บทที่ 298 อ๋องร่วมในกลยุทธ์เหลียนเหอ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีกับกงซุนหยวนเข้ามาในกระโจมตามลำดับ

หลังจากทั้งสองนั่งลงแล้ว กงซุนหยวนกล่าวว่า “ไม่ทราบว่ากั๋วเว่ยต้องการคุยเรื่องใด?”

“โจมตีหลีสือติดต่อกันสิบกว่าวันแล้ว มีความคืบหน้าหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กงซุนหยวนดึงมุมปากยิ้ม เอ่ยเย้ยว่า “เมื่อคืนวานกองทัพเว่ยบุกขึ้นไปกำแพงเมืองแล้ว คิดว่าหากจะยึดครองหลีสือคงใช้ความพยายามไม่เกินสามวัน”

ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ “เช่นนั้นหรือ! เช่นนั้นต้องแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพแล้ว แต่ว่าเหตุใดสองวันนี้กองทัพเว่ยจึงไม่ให้กองทัพเจ้าเข้าร่วมต่อสู้เล่า?”

สีหน้าของกงซุนหยวนตึงเครียด ไร้คำโต้แย้ง กองทัพเว่ยไม่เพียงไม่ให้กองทัพเจ้าโจมตีเมือง ยังส่งสารมาให้พวกเขาถอยทัพไปสามสิบลี้

“รัฐเว่ยคงไม่ได้ให้พวกท่านถอยทัพหรอกกระมัง!” ซ่งชูอีแสร้งทำเป็นตกใจ

กงซุนหยวนพ่นลมออกทางจมูก “กั๋วเว่ยก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว จำเป็นต้องเสแสร้งด้วยหรือ!”

ซ่งชูอีไม่มีความอับอายที่ถูกเปิดโปงเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกับพูดว่า “ข้ามีสิ่งหนึ่งต้องบอกให้ท่านแม่ทัพฟัง หากท่านแม่ทัพคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ก็คิดเสียว่าเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน”

กงซุนหยวนพยักหน้า “ว่ามาเถิด”

“กองทัพเว่ยทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐของท่านยึดครองหลีสือได้ก่อน ท่านแม่ทัพลองคิดดู หากรัฐเว่ยต้องการที่จะคืนดินแดนสามร้อยลี้นั้นด้วยความจริงใจ เหตุใดไม่นั่งดูเสือสองตัวต่อสู้กันเล่า ใช้ประโยชน์จากรัฐท่านเพื่อโจมตีหลีสือ จากนั้นก็แลกเปลี่ยนด้วยดินแดนสามร้อยลี้?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “รัฐเว่ยไม่ต้องกังวลว่าท่านจะปฏิเสธในการแลกเปลี่ยนนี้ด้วยซ้ำ อย่างไรเสียด้วยสถานการณ์ของรัฐท่านในตอนนี้ ดินแดนสามร้อยลี้นั้นสำคัญกว่าหลีสือเป็นร้อยเท่า…”

กงซุนหยวนนั้นเคลือบแคลงใจนานแล้ว หากเขาเป็นผู้นำทัพของรัฐเว่ย ใช้ทหารรัฐเจ้าโจมตีหลีสือ ทหารของตนไม่ต้องบาดเจ็บ ไม่เพียงตัดกำลังทหารของรัฐเจ้าทั้งยังบรรลุเป้าหมายอีกด้วย เหตุใดจะไม่ทำเล่า?

อย่างไรก็ดี ตลอดเวลากว่าครึ่งเดือนที่ผลัดกันโจมตีนี้ บัดนี้แนวป้องกันของหลีสือคลายตัวอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากองทัพเว่ยกลับโจมตีด้วยตัวเองอย่างสุดกำลัง ทั้งยังส่งสารเชิญให้รัฐเจ้าถอยทัพกลับไปสามสิบลี้ เกรงว่าคิดที่จะเก็บหลีสือและดินแดนสามร้อยลี้เข้ากระเป๋าตัวเองจริงๆ เสียแล้ว!

“กั๋วเว่ยต้องการให้ข้าทำตามความต้องการของรัฐเว่ย ถอนทัพออกไปแล้วฉวยโอกาสยึดดินแดนสามร้อยลี้?” กงซุนหยวนเอ่ย

ซ่งชูอีปรบมือ เอ่ยอุทาน “ท่านแม่ทัพปากไวใจถึง เถรตรงและใจกว้าง! ข้าน้อยก็จะไม่ซ่อนเร้นและปิดบัง” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าหมายความเช่นนี้”

กงซุนหยวนจ้องนางเขม็ง ราวกับต้องการมองทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจผ่านการแสดงออกที่เรียบง่ายนี้

ซ่งชูอีรู้ว่าเขาลังเล ดังนั้นจึงพูดว่า “ข้าน้อยไม่กลัวที่จะเปิดใจกับท่านแม่ทัพ ฉินเว่ยเป็นศัตรูกันเกือบร้อยปี ขณะที่

รัฐเว่ยปกครองจงหยวนนั้น รัฐฉินก็เกือบต้องเผชิญกับภัยพิบัติ บัดนี้จึงไม่อยากเห็นภาพที่รัฐเว่ยเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในบรรดาซานจิ้น! สาเหตุที่ข้าน้อยช่วยเหลือรัฐเจ้าด้วยความจริงใจเช่นนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าวางกลยุทธ์ให้รัฐฉิน ประการแรกเพื่อมิให้สูญเสียหลีสือ ประการที่สองเพื่อเอาชนะรัฐเว่ย เรื่องนี้ล้วนเป็นชัยชนะสำหรับทั้งรัฐฉินและรัฐเจ้า”

นางโน้มตัวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แน่วแน่ “และเป็นชัยชนะสำหรับท่านแม่ทัพด้วย”

“ฮ่าๆๆ!” จู่ๆ กงซุนหยวนระเบิดหัวเราะเสียงดัง มือลูบเข่า มองนางด้วยหางตา “มิน่าเล่า มิน่าเล่าฉินกงถึงได้ยืนหยัดต่อสู้กับร้อยสำนักทั้งยังปกป้องกั๋วเว่ยด้วย! ใต้หล้ารู้เพียงว่ารัฐฉินมีชูหลี่จี๋ จางอี๋ ซือหม่าชั่ว แต่กลับไม่รู้ว่ามีซ่งหวยจินอยู่ด้วย! เยี่ยม ข้าจะฟังว่ากลยุทธ์ของท่านเป็นเยี่ยงไร!”

กงซุนหยวนสามารถตัดสินได้ว่าที่ซ่งชูอีกล่าวมานั้นเป็นจริงเสียเก้าส่วน หากเชื่อฟังนางจะต้องสามารถนำดินแดนสามร้อยลี้กลับมาได้อย่างแน่นอน แต่ว่าหลีสือไม่เพียงนำไปสู่รัฐเว่ยได้ ทว่ายังสามารถนำไปสู่รัฐเจ้า รัฐหานได้อีกด้วย ครั้นมองในระยะยาว หากไม่สูญเสียหลีสือไป ซานจิ้นก็เปรียบเสมือนมีดที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่ต้องสงสัย! มีดเยี่ยงรัฐฉินสามารถร่วงหล่นได้ทุกเมื่อที่มีโอกาส อย่างไรก็ดี เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้เท่าไร เขารู้เพียงว่าหากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เจ้าอ๋องได้ในเวลานี้ เช่นนั้นเขากับตระกูลของเขาจะไม่มีวันฟื้นตัวได้ตลอดไป!

ท้ายที่สุดแล้ว สกุลกงซุนก็ไม่ใช่สกุลกงซุนของรัฐเจ้าตั้งแต่แรก!

ซ่งชูอีรู้ว่าเชื่อแล้วจึงโล่งใจเล็กน้อย ยกมือกล่าวคำสาบานที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น “ขอท่านแม่ทัพจงวางใจ หากซ่งหวยจินไม่ได้ช่วยท่านด้วยความจริงใจ ก็ขอให้พบจุดจบเยี่ยงซางจวิน!”

ตายด้วยสภาพศพบุบสลาย!

คำสาบานโหดเหี้ยมเช่นนี้ทำให้กงซุนหยวนตกตะลึง มองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ที่จริงข้าผู้แซ่ซ่งชื่นชมบุคคลเยี่ยงกงซุนกู่เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีทุกคนย่อมมีหน้าที่ของตัวเอง การตายของท่านแม่ทัพกงซุนกู่ เป็นความเสียใจตลอดชีวิตสำหรับบางคน ดังนั้นข้าจึงทนไม่ได้ที่เห็นเขาเสียสละโดยเปล่าประโยชน์” น้ำเสียงของซ่งชูอีสำลัก รีบยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อปิดบังใบหน้า

หากกล่าวว่าพี่ชายถูกซ่งชูอีบีบให้ตาย เช่นนั้นเขากงซุนหยวนก็เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นกัน ทว่าครั้นเห็นความเสียใจที่นางแสดงออกมา ความโมโหอันแปลกประหลาดก็พุ่งพล่านขึ้นในใจ!

ดวงตาของเขาแดงก่ำ มือกุมเข่าแน่น ข่มแรงปรารถนาที่จะชักดาบฆ่าศัตรูตรงหน้าทิ้งเสีย

ซ่งชูอีไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง นางรู้สึกผิดกับการตายของกงซุนกู่อยู่บ้างจริงๆ จึงตาแดงโดยไม่รู้ตัว

แต่แม้ว่านางช่วยกงซุนหยวนด้วยความจริงใจ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าความเสียใจที่มีต่อกงซุนกู่! แต่เพราะนึกถึงความเคียดแค้นระหว่างเขากับกงซุนพีมหาเสนาบดีแห่งรัฐเจ้าต่างหาก

ขุนนางกับแม่ทัพไม่ถูกกันตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว!

กลยุทธ์ของนางสามารถช่วยสกุลกงซุนได้ ทว่าไม่อาจช่วยรัฐเจ้าได้

กงซุนหยวนกำลังจมอยู่กับความเสียใจที่พี่ชายจากไปในวัยรุ่งโรจน์ จึงเชื่อคำพูดของซ่งชูอีแปดถึงเก้าส่วน ไม่ได้คิดถึงระยะยาวอีกต่อไป

ท้ายที่สุดกงซุนหยวนเป็นคนที่เติบโตมาโดยมีวิญญูชนเป็นแบบอย่าง แม้ว่านิสัยของเขาจะยังสลัดความเห็นแก่ตัวออกไปไม่ได้ ทว่าหากเทียบกันในแง่ความโหดเหี้ยมกับการวางแผนแล้ว ต่อให้ควบม้าก็ยังไล่ไม่ทันซ่งชูอี

ทว่ามหาเสนาบดีแห่งรัฐเจ้าคืออุบายสำหรับซ่งชูอีอย่างแท้จริง

นางไม่กังวลว่ากงซุนหยวนจะสู้กับจิ้งจอกเฒ่าเยี่ยงกงซุนพีไม่ได้ สำหรับรัฐเจ้าแล้ว กงซุนพีก็เปรียบเสมือนกานหลงแห่งรัฐฉินในอดีตที่กุมอำนาจทุกระดับชั้นอยู่ในมือจนองค์จวินต้องหวาดกลัว แต่ทันทีที่องค์จวินพบว่ามีดาบในมือที่สามารถต่อต้านเขาได้ก็สามารถฆ่าเขาได้โดยไม่ลังเล

หลายครั้งที่จิตใจขององค์จวินสำคัญยิ่งกว่ากลยุทธ์อันชาญฉลาดเสียอีก

ซ่งชูอีรออย่างเงียบๆ จนกระทั่งกงซุนหยวนสงบสติลงมาได้เล็กน้อย จึงหารือกับเขาเรื่องแผนการถอยทัพ

เพราะเหตุนี้ หลีสือจึงกำลังเผชิญกับสงครามอันยากลำบากที่สุด

ท่ามกลางการต่อสู้อย่างต่อเนื่องสิบกว่าวันหลังจากที่ซ่งชูอีจากไป การโจมตีของรัฐเว่ยและรัฐเจ้าก็ยิ่งกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ กองทัพฉินไม่มีเวลาแม้แต่เปลี่ยนแนวการป้องการด้วยซ้ำ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กองทัพเว่ยสามารถโจมตีกำแพงเมืองได้ในคราเดียว ในที่สุดสองกองทัพก็ต่อสู้ในระยะประชิด!

ครั้นกองทัพเหอซีได้รับรายงานทางทหาร ก็ส่งกองกำลังมาสนับสนุนทันที

การส่งข้อความไปมาต้องใช้เวลา จากค่ายทหารเหอซีไปยังหลีสือ กองทัพเร่งเดินเท้าก็จะต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วยาม โชคดีที่เจ้าอี่โหลวหารือกับจื่อถิงก่อนหน้านี้และได้ส่งทหารม้าเจ็ดหมื่นนายมายังปากสะพานของแม่น้ำฝั่งตะวันตกแล้ว ทั้งกองทัพจึงมาถึงสนามรบในเวลาไม่ถึงสองเค่อ

หลีสือถูกป้องกันอย่างเสี่ยงๆ เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน กำแพงบังของเชินเทินที่ยื่นออกมาท่วมไปด้วยเลือด ชั้นเลือดเก่ายังไม่ทันแห้งก็ถูกย้อมด้วยชั้นใหม่ แทบจะมองไม่เห็นสีเดิมของกำแพงด้วยซ้ำ

เป็นจริงอย่างที่ซ่งชูอีว่า นี่เป็นสงครามที่ยากลำบากจริงๆ!

“เสียนหยางส่งข่าวมา! องค์จวินเราได้ขึ้นเป็นอ๋องแล้ว!” ไม่รู้ว่าเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากไหนท่ามกลางเงามืดของดาบ

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทุกคนใต้หล้าต่างเคารพราชวงศ์โจวและระมัดระวังเรื่องการได้ขึ้นเป็นอ๋อง ข่าวนี้จะปลุกเร้าความฮึกเหิมหรือรบกวนขวัญกำลังใจของกองทัพก็ไม่อาจทราบได้จริงๆ!

หัวใจเจ้าอี่โหลวบีบแน่น ทันใดนั้นก็กล่าวเสียงสูง “ต้าฉินหมื่นปี! ปกป้องต้าฉินจนตัวตาย!”

เขาฝ่าฟันอย่างหนักหน่วงเพื่อเปิดถนนนองเลือด พุ่งตรงไปยังหอสัญญาณซึ่งเป็นที่ตั้งของกลองสงคราม รับไม้กลองมาแล้วรัวกลองสงครามราวกับพายุฝนฟ้าคะนองในฤดูร้อน คำรามเป็นระยะๆ “ต้าฉินหมื่นปี! ปกป้องต้าฉินจนตัวตาย!”

มือกลองและมือแตรที่อยู่ข้างๆ พลอยได้รับเชื้อไปด้วย ส่งเสียงดังก้องไปพร้อมกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของกองทัพฉิน! สถานการณ์กลับตาลปัตรทันที

เสียงร้องในสนามรบดังทะยานสู่ท้องฟ้า เสียงของบุคคลนั้นไม่สามารถทำให้ทุกคนได้ยินอย่างทั่วถึง และในสนามรบก็ไม่มีที่ว่างให้ไขว้เขว แต่สิ่งที่สามารถส่งผลกระทบต่อกำลังใจของทหารได้ก่อนคือเสียงตื่นเต้นอันเรียบง่าย ต่อให้มีคนไม่ได้ยินข่าวเมื่อครู่ก็ไม่เป็นไร ในไม่ช้ากำลังใจก็ท่วมท้นจากเสียงกลองสงคราม พวกเขารวบรวมสติอีกครั้งและมุ่งเน้นไปที่การฆ่า

“ปกป้องต้าฉินจนตัวตาย!”

“ปกป้องต้าฉินจนตัวตาย!”

เสียงนั้นกลืนกินแม่น้ำและภูเขา แสดงให้เห็นถึงเลือดนักสู้ของชาวฉินอย่างเต็มที่

เจ้าอี่โหลวส่งคืนไม้กลองให้มือกลอง “รัวต่อไป! ยิ่งดังยิ่งดี!”

“ขอรับ!”

หานหู่เห็นเจ้าอี่โหลวเข้าร่วมเข่นฆ่าอีกครั้งจากที่ไกลๆ อดที่จะหัวเราะเสียงดังไม่ได้ การกวัดแกว่งดาบก็โหดเหี้ยมกว่าเดิมเล็กน้อย

ด้วยตำแหน่งของแม่ทัพ เจ้าอี่โหลวไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในการสู้รบแนวหน้า ทว่าเขาเป็นผู้นำทัพที่ถูกองค์จวินส่งมากะทันหันจากภายนอก มีจื่อถิงคอยระวังหลังให้ ต่อให้เขาเป็นอะไรไปจริงๆ กองทัพฉินก็จะไม่วุ่นวาย ดังนั้นจึงไม่มีใครห้ามเมื่อเขาลงสนามรบ

หลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นเวลากว่าครึ่งเดือน หานหู่ไม่รู้ว่าเจ้าอี่โหลวมีความสามารถในการปรับตัวได้หรือไม่ ทว่าเขาเป็นแม่ทัพที่สามารถรวบรวมขวัญกำลังใจและปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แก่เหล่าทหารถึงขั้นสุดได้อย่างไม่ต้องสงสัย!

เจ้าอี่โหลวกินและนอนด้วยกันกับนายหทาร พูดน้อยแต่ทำจริงแต่ก็ไม่ละทิ้งความสง่างาม ทำให้เขาสร้างมิตรภาพกับเหล่านายหทารได้อย่างรวดเร็วยิ่ง

อ้ายผู้ใดว่าข้าไร้อาภรณ์? เชิญดูกรภูษาก็ยาวเท่า องค์เหนือหัวส่งกองทัพออกไปรบ ตัดแต่งดาบขอและโล่ของเรา เข่นฆ่าศัตรูคือเป้าหมายเดียว![1]

สงครามยิ่งร้อนแรงขึ้นทุกที

ชาวฉินป้องกันป้องปราการหลีสือสุดชีวิต กองทัพเว่ยโจมตีมาถึงกำแพงเมืองด้วยความยากลำบาก เพียงอึดใจเดียวก็เหมือนจะประสบความสำเร็จแล้ว ย่อมไม่ยอมแพ้โดยธรรมชาติ

สองฝ่ายต่างไม่ยอมถอย

วันต่อมา กองทัพเจ้าถอนกำลังทหารตามความต้องการของรัฐเว่ย

กงซุนหยวนให้คนสนิทนำส่งเอกสารถึงโต๊ะทำงานของเจ้าอ๋องด้วยความรวดเร็วทั้งกลางวันกลางคืน ในขณะที่กำลังแพร่สถานการณ์ทางทหารและแอบแบ่งกำลังพลอย่างลับๆ ในที่สุดก็ได้ข่าวที่ส่งมาจากหานตาน…รัฐฉีได้ส่งข่าวออกมาแล้วว่าจะร่วมเป็นพันธมิตรกับรัฐฉินและมีอ๋องร่วมกัน

ทั้งยังมีข่าวที่ฉินกงได้ขึ้นเป็นอ๋องถูกส่งมาพร้อมกับข่าวนี้!

กงซุนหยวนอดที่จะชื่นชมความสามารถของจางอี๋ไม่ได้ เขาสามารถรอดพ้นจากความตายท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หว่านล้อมให้ฉีอ๋องหวั่นไหวและเป็นพันธมิตรกับฉินได้ มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

รัฐเจ้าเร่งเดินทัพ แต่เพราะว่าหลายวันนี้ซ่งชูอีกินจนท้องไส้ปั่นป่วน มีอาการท้องเดินเล็กน้อย กงซุนหยวนจึงเตรียมรถม้าให้นาง และส่งห้าร้อยคนตามไปคุ้มกันหลังจากนั้น

เพื่อป้องกันไม่ให้กงซุนหยวนข้ามฝั่งแล้วตัดสะพานทิ้ง ซ่งชูอีจึงจงใจเล่าแผนการเพียงแค่ครึ่งเดียว การที่กงซุนหยวนส่งคนมาคุ้มกันและเฝ้าระวังก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ทว่านางจะไม่นั่งรอผลลัพธ์

อากาศร้อนอบอ้าว ซ่งชูอีนั่งอยู่ในรถม้า เลิกม่านทั้งสี่ด้านขึ้นเพื่อให้ระบายลมและเพื่อให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอก

ผู้เดินทางทั้งหมดหันหน้าไปทางทิศใต้ มีเพียงซ่งชูอีที่นั่งอยู่ในรถม้าเท่านั้นที่หันไปยังทิศตรงข้าม

สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ต้นหญ้ารอบทิศที่บัดนี้เหลืองกรอบส่งเสียงกรอบแกรบ สายตาที่เฉียบคมของนางเหลือบเห็นชุดสีดำวูบไหวบนพื้นหญ้าด้านหลังขบวนรถ

ซ่งชูอีแอบวางใจ มองมาทั้งวันจนระคายเคืองตาแล้ว อย่างไรเสียนับว่าสิ่งที่รอคอยก็มาถึงแล้ว!

นางละสายตากลับมาโดยที่ไม่ส่งเสียงอะไร ขณะที่ผ่านสระกกขนาดใหญ่ก็มองไปยังผู้บังคับกองพันที่อยู่นอกรถ จงใจเลือกคำถามยากๆ “แม่ทัพของท่านกำลังอะไรอยู่รึ?”

“เรียนท่าน ท่านแม่ทัพกำลังยุ่ง” นายทหารเห็นว่ากงซุนหยวนค่อนข้างเกรงใจซ่งชูอีจึงไม่กล้าล่วงเกิน แต่ก็ไม่กล้าเผยความลับทางทหาร

[1] แปลจาก “ฉินเฟิง – อู๋อี” ส่วนหนึ่งของกวีนิพนธ์จีนโบราณ “ซือจิง”