บทที่ 299 ความตายอยู่ใกล้เพียงคืบ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีแสร้งทำเป็นไม่พอใจ เอ่ยอย่างหัวเสีย “ท่านเอารถเข้าข้างทาง ข้าจะเข้าห้องน้ำ!”

“ขอรับ” ผู้บังคับกองพันสั่งให้คนบังคับม้าจอดข้างทาง

ซ่งชูอีวิ่งลงจากรถไปยังกอกกด้วยความรีบเร่ง ครั้นหันกลับมาก็เห็นทหารอารักขาสิบกว่านายตามมา เอ่ยปากสบถ “ทหารอารักขาตามมาคนหนึ่งก็พอแล้ว จะมากันเยอะแยะทำไมเล่า! มารดาเจ้าไม่เคยเห็นบัณฑิตท้องเสียหรืออย่างไรกัน!”

ผู้บังคับกองพันนึกว่าซ่งชูอีโกรธคำตอบขอไปทีเมื่อครู่ของเขาจึงโบกๆ มือ ส่งสัญญาณให้สี่คนตามไป

ซ่งชูอีพุ่งเข้าในกอกกอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าหันหลังไป”

พวกเขาล้วนมีศิลปะการต่อสู้ การได้ยินเป็นเลิศ เพราะว่าห่างจากซ่งชูอีไม่ถึงหนึ่งจั้ง ดังนั้นจึงไม่กลัวว่านางจะหนี

ซ่งชูอีนั่งยองอยู่บนพื้นพลางมองดูท้ายทอยของสี่คนนั้น หน้านิ่วเข้าด้วยกัน สงสัยอยู่ในใจว่าผู้อารักขาลับจะทำสำเร็จหรือเปล่า…

สายลมพัดผ่านกอกกเสียงดังสวบสาบ

จากตรงนี้ไปข้างหน้าอีกสิบลี้ ก็จะเป็นกองทัพอันยิ่งใหญ่ของรัฐเจ้า

กงซุนหยวนอยู่ในชุดเกราะสีเงิน เดินทางอยู่กลางขบวนทัพ

“ท่านแม่ทัพ ข้างหน้าอีกประมาณสิบสี่ลี้เหมาะแก่การตั้งค่ายขอรับ” หัวหน้ากองซือหม่ารายงานข่าวจากสายสืบที่ล่วงหน้าไปก่อน

“อืม” กงซุนหยวนคำนวณเวลาอยู่ในใจครู่หนึ่ง

หัวหน้ากองเห็นว่าเขาพยักหน้าก็พูดต่อ “มีข่าวมาจากหานตานเมื่อครู่ ว่ามหาเสนาบดีรัฐฉินจางอี๋พบกับมหาเสนาบดีรัฐฉีและรัฐฉู่แล้ว บัดนี้สามรัฐร่วมกลยุทธ์เหอเหลียน เคารพกันและกันในฐานะอ๋อง ฉิงกงได้ขึ้นเป็นอ๋องแล้ว!”

กงซุนหยวนยกมุมปากขึ้น เงยศีรษะมองฟ้าครามสักพักก่อนที่จะเอ่ยพึมพำว่า “ในที่สุดเจ็ดมหานครรัฐก็มีอ๋อง พี่ใหญ่ ท่านจากไปก็ดีแล้ว!”

ประเพณีล่มสลาย ราชวงศ์โจวเป็นเพียงเครื่องประดับ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีนามของราชวงศ์โจวอยู่ รัฐจูโหวก็ระมัดระวังกับกฎเกณฑ์ภายนอกไม่มากก็น้อย ทว่า “การขึ้นเป็นอ๋อง” เท่ากับเป็นการประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่านับจากนี้ไปจะไม่มีความผูกพันกับราชวงศ์โจวอีก เป็นรัฐอิสระและสามารถยึดครองใต้หล้าได้เช่นกัน!

บัดนี้เป็นเจ็ดรัฐอย่างแท้จริง…เจ็ดผู้นำที่ไร้หลักคุณธรรมใดๆ และเป็นสัตว์ร้ายที่กัดกันอย่างสุดกำลังได้ทุกเมื่อ

“ท่านแม่ทัพ นี่เป็นม้วนไผ่ม้วนสุดท้ายที่ท่านซ่งส่งมา” หัวหน้ากองซือหม่าหยิบห่อผ้าออกมาจากอก ยื่นให้กงซุนหยวนด้วยสองมือ

เขาดึงสติกลับมา รับห่อผ้าไว้ คลี่ออกพลางถามว่า “ซ่งหวยจินถึงไหนแล้ว?”

หัวหน้ากองซือหม่าประสานมือเอ่ย “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านซ่งสุขภาพไม่ใคร่ดี รถแล่นช้า บัดนี้รั้งท้ายอยู่ที่ระยะสิบลี้”

กงซุนหยวนขมวดคิ้ว อ่านไม้ไผ่นั้นอย่างละเอียด เงียบงันครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “จัดการเขาอย่างลับๆ แล้วทิ้งศพในสนามรบหลีสือ”

หัวหน้ากองซือหม่าตกตะลึง เอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่แน่ใจ “ข้าน้อยโง่เขลา ความหมายของท่านแม่ทัพคือให้จัดการซ่ง…”

“ยังมีคนนอกคนอื่นในกองทัพอีกรึ?” กงซุนหยวนเหลือบมองเขาด้วยความเยือกเย็น

หัวหน้ากองซือหม่าตกตะลึง รีบเอ่ยว่า “ขอรับ!”

ซ่งชูอีเข้ามาในค่ายทหารเจ้าตามลำพัง ทหารเจ้าไม่มีหน้าที่รับประกันความปลอดภัยของนาง

ท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงอยู่สูงและห่างไกล เขียวดุจหยกใส ก้อนเมฆเบาบาง ดอกกกถูกพัดจนลอยม้วนกลางอากาศเหมือนเกล็ดหิมะโปรยปราย

นายทหารรัฐเจ้าสี่นายที่ยืนอยู่ในดงกกเริ่มหมดความอดทน หนึ่งในนั้นถามขึ้น “ท่านซ่งยังไม่เสร็จอีกหรือ?”

“เร่งอะไรเล่า ยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วยังยุ่งคนถ่ายหนักด้วยรึไง!” ซ่งชูอีหันหน้ามองรอบทิศ คิดในใจว่าผู้อารักขาลับทำงานกันช้าเหลือเกิน!

นางนั่งยองๆ มากว่าหนึ่งเค่อแล้ว ขืนไม่ลุกขึ้นมาอีกก็จะหาข้ออ้างไม่ได้แล้ว นางตัดสินใจที่จะโผล่หน้าไปก่อน แล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง ถึงอย่างไรนางก็ท้องเดินนี่นา!

หลังจากตัดสินใจแล้ว นางก็ลุกขึ้นแสร้งทำเป็นจัดกระชับเสื้อผ้าและส่งเสียงสวบๆ สาบๆ ในขณะที่กำลังเสแสร้งด้วยความจริงจังอยู่นั้น สายลมแรงก็ปะทะเข้ามาโดยไม่คาดคิด นางยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาใดๆ ลูกธนูดอกหนึ่งปล่อยแสงเย็นวูบผ่านไรผมของนาง

สี่คนนั้นมีปฏิกิริยาไวกว่านางเล็กน้อย ทว่าทันทีที่หันหลังไปก็ถูกลูกธนูแทงทะลุคอ ยังไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงด้วยซ้ำ

ศพล้มลงบนกกเสียงดังกรอบแกรบ ทำให้ดอกกกสีขาวลอยฟุ้งเต็มอากาศ

ชายสวมหน้ากากสีดำคนหนึ่งพุ่งไปหาซ่งชูอีเงียบๆ ราวกับเงา “กั๋วเว่ย ไปเร็ว”

ซ่งชูอีฟังออกว่ามันคือเสียงของกู่จิง จึงรีบตามเขาไป

คนที่รออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เอ่ยถามเสียงดัง “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

ซ่งชูอีคำรามอย่างหมดความอดทน “เร่งมารดาเจ้าสิ! รอประเดี๋ยว!”

คนข้างนอกนึกว่าสี่คนนั้นรบเร้าจนทำให้ซ่งชูอีขุ่นเคือง ผู้บังคับกองพันหันรีหันขวางอยู่ข้างนอกด้วยความร้อนใจ มองดูดอกกกที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากตรงนั้น “นานเหลือเกิน เจ้าพาคนไปดูหน่อย”

“ขอรับ!” คนกลุ่มเล็กรับคำสั่งแล้วเข้าไปในกอกก

ดอกอ้อประพรมมาตามลมเหมือนเมฆที่ลอยละล่องอย่างเชื่องช้า ผู้บังคับกองพันเงยหน้าขึ้น กลิ่นเลือดจางๆ เจือปนอยู่ในสายลมนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันใด “เกิดเรื่องแล้ว! ทหารม้าทั้งหมดตามข้าเข้าไป!”

ซ่งชูอีวิ่งหนีตามกู่จิง เมื่อได้ยินเสียงโกลาหลดังขึ้น ก็รู้ว่าทหารได้ไล่ตามมาแล้ว ดินโคลนใต้เท้าของพวกเขายวบยาบลงทุกที วิ่งได้ลำบากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดโคลนก็จมไปถึงน่อง การยกเท้าในแต่ละทีต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี

กู่จิงเห็นว่าเสื้อคลุมแขนกว้างของซ่งชูอีนั้นไม่สะดวก เอื้อมมือแบกนางพาดบ่า “ล่วงเกินแล้ว!”

“ไม่เป็นไร” ซ่งชูอีเอ่ย

กู่จิงแบกคนคนหนึ่ง ความเร็วจึงลดลงกว่าปกติมาก ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นก็สามารถเห็นคนที่อยู่ในกอกกยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งตัวอดที่จะรู้สึกเกร็งไม่ได้

“ผู้บังคับกองพัน! ท่านแม่ทัพมีข้อความมาขอรับ”

ทางนั้นหยุดชะงัก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้บังคับกองพันก็เอ่ยเสียงสูงฉับพลัน “ยิงธนู!”

จู่ๆ ก็มีเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากของซ่งชูอี หากยิงธนูเช่นนี้ พวกเขาก็หนีไม่รอดจริงๆ แล้ว! นางหันศีรษะไปเห็นเหงื่อเม็ดโตของกู่จิงไหลไปตามไรผม ไม่กล้าส่งเสียงทำลายสมาธิของเขา

ฝนธนูเปิดฉากทันที ลูกธนูจู่โจมอยู่ในกอกกที่หนาแน่นอย่างไร้ทิศทาง ทำให้ไม่สามารถป้องกันตัวได้เลย

ซ่งชูอีมองดูลูกธนูสองดอกที่กำลังพุ่งตรงมายังหน้าผากนางตาปริบๆ นางกระซิบอย่างรีบร้อน “หมอบลง!”

ทว่าไม่ทันแล้ว

ลูกธนูนั้นอยู่ห่างออกไปครึ่งจั้ง ซ่งชูอีกัดฟันแน่น เส้นเอ็นบนหน้าผากเต้นตุบ ทันใดนั้นความคิดมากมายก็ผุดขึ้นในสมองของนาง นางไม่เคยกลัวตาย ทว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ต้องมีเวลาอันเหมาะสม สภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมเอื้ออำนวย มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นจะให้นางเต็มใจจากไปได้อย่างไร!

ครั้นโกลาหลถึงขีดสุดก็สงบสติลง นางจ้องไปที่ธนูลูกนั้นโดยตรง รอบทิศพลันพร่ามัว

เมื่อนางเห็นว่าปลายธนูนั้นกำลังจะเจาะทะลุหน้าผากนางแล้ว เบื้องหน้าก็พลันมุนคว้าง ฟ้าดินกลับตาลปัตร แผ่นหลังของนางกระแทกกับแผ่นไม้อย่างแรงจนส่งเสียงดัง “ปัง” สนั่นหวั่นไหว น้ำกระเซ็นไปทั่ว

สมองของซ่งชูอีงุนงงไปชั่วขณะ ครั้นลืมตาขึ้นก็พบว่าตนถูกเหวี่ยงลงเรือลำเล็ก กู่จิงนอนอยู่ข้างเรือ เลือดสดๆ แพร่กระจายในน้ำรอบตัวเขา

ผู้อารักชาลับสองนายลากเขาลงเรือ

“กู่จิง” ซ่งชูอีนอนอยู่บนเรือ เมื่อคลานเข้าไปหาเขาก็เห็นลูกศรทั้งสองปักจมลงในเสื้อกั๊กของเขา

กู่จิงปีนขึ้นไปบนเรือ ยกมือขึ้นดึงหน้ากากลงแล้วหายใจเฮือก

มีเรือลำเล็กหกถึงเจ็ดลำอยู่สองข้างทาง ผู้อารักขาลับหมอบอยู่บนเรือในขณะที่ตอบโต้ด้วยลูกศรหน้าไม้ ทันทีที่จ้วงไม้พาย เรือลำน้อยก็พุ่งออกไปสองจั้งในน้ำเงียบๆ เหมือนลูกศร หลังจากพายขึ้นลงหลายครั้ง ในไม่ช้าก็มองไม่เห็นคนบนฝั่งแล้ว แม้มีลูกธนูพุ่งเข้ามาเป็นครั้งคราว แต่เนื่องจากอยู่นอกระยะยิง ครั้นถูกผู้อารักขาลับสะบัดด้วยดาบเบาๆ ลูกธนูก็ตกลงไปในน้ำ

เนื้อตัวของซ่งชูอีเต็มไปด้วยโคลนและเลือด นางจับชีพจรของกู่จิง เกลียดที่ทักษะการแพทย์ของตนไม่เก่งพอ ไม่สามารถบอกอะไรได้เลย