บทที่ 625 ความอบอุ่น + บทที่ 626 โลกกลม

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 625 ความอบอุ่น

ชายผู้เป็นหัวหน้ามองเข้าไปในห้อง สายตาที่เขาใช้มองหนิงเมิ่งเหยานั้นเย็นชา ราวกับอยากจะแช่แข็งนางเสียเดี๋ยวนั้น

“ถอย”

เมื่อเห็นพวกเขาเตรียมที่จะถอนกำลัง หนิงเมิ่งเหยาจึงยกเท้าขึ้นถีบร่างที่นอนอยู่บนพื้น “พาคนของเจ้ากลับไปด้วย ข้าไม่อยากให้เขามาทำให้ห้องของข้าแปดเปื้อน”

“ในไม่ช้าพวกข้าจะกลับมาตอบแทนไมตรีของท่านแน่ กลับ”

เว่ยลั่วมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างเป็นกังวล “เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”

คนแปลกหน้าช่วยนางจากคนพวกนี้ แต่กับคนที่นางเชื่อใจล่ะ พวกเขาล้วนเป็นตัวการที่ทำให้นางต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้

ฮ่า ฮ่า ตระกูล ความสัมพันธ์ร่วมสายโลหิตอย่างนั้นหรือ น่าหัวร่อนัก

“ในอนาคตเจ้าจะรู้เองว่าพวกเราเกี่ยวข้องกันหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่พลางมองเว่ยลั่ว

เว่ยลั่วมองคนที่อยู่ตรงหน้าตนอย่างไม่เข้าใจ นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ไม่มีอะไร พักผ่อนเสียเถอะ จริงสิ นี่เป็นยาช่วยรักษาบาดแผลของเจ้า”

เว่ยลั่วมองหนิงเมิ่งเหยาเดินออกจากประตูไป จากนั้นนางจึงมองขวดยาที่วางอยู่บนโต๊ะ รอยยิ้มบิดเบี้ยวที่ดูน่าเกลียดกว่ายามร้องไห้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง

หลังจากหนีหัวซุกหัวซุนมาถึงป่านนี้ ก็ไม่รู้เลยว่าบุตรชายของตนเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อนางนึกถึงพวกคนที่มอบบุตรชายของนางให้คนอื่นด้วยวิธีการอันต่ำช้าขึ้นมา เว่ยลั่วสัมผัสถึงความเกลียดชังที่อยู่ภายในหัวใจของตนได้ชัดเจนนัก

สักวันนางจะต้องทำลายตระกูลนั้นให้สิ้นซาก

หลังเดินออกมาจากห้อง หนิงเมิ่งเหยาตั้งใจจะไปหาเฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ แต่นางกลับหาตัวใครไม่เจอสักคน ทั้งๆ ที่นางเห็นรถม้าของพวกเขาจอดอยู่ในสวน

หลังจากสอบถามกับเสี่ยวเอ้อร์ จึงรู้ความว่าเฉียวเทียนช่างพาเด็กทั้งสองออกไปเล่นข้างนอก ชิงซวงกับหนานอวี่ก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน เพราะเหตุนี้นางจึงจำต้องรอให้พวกเขากลับมาก่อน

นางสั่งอาหารจากห้องโถงมาเติมเต็มกระเพาะ ในตอนที่นางทานอาหารจนเกือบหมดจาน เฉียวเทียนช่างจึงพาเด็กทั้งสองกลับมา เฉียวโม่เฟิงหอบของไว้เต็มแขน แม้แต่เจ้าลิงน้อยก็ยังมีของเล่นชิ้นเล็กๆ อยู่ในมือ

เฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยาตอนที่เขาเดินเข้ามา เขาพาลูกๆ เดินเข้าไปหานาง “เจ้าตื่นแล้วหรือ”

“ตื่นแล้ว พวกเจ้ากินข้าวกันหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปพักข้างบนกันเถอะ” เฉียวเทียนช่างนั่งลงข้างหนิงเมิ่งเหยา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดเศษอาหารที่ติดอยู่ตรงมุมปากของนาง

หนิงเมิงเหยากะพริบตา จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่านางยกห้องของพวกตัวเองให้กับเว่ยลั่วไป

“เราหาห้องใหม่เถอะ”

“ทำไมล่ะ”

“ข้าจะเล่าให้ฟังตอนขึ้นไปข้างบน” นางมองผู้คนรอบตัว ที่นี่ไม่เหมาะจะสนทนานัก ดังนั้นนางจึงตอบเขาพอเป็นพิธี

เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยา จากนั้นจึงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าสั่งเช่นนั้นก็ได้”

หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นมองเฉียวเทียนช่าง “ถ้าไม่ใช่ข้าสั่ง แล้วจะเป็นใครล่ะ”

“ไปกันเถอะ”

หลังจากทั้งสี่คนเดินขึ้นไปด้านบน หนิงเมิ่งเหยาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฉียวเทียนช่างฟัง

เฉียวเทียนช่างมีสีหน้าอับจนหนทางขณะมองหนิงเมิ่งเหยา ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรไม่ออก ภาพนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยาต้องยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองด้วยความประหม่า “เรื่องนั้น อย่าโกรธเลยนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

นางบุกเข้ามาเอง แล้วจะไม่ให้ช่วยได้อย่างไร อีกอย่างนางก็เกี่ยวข้องกับท่านปูไกว้เสียด้วย

แม้จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เฉียวเทียนช่างก็ไม่ได้ยืนกรานที่จะขอพบคนคนนั้น หลังจากช่วยหนิงเมิ่งเหยาอาบน้ำให้ลูกๆ เสร็จ เขาจึงกล่อมเด็กทั้งสองเข้านอน

แต่เฉียวโม่เฟิงกลับนอนไม่หลับ เด็กชายยังง่วนอยู่กับการเล่นของเล่นในมือ

“พักก่อน ดึกป่านนี้แล้ว ค่อยเล่นต่อพรุ่งนี้” หนิงเมิ่งเหยาที่ตอนแรกต้ังใจมาดูว่าเฉียวโม่เฟิงหลับหรือยัง กลับเห็นเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลางเล่นของเล่นที่เฉียวเทียนช่างซื้อให้วันนี้อยู่

เฉียวโม่เฟิงยิ้มให้หนิงเมิ่งเหยา ก่อนวางของเล่นลงในมือนาง “ท่านแม่”

“หืม เจ้าเช็ดผมตัวเองไม่เป็นหรือ” หนิงเมิ่งเหยาบ่นพึมพำ นางหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาแล้วช่วยเช็ดเส้นผมเปียกๆ ของเฉียวโม่เฟิง

เฉียวโม่เฟิงสัมผัสได้ถึงแรงสั่นบนศีรษะของตน เด็กชายนั่งเหม่อ เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน

หนิงเมิ่งเหยาวางผ้าในมือของนางลงเมื่อเห็นว่าผมของเขาเกือบแห้งดีแล้ว นางมองเฉียวโม่เฟิง “เอาล่ะ เจ้าควรพักผ่อนเสีย”

“ขอรับท่านแม่ ราตรีสวัสดิ์ขอรับ”

“ราตรีสวัสดิ์”

บทที่ 626 โลกกลม

เมื่อหนิงเมิ่งเหยากลับมาที่ห้องของตน เฉียวเทียนช่างก็อาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังนั่งรออยู่

“เป็นอย่างไรบ้าง”

“เขาหลับแล้ว”

ขณะนอนอยู่บนเตียง จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็นอนไม่หลับ นางกวนเฉียวเทียนช่างที่เริ่มง่วงจนเขาไม่อาจนอนต่อได้

“มีอะไรหรือ”

“ไม่มีหรอก เมื่อตอนกลางวันข้าไม่ควรหลับไปนานเสียขนาดนั้นเลย ตอนนี้ข้าเลยนอนไม่หลับ” หนิงเมิ่งเหยาบ่นอย่างเศร้าใจ

เฉียวเทียนช่างยกมือขึ้นเคาะศีรษะของหนิงเมิ่งเหยา เขามองหญิงข้างกายด้วยสายตาเอือมระอา

เฉียวเทียนช่างคุยกับหนิงเมิ่งเหยาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงลมหายใจของนางดังขึ้นข้างหู เขาจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมแม่และเฉียวโม่ซางเอาไว้ก่อนหลับตาลง

วันต่อมา หนิงเมิ่งเหยาเดินไปเรียกเว่ยลั่วมาทานอาหารเช้า เว่ยลั่วเดินออกมา เมื่อนางเห็นเฉียวโม่เฟิงที่ยืนอยู่หลังเฉียวเทียนช่าง เว่ยลั่วถึงกับตะลึงตัวแข็งค้าง สายตาของนางมองจ้องไปข้างหน้า สมองของนางว่างเปล่า

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่าเว่ยลั่วไม่ตอบคำถามตนแม้เวลาจะล่วงเลยมาครู่หนึ่งแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน เหตุใดจู่ๆ นางจึงไม่พูดไม่จา

“เว่ยลั่ว มีอะไรหรือ”

เว่ยลั่วได้สติ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยกระวนกระวาย “เขาคือ…”

นางมองตามสายตาของเว่ยลั่ว เฟิงเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงนั้น “เขาเป็นลูกชายคนโตของข้า มีอะไรหรือ”

เว่ยลั่วคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าเฉียวโม่เฟิงกำลังมองนางอยู่ ใจของเว่ยลั่วพลันเต้นแรงขึ้นมาในทันที

แต่สุดท้ายนางก็ต้องผิดหวัง เพราะเฉียวโม่เฟิงเพียงมองนางอย่างสงสัยเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นจึงหันหน้าไปคุยกับเฉียวเทียนช่างต่อ เด็กชายดูเหมือนไม่รู้จักนางเสียด้วยซ้ำ

แม้หนิงเมิ่งเหยาจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่นางสัมผัสได้ว่าเว่ยลั่วทำตัวมีพิรุธ “มีอะไรหรือ”

“เจ้า… ช่วยมากับข้าสักประเดี๋ยวได้ไหม” เว่ยลั่วครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

หนิงเมิ่งเหยามองพวกเฉียวเทียนช่าง จากนั้นนางจึงพยักหน้า “เทียนช่าง พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ อีกสักครู่พวกข้าจะตามไป”

หลังเฉียวเทียนช่างพาเด็กทั้งสองและพวกชิงซวงเดินจากไป หนิงเมิ่งเหยาก็มองหน้าเว่ยลั่ว “เหตุใดเจ้าจึงอยากให้ข้าอยู่ต่อ”

“เด็กคนนั้นชื่ออะไร” เว่ยลั่วถามละล่ำละลัก

“เฉียวโม่เฟิง แต่เขาจำอดีตของตัวเองไม่ได้เลยสักอย่าง” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

แต่คำตอบของนางทำเอาเว่ยลั่วแทบทรุด “เจ้าบอกว่าเขาจำเรื่องในอดีตไม่ได้สักอย่างเลยหรือ”

ไม่แปลกเลยที่เขาจะมองนางราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า

“ใช่ เหตุใดเจ้าจึงถามถึงเฟิงเอ๋อร์ล่ะ” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว นางเริ่มรู้สึกระแวง

เว่ยลั่วยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ไม่มีอะไร บางทีนี่อาจจะเป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์ ทั้งที่ในที่สุดข้าก็หาเขาเจอ แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว”

ท่าทางอันสิ้นหวังของนางทำให้หนิงเมิ่งเหยานึกถึงข่าวลือที่นางให้หนานอวี่กับพวกสืบ เว่ยลั่วมีลูกอยู่คนหนึ่ง แต่เด็กคนนั้นถูกจับตัวไป จากนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรอีก

นางมองเว่ยลั่ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฟิงเอ๋อร์คือบุตรชายของนาง

“เจ้าเป็นแม่ของเฟิงเอ๋อร์หรือ” หนิงเมิ่งเหยาถามอย่างไม่แน่ใจ

ร่างของเว่ยลั่วเกร็งขึ้น จากนั้นนางจึงพยักหน้า “ใช่ แต่เพราะความจองหองของข้า เพราะความรักอันน้อยนิดที่ข้ามีให้กับตระกูล บัดนี้เขาจึงต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”

หากไม่ใช่เพราะนาง บุตรชายของนางคงไม่ลงเอยเช่นนี้แน่ แต่เมื่อนางคิดว่าทั้งสองเลี้ยงดูบุตรชายของนางเช่นใดนางก็รู้สึกว่าบางทีเด็กชายอาจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมแล้วก็ได้

หนิงเมิ่งเหยามองเว่ยลั่วอย่างอับจนคำพูด การที่ตนช่วยเว่ยลั่วเอาไว้นั้นนับว่าบังเอิญแล้ว แต่ใครเล่าจะรู้ว่านางช่วยแม้กระทั่งบุตรชายของหญิงผู้นี้เอาไว้ด้วย นางรู้สึกว่าโลกช่างกลมยิ่งนัก

“ขอบใจเจ้ายิ่งนักที่ช่วยลูกชายข้า” เว่ยลั่วยืนขึ้นก่อนโค้งคำนับหนิงเมิ่งเหยา

“เฟิงเอ๋อร์เป็นเด็กดี ไม่จำเป็นต้องขอบคุณพวกข้าหรอก แต่เจ้าคิดจะทำอะไรต่อหรือ” หนิงเมิ่งเหยามองเว่ยลั่วแล้วถามนางด้วยสายตาเยือกเย็น

เว่ยลั่วกำมือทั้งสองข้างของตนแน่น นางกัดฟันก่อนเอ่ยว่า “ข้าต้องการให้คนที่รังแกลูกข้าได้ชดใช้ แม้ว่าเมื่อก่อนข้าต้องตามหาเขาแทบพลิกแผ่นดิน แต่ตอนนี้เพียงรู้ว่าเขาสุขสบายดี ข้าก็พอใจแล้ว”

มีศัตรูที่นางสามารถให้อภัยได้ แต่ก็มีศัตรูที่นางไม่อาจให้อภัยได้อยู่ ไม่ว่าพวกมันจะร้องขอชีวิตอย่างไรก็ตาม

หนิงเมิ่งเหยามองเว่ยลั่ว นางส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้”

“คนพวกนั้นมอบลูกชายข้าให้คนอื่นในตอนที่ข้าออกไปทำภารกิจให้ตระกูล มันยิ่งกว่าบ้าเสียอีก เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกมันก็เตรียมตัวชดใช้ผลกรรมที่ทำเสีย”