เฟิ่งชิงเฉินพลันเงยหน้าขึ้นไปมองสำรวจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มที่เอาแต่ตกตะลึงขยุ้มเสื้อของตนเอาไว้เพื่อให้ได้สติกลับมา
เฟิ่งชิงหลิงยักไหล่อย่างไม่แยแส พร้อมทั้งก้มหน้าลงมากินซุปงูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามเดิม
นางไม่ต้องการจะให้เด็กหนุ่มตรงหน้าตกใจ
เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย เฟิ่งชิงเฉินจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีสบายอารมณ์ว่า “เจ้ามากินอะไรก่อนเถอะ หากมีเรื่องอะไรค่อยพูดกันทีหลัง ”
สำหรับเด็กหนุ่มคนนี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาไม่น้อย
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มีแววตาที่ใสซื่อ จะอย่างไรย่อมไม่ใช่คนชั่วอย่างแน่นอน หลังจากที่เขารับเงินของนางไปแล้วนั้น ก็มาส่งงูให้ในทันที นั่นหมายถึงว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ามีจิตใจที่เรียบง่าย
เมื่อรวมไปถึงความตื่นกลัวที่แสดงให้เห็นเป็นครั้งคราว แววตาของเขาราวกับลูกวางยิ่งนัก ที่แฝงไปด้วยความวิตกกังวลและความคาดหวัง
ยามที่นางมองเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้า เสมือนว่านางเห็นร่างของเฟิ่งชิงเฉินคนก่อนอยู่ในตัวของเขา
ทั้งถูกใส่ร้าย จนต้องเข้าสู่หนทางตาย
แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ เฟิ่งชิงเฉินคนก่อนเลือกที่จะตาย แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ เลือกที่จะต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่ำป
ผู้ที่คิดท้าทายต่อโชคชะตาเช่นนี้ สำหรับนาง ก็เหมือนเป็นการใช้มีดเล็กร้อยแต่สำหรับเด็กหนุ่มตรงหน้า มันเหมือนกับเป็นการเปลี่ยนชีวิตเขา
เสมือนกับที่ เสด็จอาเก้าได้มอบอาภรณ์ให้นางในวันนั้น
สิ่งที่เขายื่นมือออกมาหานางในวันนั้น ทำให้นางสามารถรักษาศักดิ์ศรีที่หลงเหลืออยู่ของตนเองเอาไว้ได้
นอกจากนี้ เฟิ่งชิงเฉินเกลียดรตราประทับร่างกายเช่นนี้มากนัก
คำว่า ” ทาส ” ถือเป็นการแบ่งชนชั้นวรรณะทางสังคม
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนกับหยกที่สวยงาม เฟิ่งชิงเฉินมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็น “ทาส” ที่ใดเลย
แน่นอนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเด็กหนุ่มผู้นี้ เหมาะที่จะอยู่ในจวนเฟิ่งมากนัก
นางจะไปหาคนหน้าตางาม ๆ ที่สามารถใช้แรงงานยิบย่อยได้ที่ใดกัน
เด็กหนุ่มพลันมองไปยังเฟิ่งชิงเฉิน ด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย จู่ ๆ ก็พลันมีเสียงท้องร้องของตนเองดังออกมา
ถึงแม้ว่า ภายในใจของเขากำลังรู้สึกร้อนรน อยากรู้ว่ารอยตราประทับที่อยู่บนตัวของตนเองจะถูกลบออกได้หรือไม่ หากแต่เหมือนเห็นเฟิ่งชิงเฉินตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดียว เขาก็ได้แต่ต้องรอต่อไป
เขาจึงนั่งลงและกินซุปงูร้อน ๆ ตรงหน้า รสชาติที่อร่อยของซุปงู เสมือนกับการเคี้ยวขี้ผึ้งยิ่งนัก เด็กหนุ่มจึงกินอาหารที่อยู่ในมือของเขาไปสองสามคำ จนกระทั้งรู้สึกอิ่มท้อง ยามที่เขากำลังคิดจะถามเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมานั้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในหูทันที
มีคนมา?
ทั่วร่างของเด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ พร้อมกับพยายามหาที่หลบซ่อนอย่างระมัดระวัง
เขากลัวว่าตนเองอาจจะเผลอแสดงสิ่งใดออกไปต่อหน้าคนแปลกหน้า
เฟิ่งชิงเฉินพลันลุกขึ้นยืน แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าใครกำลังมา แต่ในเวลานี้ ผู้ที่กล้ามาที่จวนเฟิ่งได้คงไม่ง่ายนัก
“อย่าไปกลัว เจ้าหาใช่ทาสไม่ ทั้งยังไม่ใช่ผู้ลี้ภัยอีก ตอนนี้ อืม เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ใช่ เจ้ามีนามว่าอะไรกัน ?”
“นามสกุลของข้าคือโจว คุณหนูสามารถเรียกข้าว่าโจวสิงก็ได้ขอรับ” เด็กหนุ่มพลันลังเลออกมาเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยชื่อนั้นออกมา
เมื่อรู้ว่าเป็นนามแฝง เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้ถามอันใดให้มากความ “โจวสิง จำไว้ว่า จากนี้ไปเจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ต่อไปนี้ให้เรียกข้าว่า พี่สาว”
เมื่อพูดจบ ก็พลันหันไปหาบุคคลที่กำลังเดินเข้ามา
เมื่อเห็นอาภรณ์เนื้อดี ทั่วร่างที่แผ่กลิ่นอายความมีเมตตาออกมา พร้อมทั้งทุกย่างก้าวที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
“คุณชายซู?” เฟิ่งชิงเฉินกระพริบตาเล็กน้อย
กลิ่นอายรัศมีของคุณชายซูคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ ยามที่ต้องอยู่ในห้องเก็บศพ ก็เพราะว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับน้องชายของเขา จึงทำให้อารมณ์ไม่ดี
แต่ในยามนี้ คุณชายซูก็ได้ขจัดความหดหู่และความเศร้าหมองที่เคยเห็นในตอนกลางวันออกไปจนหมดสิ้น ทุกการเคลื่อนไหวในยามนี้ จึงเต็มไปด้วยความสง่างามและความหรูหราของคุณชาย ที่ส่องเข้ามาในตาของผู้คนในทันที
“คุณหนูเฟิ่ง ข้าต้องขอโทษด้วย ที่เหวินชิงเดินเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซูเหวินชิงพลันก้มหน้ากล่าวขอโทษอกกมา
แท้จริงๆแล้ว จะไปโทษเขาก็ไม่ได้
จวนเฟิ่งที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่หาได้มีคนใช้เลยสักคนไม่
“ไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะชิงเฉินมิได้ทำการต้อนรับแขกให้ดี ถึงมิได้ออกไปต้อนรับคุณชายด้วยตนเอง ” เฟิ่งชิงเฉินได้แสดงท่าทีมีมารยาทออกมา พร้อมกับควบคุมอารมณ์ให้เย็นชาและนิ่งสงบตามเดิม
เมื่อคุณชายซูรับรู้ได้ถึงระยะห่าวที่เฟิ่งชิงเฉินตั้งเอาไว้ ไม่รู้ว่าเหตุใดซูเหวินชิงถึงได้รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
ลึกๆ แล้ว เขาไม่ชอบให้เฟิ่งชิงเฉินปฏิบัติต่อเขาในฐานะแขกเลย แต่ทว่า เขาต้องการให้นางปฏิบัติต่อเขาในฐานะอะไรกัน?
ซูเหวินชิงไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เขารู้แต่เพียงว่า เขาไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ห่างไกลกับเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งยังหวังว่าทั้งสองคนจะสามารถสนิทใกล้ชิดกันได้มากกว่านี้
“คุณหนูเฟิ่ง เหวินชิงมาที่นี่เพื่อขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน อย่างไรก็ตาม ข้าเองก็ต้องขอบคุณที่คุณหนูเฟิ่ง ช่วยชีวิตน้องชายของข้าเอาไว้ด้วย”
พูดจบ ก็พลันรำพึงรำพันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินพลันเอ่ยขึ้นมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งรีบร้อนเปิดประเด็นขึ้นมา “คุณชายซูพูดเกินไป ในยามนั้น ข้าได้เอ่ยออกไปหมดแล้ว นั่นเป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น ส่วนพระคุณที่ช่วยชีวิตอันใด คนเป็นหมอย่อมต้องช่วยชีวิตผู้คนเป็นธรรมดา อย่างไรก็เป็นแค่ค่ายา หากคุณชายซูม่ว่าอะไร ก็ได้โปรดตอบแทนกลับมาเป็นค่ายาเถิด”
นางยากจนยิ่งนัก ไม่มีเงินจะกินข้าวในวันพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ ในเมื่อมีแกะตัวอ้วนส่งมาถึงประตูจวนเช่นนี้ หากไม่รับไว้ก็กระไรอยู่
ทรัพย์สมบัติที่ร่ำรวยของซูเหวินชิง จะสามารถมาช่วยบรรเทาความยากจนของเฟิ่งชิงเฉินได้แน่!
“ห้ะ?” ซูเหวินชิงคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป พลันเงยหน้าขึ้นมามองที่เฟิงชิงเฉิน
สตรีนางนี้ กำลังขอค่ายาจากเขา?
เขาในฐานะคุณชายใหญ่ตระกูลซูเดินทางมาเพื่อขอโทษถึงหน้าประตูจวน แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินกลับมาขอเงินค่ายาจากเขาแทน
ไม่รู้ว่าเหตุใด ภายในใจพลันรู้สึกได้ถึงอาการร้อนรุ่ม หากแต่เขาไม่รู้ว่าจะระบายออกไปได้อย่างไรดี
ซูเหวินชิงลืมไปว่าเขาเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเช่นกัน อีกทั้งยังใช้เงินในการแก้ปัญหาเช่นนั้นอีกด้วย ในสายตาของซูเหวินชิงของทุกอย่างล้วนแต่มีราคาที่ต้องจ่าย หากแต่เป็นราคาที่ต้องจ่ายมากเพียงใดเสียมากกว่า
แต่ทว่า ในวันนี้ ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่ต้องการเงินนั้น ทั้งยังไม่สนใจที่สานสัมพันธ์กับคุณชายตระกูลซูเช่นเขา กลับทำให้ซูเหวินชิงรู้สึกโมโหยิ่งนัก
“หากคุณชายซูไม่ต้องการที่จะจ่ายก็ไม่เป็นไร ท่านเองก็พยายามแล้วเช่นกัน ลืมเรื่องนี้ไปเสียเถอะ” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นท่าทางซูเหวินชิงไม่อยากจ่ายเช่นนั้น นางก็พลันโบกมือปัดเรื่องนี้ออกไปในทันที
นางเข้าใจมาโดยตลอดว่า ประชาชนไม่ควรจะสู้รบกับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะผู้คนในยุคนี้
ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว พวกขุนนางมากมายล้วนแต่ได้รับสิทธิพิเศษ ถึงแม้ว่านางจะยังมีสายเลือดเป็นคนชนชั้นสูงเช่นกัน แต่ทว่า นางก็ไม่ดีรับการสนับสนุนใด ๆ พอกับชาวบ้านเลยเช่นกัน
“ไม่ เจ้าต้องการเท่าใด?” ซูเหวินชิงระงับความผิดหวังของตนเองและมองไปที่เฟิงชิงเฉินอย่างเย็นชา
หากคุณชายซูโกรธมาก ผลที่ตามมาก็ย่อมร้ายแรงตาม
“ให้เงินข้าแค่หนึ่งพันตำลึงทองก็พอ เรื่องอื่นข้าไม่สน” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยความใจกว้าง แน่นอนว่า นางเห็นสายตาของการดูถูกและอารมณ์โกรธในดวงตาของซูเหวินชิงเป็นอย่างดีเช่นกัน
แล้วเป็นอย่างไร?
ในมุมที่ไม่มีใครเห็น มุมปากของเฟิ่งชิงเฉินพลันกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
นางไม่เคยคิดที่จะผูกมิตรนิทสนมกับคุณชายชั้นสูงพวกนี้
ซูเหวินชิงบอกไม่ได้ว่านางสกปรกหรือไม่ แต่นางจะไม่ทำตัวให้น่าเชื่อฟังหน่อยหรือ?
“มอบเงินหนึ่งพันตำลึงทองให้นาง ” ซูเหวินชิงยกมือเรียกคนใช้ที่อยู่ข้างหลังของเขา
พูดจบ ก็ไม่คิดรออยู่อีกต่อไป พร้อมทั้งหันหลังเดินจากไปด้วยความรวดเร็ว
ในสายตาของซูเหวินชิง เฟิ่งชิงเฉินเป็นสตรีที่ไร้ยางอายยิ่งนัก
ซูเหวินชิงหาได้สนใจในข่าวลือเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่ ทั้งยังหอบร่างอันสูงส่งของตนมาพบกับนาง หากเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการที่จะสนิทชิดเชื้อกับเขาก็แล้วไปทั้งนางยังไม่แสดงท่าทีประจบประแจงอีกด้วย
สตรีน่ารังเกียจ!
ต้องการเงินใช่หรือไม่ เงินหนึ่งพันตำลึงทองมันจะฆ่าเจ้าเอง
นางจะได้รู้ว่า นางพลาดโอกาสที่มีค่าเช่นไรไปบ้าง!
ถึงแม้ว่า เงินหนึ่งพันตำลึงทองของซูเหวินชิงจะไม่มีค่าอันใดสำหรับเขามากนัก
“ท่านทำให้เขาโกรธ” โจวสิงชี้ไปที่ด้านหลังของซูเหวินชิงที่เดินจากไป และมองไปยังเฟิ่งชิงเฉินด้วยความงุนงง
ภายในเมืองหลวง เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉินมามากมายนัก
สตรีเช่นนี้ ไม่ควรจับบุรุษเช่นซูเหวินชิง เพื่อพลิกผลันชีวิตของตนเองหรือ เพราะเหตุใดกัน?
เฟิ่งชิงเฉินโบกตั๋วเงินที่อยู่ในมือไปมา และพูดด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสว่า “ไม่เป็นไรข้าหาได้คิดที่จะสนิทสนมกับเขาไม่”
นางเป็นแค่หมอ ที่รักษาผู้คนและรับเงินมา ความสัมพันธ์เช่นนี้ ไม่ควรที่จะไปผูกมิตรด้วยมากนัก
เห็นได้ชัดว่า ซูเหวินชิงเป็นคนใจกว้าง
เฟิ่งชิงเฉินพลันกวาดตามองจวนตระกูลเฟิ่งที่ทรุดโทรม พลางพยักหน้าอย่างจริงจังออกมาว่า
“โจวสิง เจ้าดูแลรักษาร่างกายของเจ้าให้ดี เช่นนั้น ข้าจะได้ช่วยลบรอยตราประทับนั่นให้เจ้า”
ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินรวยแล้ว จวนตระกูลเฟิ่งก็ถึงคราวที่จะต้องได้รับการปรับปรุงใหม่เสียที โจวสิงจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนาง
ต้องใช้คนให้คุ้มสิ! นาง เฟิ่งชิงเฉินหาได้ต้องการเลี้ยงคนเกลียดคร้านไว้ไม่
“จริงหรือ? ดีจริง ๆ ขอบคุณคุณหนูเฟิ่ง ขอบคุณคุณหนูเฟิ่ง คุณหนูเฟิ่งเป็นผู้มีพระคุรและมีเมตตา โจวสิงจะตั้งใจตอบแทนบุญคุณของท่าน ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมาตอบแทนบุญคุณให้ข้า แค่ไปทำความสะอาดบนโต๊ะก็พอ”เฟิ่งชิงเฉินแย้มยิ้มออกมาด้วยความขบขัน พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ
นางมีเงินแล้ว ข้ารับใช้ก็มีแล้ว ชีวิตใหม่ของนางคงจะดีขึ้นมาไม่น้อย
บทที่ 19 ทาส
บทที่ 021 ขอความช่วยเหลือ