวุธ มีหน้าที่จัดเก็บรักษาอาวุธ แล้วท่านพ่อของหม่อมฉันเป็นเจ้ากรมฝ่ายทหารมีหน้าที่เคลื่อนย้ายอาวุธ ทั้งสองที่ทำการพูดได้ว่าแน่นแฟ้นดั่งพี่กับน้อง มักได้ร่วมงานกันอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่หม่อมฉันยังเป็นเด็ก ด้วยหน้าที่การงานของท่านพ่อ หม่อมฉันเห็นท่านพ่อร่วมทานอาหารดื่มสุรากับข้าราชการของคลังอาวุธเป็นประจำ หากฉินอ๋องได้ยศขุนนางขั้นที่สองของคลังอาวุธ ซึ่งเป็นยศที่มีความสำคัญมาก เมื่ออยู่ในงานราชการ อาจมีความใกล้ชิดกับท่านพ่อมาก แล้วทั้งสองท่านมีความเกี่ยวดองกันเช่นนี้อีก แม้ว่าฉินอ๋องกับท่านพ่อจะปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส แต่อาจทำให้ผู้คนยิ่งมีความสงสัย และอาจกลายเป็นปัญหาต่อการปกครองชาติบ้านเมืองของฝ่าบาทในภายหลังได้ ฝ่าบาททรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักประการแรก ลับหลัง ห้ามขุนนางสนิทชิดเชื้อกันมากเกินไป ประการที่สอง การปรองดองระหว่างขุนนาง ห้ามปฏิบัติงานราชการที่อยู่ในแนวเดียวกัน ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นข้อห้ามเพื่อป้องกันการรวมตัวกันก่อตั้งเป็นพรรคพวก ขยายอำนาจส่วนตัวจนเป็นใหญ่ของเหล่าขุนนาง หากฉินอ๋องรับยศขุนนางนี้ไป จะขัดต่อปณิธานของฝ่าบาทไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันอยากให้ฉินอ๋องได้รับยศสูงๆ ของคลังอาวุธอยู่แล้ว แต่พอคิดถึงยศตำแหน่งที่กำลังจะได้มานี้ ไม่ต่างจากเผือกร้อนในมือ ปัญหาต่างๆ นานาล้วนแต่ไม่เกิดผลดีต่อราชสำนัก ฝ่าบาท ฉินอ๋องและท่านพ่อของหม่อมฉัน แม้ว่ามีความอยากได้ตำแหน่งมาครองเพียงไหน แต่ก็คงทำได้เพียงหลีกเลี่ยง——หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทยกเลิกพระราชโองการนี้เถิดเพคะ!”