หลี่มู่ที่อุ้มเจ้าจิ้งจอกน้อย กลางฝ่ามือรู้สึกได้ถึงความนุ่มละมุน ราวกับกำลังกอดก้อนปุยฝ้าย
ยิ่งไปกว่านั้น บนตัวของจิ้งจอกน้อยยังมีกลิ่นหอมจางๆ ดั่งกลิ่นแป้งชาดของสตรี หอมเอามากๆ นี่ยิ่งทำให้หลี่มู่รู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กนี้น่าจะเป็นภูตสัตว์เลี้ยงของเศรษฐีบ้านใดเป็นแน่ ไม่รู้ว่าหนีออกมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
“หงิงๆ…” จิ้งจอกขาวตัวน้อยเลียแผลบๆ กลางฝ่ามือของหลี่มู่
หลี่มู่รู้สึกจั๊กจี้ที่กลางฝ่ามือ จนอดยิ้มไม่ได้
“เจ้าตัวเล็กนี่กลายเป็นภูตแล้วจริงๆ” ตงเสวี่ยอดใจไม่ไหวคิดจะยื่นมือลูบ แต่จิ้งจอกขาวน้อยกลับยอมให้แค่หลี่มู่คนเดียว หากคนอื่นเข้าใกล้จะตกใจกลัวจนร้องเสียงแหลม ตัวสั่นเทิ้ม น้ำตาคลอเบ้า อยู่ในสภาพหวาดกลัวสุดขีด
“เจ้าตัวเล็ก เจ้าหลงทางมาหรือไงกัน? บ้านอยู่ที่ไหน” หลี่มู่ถามด้วยรอยยิ้ม
เขามีความรู้สึกอยากเข้าหาเจ้าตัวเล็กนี่
“จี๊ดๆๆ…” เสียงใสเปล่งออกมาจากปากของจิ้งจอกขาวตัวน้อย ราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่าง
แน่นอนว่าหลี่มู่ฟังไม่ออก
แต่ว่าพลังจิตวิญญาณของเขารับรู้ได้รางๆ ว่าจิ้งจอกขาวน้อยหิวโหย หวาดกลัว และเศร้าโศกเสียใจมาก ราวสูญเสียบ้านกับพ่อแม่ไป ซ้ำยังหวาดผวาตลอด
“เอาละ เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ข้างกายข้าชั่วคราวก่อนแล้วกัน รอข้าหาเจ้าของหรือพ่อแม่ของเจ้าเจอแล้วจะส่งกลับไป” หลี่มู่เอ่ยอย่างอ่อนโยนขณะที่กอดเจ้าตัวเล็กไว้ในอก
เขาพาตงเสวี่ยและหนิงจิ้งสองสามีภรรยาเข้าไปด้านในเรือนซอมซ่อ
เรือนซอมซ่อในตอนนี้เสมือนแดนเซียนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ด้านนอกดูเก่ามอซอ แต่ด้านในกลับงดงามดุจภาพวาด พลังวิญญาณในอากาศหนาแน่นถึงขีดสุด ตงเสวี่ยแค่สูดอากาศตามปกติ ก็รู้สึกราวกับมีพลังเซียนไหลวนอยู่ภายในอก สดชื่นยิ่ง
ซ่างกวนอวี่ถิงกำลังนำซินเอ๋อร์และบรรดาสาวงามทั้งสิบเจ็ดคนอย่างสวีหว่านเอ๋อร์ ลู่เซิ่งหนาน นั่งฝึกบำเพ็ญกันอยู่ในลาน
สิ่งที่ซ่างกวนอวี่ถิงกำลังถ่ายทอดให้พวกนางคือ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ที่หลี่มู่นำมาย่อให้กระชับขึ้นอีก
สาวงามเหล่านี้ความฉลาดไม่เหมือนกัน ในนี้สวีหว่านเอ๋อร์กับลู่เซิ่งหนานฉลาดที่สุด ผลการฝึกฝนก็ไม่เหมือนกัน หลังจากที่ฝึกกันหลายวัน ทุกคนต่างรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง กำลังวังชาเต็มเปี่ยม พลังกำลังก็มากขึ้นพอสมควร ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งกว่าเดิม นี่ยิ่งกระตุ้นจิตใจที่อยากจะฝึกฝนของพวกนางขึ้นมากอย่างชัดเจน
ตัวเลือกนี้ จริงๆ แล้วหลี่มู่นั่งคิดอยู่หลายตลบ
เขาไม่กังวลเรื่อง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ จะรั่วไหลออกไปภายนอก หนึ่งคือฉบับย่อนี้ไม่ได้ใส่แก่นแท้ของวิชาฟ้าประทานเข้าไป สองคือหลี่มู่ในตอนนี้มีความมั่นใจอยู่พอตัว หากรั่วไหลออกไปหรือมีคนทรยศขึ้นมา ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว เขาก็จะตามไปไล่ล่านำเอาเคล็ดวิชากลับมา
เมื่อเห็นว่าตงเสวี่ยและหนิงจิ้งนำของขวัญมาให้ ซ่างกวนอวี่ถิงจึงจบการถ่ายทอดวิชาครั้งนี้ และหันมาทักทายทั้งสองคน
ก่อนหน้านี้ หลี่มู่เคยพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับตงเสวี่ยไปแล้ว ดังนั้นซ่างกวนอวี่ถิงจึงเรียกนางเป็นพี่สาว
“ชื่อเสียงของน้องถิงร่ำลือกันในเมืองฉางอัน วันนี้ได้มาเห็น ก็ช่างงดงามดังชาวสวรรค์จริงๆ” ตงเสวี่ยเคยร่ำเรียนหนังสือ นิสัยอ่อนโยนสุภาพ คำพูดคำจาก็มีมารยาทยิ่ง
ส่วนชายหนุ่มที่แสนซื่อสัตย์หนิงจิ้ง กลับถูกความงามของซ่างกวนอวี่ถิงสะกดจนใจเต้น หน้าแดงก่ำ ไม่กล้ามอง
ช่างเป็นสามีที่ซื่อตรงและไร้เดียงสา
สิ่งที่สามีภรรยานำมาก็ไม่ใช่ของที่ล้ำค่าอะไร แต่เป็นพวกผักสดที่พวกเขาปลูกขึ้นเอง รวมไปถึงพวกไข่และเนื้อสัตว์ปีกที่ซื้อมา หากพูดโดยใช้คำโลกเดิม ก็จะเป็นอาหารปลอดสารพิษพวกหมูเห็ดเป็ดไข่ หลี่มู่เห็นแล้วอดน้ำลายสอไม่ได้
สองสามีภรรยามาเยี่ยมราวครึ่งชั่วยาม จึงขอตัวกลับไป
คงกลัวว่าจะทำให้หลี่มู่เสียเวลาทำการอื่น
ต่อหน้าหลี่มู่ ทั้งสองระมัดระวังเรื่องความเคารพเป็นอย่างมาก ตงเสวี่ยทำตัวเหมือนเป็นสาวใช้ หนิงจิ้งก็คล้อยตามภรรยาหมด มักจะเกาคอด้วยความเคยชิน แม้เป็นคุณชายสามตระกูลหนิง แต่เขากลับเรียกหลี่มู่ว่าคุณชายเหมือนตงเสวี่ย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มซื่อๆ
เมื่อมองสองคนนี้ หลี่มู่อดคิดไปถึงคู่ก๊วยเจ๋งและอึ้งย้งจากนวนิยายเรื่อง ‘มังกรหยก’ ไม่ได้ รูปโฉมงดงามและความฉลาดปานน้ำแข็งของตงเสวี่ยก็เหมือนกับอึ้งย้ง ส่วนหนิงจิ้งกับคนซื่อผู้ยิ่งใหญ่อึ้งย้ง อักษรชื่อก็ต่างกันเพียงแค่ตัวเดียวด้วย
“ทั้งสองคนถ้าหากอยากฝึกฝนวิชายุทธ์ก็มาหาข้าได้ มาที่เรือนซอมซ่อนี่ได้ทุกวันเลย” หลี่มู่รับปากพวกเขาขณะเดินออกมาส่ง พร้อมกับมอบหยกติดตัวให้คนละหนึ่งชิ้น ถือเป็นของขวัญตอบแทน หยกชิ้นนี้จริงๆ แล้วคือสมบัติคุ้มกายแบบใช้แล้วทิ้งที่หลี่มู่หลอมขึ้นมาด้วยตนเอง
ส่งหนิงจิ้งและตงเสวี่ยกลับไปแล้ว หลี่มู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงนำประกาศมาแขวนไว้ที่หน้าประตู
‘เก็บจิ้งจอกขาวน้อยได้ตัวหนึ่ง ใครทำหายรีบมาติดต่อรับคืน’
จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในเรือนเพื่อฝึกฝนท่ากระบี่เหินหาว
จากการยกระดับขึ้นของพลังฝึก หลี่มู่ค่อยๆ รู้สึกว่าตนต้องการดาบเล่มหนึ่ง
ดาบที่ดีเล่มหนึ่ง
ดาบในระดับอาวุธเต๋า เพื่อนำมาเป็นอาวุธประจำกาย
แต่ทว่าเรื่องนี้ยากมาก เพราะบนโลกนี้จอมเวทไม่สามารถสร้างอาวุธเต๋าขึ้นได้ ซ้ำไม่มีแนวทางและสถานที่หล่ออาวุธเต๋า
หลี่มู่จึงตัดสินใจที่จะหลอมด้วยตนเอง
……
ด้านนอกตรอกไล่หมู
“สามีภรรยาคู่นี้เข้าไปในเรือนซอมซ่อได้อย่างนั้นหรือ? พวกเขาเป็นใครกัน?”
“นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าไปในนั้นกระมัง?”
“รีบไปตรวจสอบมา”
สายตาหลายคู่จับจ้องร่างของหนิงจิ้งและตงเสวี่ยที่กำลังเดินห่างออกไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา
หอโอบจันทร์
“องค์ชาย ชายคนนั้นคือหนิงจิ้งลูกนอกสมรสของตระกูลนิ่ง ส่วนหญิงอีกนางคือสาวรับใช้ข้างกายหลี่มู่ในอดีต ต่อมาได้แต่งงานกับหนิงจิ้ง…” ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลนิ่ง หนิงหรูซาน หนิงจิ้ง และตงเสวี่ย วางอยู่บนโต๊ะขององค์ชายสอง
“ก็แค่พวกตัวเล็กจ้อย” องค์ชายสองกวาดตามองผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไร
“พวกเจ้าจัดการเอาแล้วกัน” เขาโยนข้อมูลพวกนี้ลงถังขยะทันที
ไม่กี่วันนี้ เขาวุ่นกับเรื่องอื่นอยู่ ยังไม่คิดที่จะจัดการเก็บกวาดเรือนซอมซ่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่ตนเป็นผู้มีตำแหน่งสูง เขาจึงชอบสั่งการคนอื่นให้ไปทำสิ่งที่ตนตั้งใจมากกว่า ไม่ใช่ว่าต้องลงไปทำเองทุกเรื่อง ในสายตาขององค์ชายสอง ท่าทีของหลี่มู่ในคืนนั้นที่หน่วยเลี้ยงรับรอง และที่หลี่มู่วางค่ายกลแสงห้าสีในเรือนซอมซ่อ อาจจะดูละลานตาไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เพราะเขามั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าจะบดขยี้หลี่มู่ได้
และเขาก็ชอบเฝ้าดู เจ้าพวกที่คิดว่าควบคุมโชคชะตาตนเองได้ หยิ่งผยองมั่นใจ พอท้ายที่สุดกลับพบว่าจริงๆ แล้วโชคชะตาตนอยู่ในกำมือเขามาโดยตลอด ตอนที่เจ้าพวกอัจฉริยะทั้งหลาย พวกที่เป็นตำนาน ต้องมาตกใจกลัวและสิ้นหวังต่อหน้าเขา นั่นจึงจะเป็นช่วงเวลาที่เขาสนุกที่สุด
ตอนนี้ ท่าทีที่เขามีต่อหลี่มู่ก็เป็นเช่นนี้เอง
เขาอยากจะเห็นเช่นกัน คนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะบู๊บุ๋นคนนี้จะดิ้นรนไปได้ถึงระดับไหน
ในสายตาของเขา หลี่หมู่ในตอนนี้ยังไม่คู่ควรให้ต้องลงมือด้วยตนเอง
หลิวเฉิงหลงที่นำข่าวมารายงาน เมื่อได้ยิน ในใจก็เกิดความคิดขึ้นเหมือนกัน “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
เขาหมุนตัวเดินออกจากห้องขององค์ชายสอง ก็พบเข้ากับเจ้าสำนักยมบาลพอดี
เมื่อรวมเจ้าสำนักเข้าไปด้วย ครั้งนี้จะมียอดฝีมือสำนักยมบาลยี่สิบคนที่มายังเมืองฉางอัน ตอนแรกสุด ท่าทีของเจ้าสำนักยมบาลคนนี้หยิ่งยโสมาก ผู้ติดตามก็ดูอันธพาลถึงที่สุด ครั้งแรกที่พบองค์ชายสองก็ตำหนิทันที บอกว่าเขาส่งผู้อาวุโสสองคนจากสำนักมาคอยช่วยเหลือองค์ชายสอง ไม่ใช่ให้มาตายเช่นนี้ และต้องการให้องค์ชายสองรับผิดชอบการตายของสองภูตยมบาล
แต่ทว่า หลังจากองค์ชายสอง ‘ประชุมลับ’ กับเจ้าสำนักยมบาล ทั้งหมดก็เปลี่ยนไป
เจ้าสำนักยมบาลในตอนนี้ราวกับเม่นที่ถูกถอนขนออกไปจนหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าสมาชิกหลักขององค์ชายสอง ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“ใต้เท้าหลิว ท่านต้องตรวจสอบให้ด้วย ผู้คุ้มกฎทั้งสองของสำนักข้าตายด้วยน้ำมือใคร?” เจ้าสำนักยมบาลเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม
รอยยิ้มผีดิบเช่นนี้ แท้จริงแล้วดูน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก
หลิวเฉิงหลงแน่นอนว่าตรวจสอบออกมาไม่ได้
ในใจเขามีการคาดเดา แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ
ทว่านี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคหากเขาเขาจะทำการบางอย่าง
ตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ หลังจากพูดคุยกับเจ้าสำนักยมบาลมาหลายวัน หลิวเฉิงหลงก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ ท้ายสุดจึงให้เบาะแสบางส่วนไป พูดอย่างมั่นใจว่า “เจ้าสำนัก ถ้าหากไม่ได้ตรวจสอบผิดพลาด ข้าแน่ใจได้ว่าผู้ที่สังหารผู้อาวุโสสำนักท่านก็คือหลี่มู่”
……
กระบี่เหยี่ยวถลาลมหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ราวมังกรเทพแหวกกระแสลม แสงกระบี่ส่องวูบวาบ
เสียงทุ้มหนักของสายฟ้าแว่วออกมาจากการวาดฟันของกระบี่เหยี่ยวถลาลม
“ซินแสเฒ่าเคยบอกไว้ว่า ขั้นบังคับวัตถุก็มีการแบ่งระดับไว้เช่นกัน ยกตัวอย่างจากกระบี่ ปราณกระบี่ทะยานฟ้าจะเป็นระดับที่หนึ่ง กระบี่กัมปนาทเป็นระดับที่สอง กระบี่ทรงกลดเป็นระดับที่สาม…”
ในหัวของหลี่มู่ พยายามนึกคำที่ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
กระบี่เหยี่ยวถลาลมสามารถเปล่งเสียงสายฟ้าออกมา ถึงแม้จะยังอ่อนด้อยอยู่ แต่ก็ถือว่าเข้าขั้นที่สองแล้ว
การฝึกฝนวิชากระบี่เหินหาวก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น วิชากระบี่เหินหาวของหลี่มู่ก้าวข้ามฉู่หนานเทียนผู้สืบทอดสำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ไปแล้ว หากต้องมาปะทะกับฉู่หนานเทียนอีกครั้ง และทั้งสองฝ่ายออกท่ากระบี่เหินหาวพร้อมกัน หลี่มู่จะทำลายกระบี่ของอีกฝ่ายและสังหารได้ในหนึ่งความคิด
แต่ว่า หลี่มู่ยังคงไม่พอใจ
เขาต้องการขัดเกลาขั้นไปอีกขั้น ทันใดนั้น…
ตูม!
เรือนซอมซ่อจู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหว
หญิงสาวที่กำลังฝึกฝนอยู่ด้านในต่างตกใจอกสั่นขวัญแขวน
“หลี่มู่ รีบออกมารับโทษตายเสีย”
เสียงน่าขนลุกราวกับผุดออกมาจากนรก ดังลอดค่ายกลของเรือนซอมซ่อเข้ามา
หืม?
สีหน้าหลี่มู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
มียอดฝีมือมา
สามารถสั่นคลอนค่ายกลห้าธาตุนี้ และส่งเสียงลอดผ่านเข้ามาได้ จะต้องเป็นยอดฝีมือแห่งยอดฝีมือแน่
ทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก
เขาขยับความคิด เพ่งพลังจิตส่งไปที่ค่ายกลห้าธาตุ
ภาพด้านนอกค่ายกลปรากฏขึ้นมาในหัวทันที
ร่างใหญ่กำยำในชุดสีดำทั้งสี่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนซอมซ่อ
ผู้นำที่พูดขึ้นมาเป็นคนร่างกายสูงใหญ่ ราวกับผีดิบยักษ์ก็มิปาน ทั้งตัวบนล่างไม่มีกระแสชีวิตอยู่เลย เหมือนเป็นศพที่เดินได้ ส่วนใบหน้าที่อยู่ใต้หมวกชุดคลุมดำก็แทบจะไม่มีสีเลือดฝาดให้เห็น แต่ริมฝีปากกลับมีสีแดงสดที่ดูประหลาด คล้ายกินเลือดสดๆ มา ดวงตาสีแดง ไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
ผีดิบ?
เขาเพียงแค่มอง ในใจก็กระจ่างชัด นี่คงจะเป็นศิษย์สำนักเดียวกับสองภูตยมบาลคู่นั้นเป็นแน่
ก่อนหน้านี้ เจิ้งฉุนเจี้ยนเคยให้ข้อมูลของสำนักยมบาลมา
แต่ว่าไม่น่าจะใช่เจ้าสำนักยมบาลมาเอง
เพราะจากคำเล่าลือ เจ้าสำนักยมบาลเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ไปแล้ว
และในตอนนี้ ร่างสัตว์ประหลาดชุดดำด้านนอกเรือนซอมซ่อทั้งสี่นั้นทำให้หลี่มู่รู้สึกว่าแข็งแกร่งเอามากๆ กล่าวได้ว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนมา ทว่าก็ยังอยู่ในขั้นฟ้าประทาน ไม่ได้เข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์
ทั้งสี่คนนี้ ไม่ว่าใครต่างก็แข็งแกร่งกว่าฉู่หนานเทียนทั้งสิ้น
นี่เป็นผู้แข็งแกร่งอาวุโสที่เดินผ่านซากศพและกองเลือดมาอย่างแท้จริง
‘น่าจะเป็นจตุรเทพผีดิบแห่งสำนักยมบาลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนรายงานมา คนที่พลังต่ำที่สุดยังเป็นสัตว์ประหลาดที่กำลังภายในครึ่งหนึ่งกลายเป็นปราณแท้ฟ้าประทานไปแล้ว สูงกว่าเราไม่รู้เท่าไร…ตึงมือจริงๆ’
หลี่มู่รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
แต่ในใจของเขากลับลิงโลดยิ่ง
มีคนมาส่งพัสดุด่วนหน้าประตูอีกแล้ว
การบังคับวัตถุของตนเริ่มพัฒนาไปได้ขั้นต้น เพิ่งเข้าสู่ระดับเปล่งเสียงสายฟ้า ได้มีโอกาสนำมาทดลองใช้สู้จริงกันสักตั้งพอดี
………………