ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 247 ภูตจิ้งจอก?

จอมศาสตราพลิกดารา

โลกทัศน์ของฉู่หนานเทียนพังทลายลงในพริบตา

เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นอยู่

“เจ้า…เจ้าทำไมถึงใช้วิชากระบี่เหินหาวได้ เจ้า…” เขาจ้องมองหลี่มู่ ราวเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็มิปาน

หลี่มู่ควบคุมกระบี่เหยี่ยวถลาลม พุ่งฉวัดเฉวียนดุจสายฟ้าอยู่ในลานบ้านตรอกไล่หมู คลื่นพลังแหวกผ่าอากาศ พลังทำลายมากเหลือคณนา ความเร็วและพลังแฝงของมันอยู่เหนือพลังคุกคามจาก ‘ท่ากระบี่เหินหาว’ ของฉู่หนานเทียนก่อนหน้าเสียอีก

“เจ้าสอนข้ามามิใช่หรือไง” หลี่มู่หัวเราะร่า

เมื่อขยับความคิด กระบี่เหยี่ยวถลาลมบินกลับมาลอยอยู่บนศีรษะของเขา สั่นสะเทือนดังวู้มๆๆ คมกริบจนยากจะเปรียบได้

“ข้า…เจ้า…” ฉู่หนานเทียนไม่อยากเชื่อ

ส่วนพวก ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงจากโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ต่างอยู่ในภวังค์เช่นกัน ประหนึ่งได้เห็นภาพการต่อสู้ในครั้งนั้นอีกครั้ง พลังทำลายจาก ‘กระบี่สวรรค์สามสิบหกท่า’ ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ยามนั้นเล่นงานหลี่มู่ได้อยู่หมัด แต่ตอนหลังสุดกลับถูกหลี่มู่เข้าใจแก่นแท้วิชา จนสามารถทำลายลงได้ ท้ายที่สุดจึงสังหารธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ตายด้วยหมัดเดียว

การเรียนรู้!

ความสามารถในการเรียนรู้ของหลี่มู่น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เป็นไปไม่ได้ บนโลกนี้จะมีปีศาจเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร เคล็ดวิชายุทธ์ของอีกฝ่าย เพียงแค่ได้เห็นครั้งเดียวก็สามารถเรียนรู้ได้ทันที ไม่ต้องมีอาจารย์คอยชี้แนะ หากเป็นแค่วิชากระบี่ดาษดื่นทั่วไปยังพอว่า แต่วิชาเทพอย่างกระบี่เหินหาวยังมองออกทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจทั้งหมดทันที?

โกหกกันกระมัง?

“ข้าสอนเจ้า? ไม่ เป็นไปไม่ได้ เจ้า…เจ้าโกหกข้า” ฉู่หนานเทียนหน้าคล้ำเป็นดินดำ ถูกโจมตีทางจิตใจจนแทบเสียสติ

เขาแสดงท่ากระบี่เหินหาวครั้งเดียว อีกฝ่ายก็ขโมยมันไปได้สำเร็จ?

นี่มันไร้สาระสิ้นดี

หลี่มู่เอ่ยขึ้น “แต่ก็ยังไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด ท่ากระบี่เหินหาวที่เจ้าใช้ ยังไม่อยู่ในระดับที่เข้าใจท่วงทำนองแห่งเต๋า นี่เป็นเพราะเจ้ายังเรียนไม่ถึงแก่น หรือว่าท่ากระบี่เหินหาวของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เจ้า จริงๆ แล้วเป็นแค่ฉบับที่ไม่สมบูรณ์?” หลังมีตัวอย่างของ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ หลี่มู่จึงคาดเดาได้ตามเหตุผล ท่ากระบี่เหินหาวที่ว่านั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่วิชาที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์สร้างขึ้น แต่อาจเป็นวิชาเซียนจากห้วงดาราสมุทรที่ตกลงมายังโลกใบนี้

“เจ้า…เจ้าเตรียมรับมือซะ” ฉู่หนานเทียนสูญสิ้นสติจนหมดสิ้น พุ่งตรงเข้ามาหาอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่ชกออกไปตรงๆ จนอีกฝ่ายลงไปนอนสลบอยู่บนพื้น

ต่อหน้าพวก ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิง หลี่มู่จัดการค้นตัวฉู่หนานเทียนทันที

ถุงสมบัติเก็บของหนึ่งใบ ตั๋วทองจำนวนหนึ่ง เกราะอ่อนไหมทอง ยาลูกกลอนอีกจำนวนหนึ่ง หยกประดับ กระทั่งปิ่นหยกบนศีรษะ…ของล้ำค่ามีราคาทั้งหมดถูกหลี่มู่เอาไปไม่เหลือ ทั้งตัวฉู่หนานเทียนถูกค้นจนละเอียด ดูๆ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสื้อคลุมค่ายกลดาราขนาดไม่พอดีตัว หลี่มู่คงถอดมันออกมาด้วยเป็นแน่

“เฮ้อ มาส่งพัสดุด่วนอีกคนแล้ว ส่งทั้งเคล็ดวิชา ส่งทั้งเงิน ยังไม่รู้เลยว่าในถุงสมบัตินี่จะมีอะไร…” หลี่มู่บ่นงึมงำ พลังจิตวิญญาณกวาดผ่าน ปลดจิตสัมพันธ์และค่ายกลดาราบนถุงสมบัติออกแล้วรื้อค้นดู เพียงครู่ก็ดีใจจนหุบปากไม่อยู่ “รวยแล้วเรา รวยแล้ว…”

พวกจางเฉิงเฟิงมองจนเสียวสันหลัง

พวกเขาต่างรู้สึกเห็นใจฉู่หนานเทียนขึ้นมา

ช่างอนาถจริงๆ

“เอาละ พวกเจ้าก็พาเจ้านี่กลับไปด้วยนะ” หลี่มู่กล่าว “ของที่อยู่บนตัวเขาทำให้การฝึกฝนวิชาของเขาช้าลง เขาจึงแพ้ให้กับข้า ตอนนี้ข้าช่วยปลดพันธนาการจากของนอกกายพวกนี้ให้แล้ว วันหน้าเขาฝึกวิชา จะต้องก้าวหน้าขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าแน่นอน รอเขาตื่นแล้ว บอกเขาด้วยว่าไม่ต้องขอบใจข้า”

จางเฉิงเฟิงหัวเสีย

“โอ้ จริงด้วย กระบี่เล่มนี้ถูกชะตากับข้า” หลี่มู่เก็บกระบี่เหยี่ยวถลาลมมาหน้าตาเฉย

จางเฉิงเฟิงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงฝืนพูดขึ้นด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เกิดเป็นคนควรทำแต่พอดี เจอกันคราวหน้ายังเจรจาพาทีได้ หลี่มู่ นายน้อยฉู่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของสำนักกระบี่สวรรค์ เจ้าทำเช่นนี้มันเกินไปหน่อย สำนักกระบี่สวรรค์จะไม่ละเว้นเจ้าแน่…”

เมื่อได้ยิน หลี่มู่กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งดีใหญ่ ข้ายินดีต้อนรับคนจากสำนักกระบี่สวรรค์มาส่งพัสดุด่วนทุกเวลา”

จางเฉิงเฟิงยังคงสับสน ไม่รู้ว่าส่งพัสดุด่วนหมายความว่าอะไร

แต่ชั่วขณะต่อมา ร่างของหลี่มู่ก็ก้าวถอยหลัง หายเข้าไปในค่ายกลในลานของ ‘เรือนซอมซ่อ’ ทันที

พวกจางเฉิงเฟิงจึงจำใจ ทำได้เพียงนำร่างที่หมดสติของฉู่หนานเทียนกลับไป

เรื่องนี้ คงทำได้เพียงกลับไปรายงานที่สำนักก่อน

ขายขี้หน้าจริงๆ

……

“คัมภีร์ลับสำนักกระบี่สวรรค์”

หลี่มู่ค้นถุงสมบัติของฉู่หนานเทียน และพบคัมภีร์ลับเล่มหนึ่ง

เขารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

หลี่มู่เปิดมันออก อ่านจนจบอย่างรวดเร็ว

ภายในคัมภีร์ มีเนื้อหาส่วนหนึ่งพูดถึงที่มาของสำนักกระบี่สวรรค์ บรรยายราวนิยายปรัมปรา เล่าว่ามีเซียนผู้หนึ่ง ลงมายังโลกมนุษย์พร้อมกระบี่เซียนสวรรค์ในมือ เขาก่อตั้งสำนักกระบี่สวรรค์ขึ้น และทิ้งวิชากระบี่เอาไว้บนโลก โดยเฉพาะวิชาเทพกระบี่ถลาลมที่ไร้เทียมทาน ซึ่งเคยมอบความพ่ายแพ้ให้เจ้าสำนักเทพทั้งเก้ามาแล้ว

หลี่มู่อ่านจบ สิ่งที่คาดเดาไว้เกี่ยวกับที่มาของท่ากระบี่เหินหาว ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นอีกหลายส่วน

เรื่องที่เซียนมาจากสวรรค์ ในมือกำกระบี่เซียนอะไรนั่น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่สำนักกระบี่สวรรค์แต่งขึ้นมาเอง จากที่หลี่มู่เดา น่าจะเป็นเซียนเต๋าผู้แข็งแกร่งจากห้วงดาราสมุทรลงมายังโลกนี้เพราะบาดเจ็บหรือเหตุผลบางอย่าง หรืออาจมีของวิเศษล้ำค่าตกลงมา จากนั้นถูกคนพบเข้าและได้รับพลังในนั้น ภายหลังจึงได้ก่อตั้งสำนักกระบี่สวรรค์ขึ้น

ท่ากระบี่เหินหาว มาจากนอกฟากฟ้าจริงๆ

หลี่มู่ได้พบแก่นแท้การฝึกเคล็ดวิชา ‘กระบี่เหินหาว’ ที่แท้จริงด้านหลังคัมภีร์

ยิ่งไปกว่านั้น จากการอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ก็ยืนยันความรู้สึกก่อนหน้านี้ของหลี่มู่ที่ว่า ‘ท่ากระบี่เหินหาว’ เป็นจุดเริ่มต้นของเพลงกระบี่แห่งสำนักกระบี่สวรรค์ เรียกได้ว่าเป็นวิชาเทพประจำสำนัก และฉู่หนานเทียนที่เป็นผู้สืบทอดของที่นี่ ฐานะตัวตนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หากเป็นคนอื่น ไม่มีทางได้รับแก่นแท้การฝึกท่ากระบี่เหินหาวมาแน่ เช่นเดียวกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ซึ่งเป็นศิษย์นอกสำนักคนหนึ่ง จึงทำได้เพียงแอบเรียนรู้มาได้ผิวเผินเท่านั้น

คนเช่นฉู่หนานเทียนที่อายุยังน้อย ยังไม่ทันสิบสี่ก็เป็นยอดคนรุ่นเยาว์ขั้นฟ้าประทานได้ กล่าวได้ว่าทำลายสถิติมากมายของยุทธภพ ถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนจับตามอง แต่ในความเป็นจริง เขากลับเป็นเพียงต้นอ่อนที่สำนักกระบี่สวรรค์เพาะบ่มขึ้นมาด้วยวัตถุดิบเม็ดยาต่างๆ ระดับพลังดูสูงขั้น น่าครั่นคร้าม แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงเสือกระดาษ

จากที่หลี่มู่เห็น ชื่อเสียงและนิสัยของฉู่หนานเทียนต่างได้สิ่งล้ำค่าบนตัว พลังเวท และบารมีของสำนักสร้างขึ้นทั้งสิ้น

เขาจัดการฉู่หนานเทียน ก็เหมือนกับบิดาตีสั่งสอนลูกชายเท่านั้น

เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งที่บรรลุขั้นฟ้าประทานด้วยพลังของตนเองแล้ว ฉู่หนานเทียนยังห่างชั้นอีกหลายขุม

หลี่มู่มองแล้วดีใจเป็นล้นพ้น

ภายในถุงสมบัติยังมีพวกตำราวิชายุทธ์อื่นๆ ยา จดหมาย อาวุธ วัตถุดิบหายาก บันทึกต่างๆ วิชาที่ฝึกในสำนัก และยังมีความลับหลายๆ เรื่องของสำนักอีกบางส่วน ล้วนเป็นสิ่งที่มีค่าหายากทั้งสิ้น

นอกจากนี้ยังมีหินนิลขนาดประมาณกำปั้น กำลังเก็บงำรัศมี มีพลังงานเคลื่อนไหว ดูไม่เหมือนวัตถุดิบสำหรับหลอมอาวุธ และไม่เหมือนโอสถ ไม่รู้ใช้งานอย่างไร หลี่มู่สำรวจดูสักครู่ก็เก็บมาด้วย

สรุปแล้ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในครั้งนี้ก็ยังเป็นแก่นแท้การฝึกท่ากระบี่เหินหาว

หลี่มู่ยังสามารถสืบค้นเจอทางสายหลักของการ ‘บังคับวัตถุ’ ด้วย

ขอแค่พลังจิตวิญญาณสามารถไปถึงระดับ ‘บังคับวัตถุ’ จะไม่ใช่เพียงขี่กระบี่บินเท่านั้น แม้แต่ขี่ดาบก็ทำได้เช่นกัน วิชาดาบของหลี่มู่สามารถพัฒนาไปยังระดับใหม่ได้แล้ว

หลังจากที่เขาอ่านอย่างละเอียด ก็เริ่มฝึกฝนทันที

มีพลังจิตแข็งแกร่งจากการฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ พื้นฐานของหลี่มู่มากพอแล้ว การฝึกฝนวิชา ‘บังคับวัตถุ’ จึงง่ายขึ้นมาก

……

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์

“อ๊าก…”

เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดโกรธแค้นดังขึ้นกลางดึก ก่อให้เกิดเสียงเอะอะรอบบริเวณ

ฉู่เทียนหนานลูบซาลาเปาหลังศีรษะตน ใบหน้าเขียวปัด “หลี่มู่ ข้ากับเจ้าอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันไม่ได้ อ๊าๆๆๆ…” ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมา หลังจากได้ยินจางเฉิงเฟิงรายงาน แล้วสำรวจสิ่งของบนร่างกายตน เขาก็คุมสติไม่อยู่ทันที

เสียหายหลายแสน

ของมีค่าทั้งหมดของเขา ศักดิ์ศรีความหยิ่งทะนง ล้วนมลายหายสิ้น

“เรื่องนี้ห้ามใครนำออกไปพูดเด็ดขาด หากมีคนนอกรู้ ข้าจะสังหารพวกเจ้าให้หมด” ฉู่หนานเทียนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากคนนอกรู้เรื่องที่เขาเจอมาละก็ ฉายา ‘กระบี่เทพเหยี่ยวถลาลม’ ได้กลายเป็นเรื่องตลกแน่

พวกจางเฉิงเฟิงโอดครวญในใจ แต่ปากเอ่ยรับคำ

ฉู่หนานเทียนโมโหจนกัดฟันกรอด แต่เมื่อคิดถึงตอนปะทะกับหลี่มู่วันนี้ คิดถึงตอนถูกจัดการจนสิ้นท่า ความรู้สึกไร้กำลังก็เอ่อล้นขึ้นในใจ เขากระทั่งหมดสิ้นความกล้าที่จะไปท้าดวลหลี่มู่ เพราะว่าแทบไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย

นับตั้งแต่ที่เผยตัวในยุทธจักร นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุด

เจ้าบ้านนอกนั่น ทำไมถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้?

ฉู่หนานเทียนคิดไม่ออก

“พวกเจ้า เอาหมึกกับพู่กันมาให้ข้า”

เขากัดฟันกล่าว

เวลาเช่นนี้ ต้องเรียกกองหนุนมาเท่านั้น

หลี่มู่ เจ้าอย่าได้ลำพองใจนัก อีกสามวันเจ้าจะต้องมาคุกเข่าเรียกข้าว่าท่านปู่ แล้วสำรอกสิ่งที่เจ้าชิงไปจากข้ามากกว่าเดิมสองเท่า

ฉู่หนานเทียนสาบานอย่างเหี้ยมเกรียมภายในใจ

……

“เอ๋? ที่หน้าประตูทำไมมีจิ้งจอกน้อยอยู่ตัวหนึ่ง?”

ช่วงเช้าตรู่ ขณะที่หลี่มู่ออกมาต้อนรับหนิงจิ้งและตงเสวี่ย เขาพบเรื่องน่าตกใจ มีจิ้งจอกน้อยสีขาว ดวงตาราวอัญมณีที่น่ารักสุดๆ ขดตัวอยู่หน้าประตูลานบ้าน

“ข้าคิดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณชายเสียอีก” ตงเสวี่ยเห็นเจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อยน่ารักยิ่งนัก จึงอดใจไม่ไหวยื่นมือไปลูบมัน

จิ้งจอกขาวน้อยสะดุ้งตกใจ ขู่เสียงต่ำพลางก้าวถอยหลัง นัยน์ตามีน้ำใสๆ คลออยู่ มันม้วนตัวขดมากกว่าเดิม ส่งเสียงครางหงิงๆ

หลี่มู่แปลกใจมาก

สีหน้าของเจ้าตัวเล็กนี่ ราวกับมนุษย์เลยทีเดียว

ปกติแล้ว เขตคนยากจนอย่างตรอกไล่หมูแห่งนี้ ไม่ควรจะปรากฏสัตว์น้อยน่ารักเช่นนี้ได้

จิ้งจอกน้อยตัวนี้ดูแล้วอ่อนแอนัก แทบไม่มีพลังป้องกันตนเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น ขนสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับก้อนหิมะของมัน ดูแล้วเหมือนเป็นสัตว์ที่พวกคนมีเงินเลี้ยงกันมากกว่า ไม่มีเหตุผลเลยที่จะมาปรากฏตัวหน้าประตูบ้านตนเช่นนี้

หลงทางอย่างนั้นหรือ?

หลี่มู่ลองยื่นมือออกไปปลอบประโลมมัน

เรื่องประหลาดก็บังเกิดขึ้น

ตอนที่เผชิญหน้ากับตงเสวี่ย เจ้าตัวเล็กตกใจกลัวจนตัวสั่นน้ำตาไหล เอาแต่ถอยหนี แต่พอหลี่มู่ยื่นมือเข้าไปหา มันกลับค่อยๆ สงบลง และเงยหน้าขึ้นมองหลี่มู่ ดวงตาเหมือนอัญมณีสีแดงประหนึ่งพูดได้ ท้ายสุด มันก็ใช้ศีรษะดันฝ่ามือของหลี่มู่ จากนั้นจึงกระโจนเข้าไปที่อ้อมอกเขา

เป็นภูตปีศาจแล้วนี่เอง

ภูตจิ้งจอก?

หนิงจิ้งและตงเสวี่ยจ้องตาโตด้วยความตกตะลึง

………………