ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ไกลกว่าหนึ่งจั้งในกอกก การหลบหนีทางน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แม่น้ำสาขานี้ไหลไปยังฝั่งใต้และออกสู่บึงกก พื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้าเชื่อมต่อผืนน้ำและแผ่นฟ้าเข้าด้วยกัน เป็นทิวทัศน์งดงามของอากาศโปร่งสบายในฤดูใบไม้ร่วง
บาดแผลของกู่จิงได้ถูกโรยด้วยยาห้ามเลือดแล้ว ทว่าเลือดก็ยังคงไหลสู่ภายนอกไม่หยุด
“มีคนรู้วิชาแพทย์หรือไม่?” ซ่งชูอีนึกขึ้นได้ว่าผู้อารักขาลับชุดนี้ล้วนมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง จึงเงยหน้าขึ้นถาม
ผู้อารักขาลับที่ถ่อเรือเรือดึงหน้ากากลง ตอบว่า “กั๋วเว่ย พวกข้ารู้วิชาแพทย์เพียงน้อยนิด ทว่าบาดแผลของจิงสาหัสมาก อยู่นอกเหนือความสามารถของพวกข้า ทำได้เพียงรีบกลับเหอซีโดยเร็วที่สุด”
โชคดีที่วันนี้ไม่มีลมพัดแรง ผู้อารักขาลับใช้กำลังภายในเพื่อถ่อเรือและสามารถพุ่งออกไปได้เกือบสองจั้งในคราวเดียว
ผู้นั้นที่ถ่อเรือกล่าวอีกว่า “ทางน้ำเร็วและราบรื่น กั๋วเว๋ยอย่าได้เป็นกังวล”
ซ่งชูอีมองไปยังเลือดที่ไหลโครกออกมาก็กุมมือกู่จิงเงียบๆ ทักษะการแพทย์ของนางไม่เก่งนักแต่ก็รู้ว่าการที่เลือดสามารถพ่นออกมาได้เป็นเพราะว่าเส้นเลือดสำคัญถูกทำลาย
อีกทั้งหากมิใช่เพราะโดนจุดสำคัญและไม่สามารถเคลื่อนย้ายส่งเดช คนอื่นก็คงช่วยเขาห้ามเลือดไปนานแล้ว จะปล่อยให้กู่จิงเลือดไหลเช่นนี้ได้อย่างไร?
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามก็สามารถได้ยินเสียงกลองสงครามและเสียงฆ่าฟันได้อย่างชัดเจน เลือดบนตัวกู่จิงเริ่มไหลน้อยลง เลือดบริเวณลูกศรแข็งตัวเล็กน้อย
ซ่งชูอีมองดูใบหน้าที่ขาวซีดเหมือนกระดาษ รู้สึกว่ามือของเขาเย็นเฉียบลงทุกที อดที่จะขมวดคิ้วแน่นไม่ได้
นางลูบคลำหนังด้านๆ บนฝ่ามือหนาของเขา ดวงตาแดงก่ำ
“กั๋วเว่ย บัดนี้กองทัพเว่ยโจมตีกำแพงเมืองแล้ว เมืองหลีสือก็ไม่ปลอดภัย แวะที่บริเวณใกล้เคียงหลีสือดีหรือไม่?” ผู้อารักขาลับคนหนึ่งเอ่ยถาม
ซ่งชูอีคลายริมฝีปากที่กัดแน่น น้ำเสียงแหบแห้ง “ส่งสองคนเข้าไปตามท่านหมอในเมือง พวกเราหาที่ซ่อนเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บก่อน”
“ขอรับ!”
ครั้นได้รับคำสั่ง ทุกคนก็พาเรือเข้าฝั่ง สี่คนยกกู่จิงขึ้นฝั่งอย่างระมัดระวัง คนที่เหลือที่อยู่เบื้องหลังทิ้งรอยลับเอาไว้ เพื่อให้ทั้งสองคนพาท่านหมอไปถูกที่
กลุ่มนั้นเดินลึกเข้าไปในป่าทึบ และพบสถานที่ที่มีลำธารให้ปักหลัก
กู่จิงที่มีรูปร่างใหญ่กำยำนอนอยู่บนก้อนหินริมธารเหมือนหมีดำที่ถูกศร ซ่งชูอีไร้ความสามารถ ทำได้เพียงเฝ้าเขาไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
“กั๋วเว่ย ดื่มน้ำสักหน่อยเถิด” ผู้อารักขาลับม้วนใบไม้แทนแก้ว วักน้ำในลำธารให้ซ่งชูอี
“ข้าไม่กระหาย” ซ่งชูอีหมุนตัวไปถาม “ยังมีคนบาดเจ็บอีกกี่คน?”
คนนั้นตอบว่า “ส่วนมากมีเพียงแผลถลอกภายนอก ทายาแล้ว ไม่เป็นไร”
“เจ้าชื่อว่าอะไร?” ซ่งชูอีเหลือบมองใบหน้าเถรตรงของเขา
“ข้าน้อยกู่ฉิง” เขาเอ่ย
กู่ฉิงมีใบหน้าเหลี่ยม คิ้วหนาและจมูกเป็นสันตรง ใบหน้าคมเข้ม เปี่ยมไปด้วยท่าทางที่ชอบธรรมและซื่อสัตย์ เรียบง่ายจริงใจแต่ดูไม่ไร้เดียงสาเหมือนกู่จิง
“ท่าน” กู่จิงลืมตา
ซ่งชูอีรีบลุกขึ้น “ลูกศรของเจ้าถูกจุดสำคัญ อย่าเพิ่งพูดอะไร ประเดี๋ยวท่านหมอก็มาแล้ว”
กู่จิงฉีกยิ้ม ฟันถูกย้อมไปด้วยเลือด “ท่านบาดเจ็บหรือไม่?”
“ไม่เลย ข้าไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่ปลายผม!” ซ่งชูอีสำลักเสียงตัวเอง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” กู่จิงโล่งอก เอาหน้าแนบกับหินที่ถูกแสงแดดอาบจนอบอุ่นอย่างมั่นคง “ข้าไม่ไหวแล้ว…”
“อย่าพูดจาเหลวไหล!” ซ่งชูอีตำหนิ “ข้าเป็นนักปราชญ์ บอกว่าเจ้าไหวเจ้าก็ต้องไหว!”
“หึหึ!” กู่จิงหัวเราะกับคำพูดของนาง “ท่านหลอกข้า นักปราชญ์ไม่สนความเป็นความตาย”
“เจ้ามันโง่นัก!” ดวงตาของซ่งชูอีมีความเจ็บปวด เบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองเขาอีก
กู่จิงกุมมือของซ่งชูอีกลับ เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ข้ากู่จิงนั้นโง่เขลา มีเพียงร่างกายที่แข็งแกร่ง เมื่อก่อนข้า…เสียใจมาโดยตลอดที่ไม่ได้ร่วมฆ่าศัตรูในสนามรบ ทว่าพี่ใหญ่กล่าวว่า…ทักษะที่เราเรียนรู้…ก็เพื่อปกป้องผู้เปี่ยมปัญญาอันยิ่งใหญ่…ผู้เปี่ยมปัญญาอันยิ่งใหญ่ไม่สามารถฆ่าศัตรูได้ แต่ทำให้โลกสงบสุขได้…”
ซ่งชูอีตัดบทเขา “หยุดพูดได้แล้ว อีกประเดี๋ยวท่านหมอก็มาแล้ว มีอะไรไว้หายก่อนค่อยพูด!”
กู่จิงหันหน้ามองหน้า ดึงดันพูดให้จบ “ท่านเป็นผู้เปี่ยมปัญญาอันยิ่งใหญ่…หากท่านสามารถปกป้องให้ชาวฉินสงบสุขได้ กู่จิง…”
ตัวเขาสั่นกระตุก มือจับกระชับทันใด นิ้วของซ่งชูอีราวกับถูกบีบจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ซ่งชูอีรู้ว่าเขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว รีบเอ่ยว่า “ชั่วชีวิตนี้ข้าซ่งหวยจิน จะต้องปกป้องชาวฉินให้สงบสุขและรอดพ้นจากภัยพิบัติอย่างเต็มความสามารถ! จะต้องไม่ให้การเสียสละของเจ้าต้องเสียเปล่า!”
“ฮ่า ฮ่าๆ…พรืด!” กู่จิงกระอักเลือด มือค่อยๆ คลายออก
ซ่งชูอีมองดูเขาหลับตาลงโดยยังมีรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปากก็พลันรู้สึกปวดใจ ในสมองส่งเสียงวิ้งๆ รู้สึกเพียงทั้งตัวด้านชา
นางหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาจากมุมตาเงียบๆ
ผู้อารักขาลับที่เหลือทยอยเดินเข้ามาใกล้ นอกเหนือจากการสงบนิ่งไว้อาลัยแล้ว ไม่รู้ว่ายังสามารถทำอะไรได้อีก
ผ่านไปสักพัก ซ่งชูอีจึงลืมตา ดึงดาบออกมาจากตัวของกู่จิง ถอดเสื้อตัวนอกของเขาแล้วคลุมร่างกายและใบหน้าของเขาเอาไว้
กู่ฉิงเอ่ยปากปลอบโยน “กั๋วเว่ยได้โปรดหักห้ามใจด้วย พวกข้ามีภารกิจติดตัว เฉยเมยต่อความเป็นความตายนานแล้ว จิงจงรักภักดีต่อต้าฉิน แม้ตายก็สมเกียรติ”
“อืม” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “นำไปฝังให้ดี”
“ขอรับ” กู่ฉิงเอ่ย
เนื่องจากซ่งชูอีมีประโยชน์ต่อรัฐฉิน ดังนั้นผู้อารักขาลับจึงสามารถปกป้องนางโดยไม่เสียดายชีวิต
ในโลกแห่งความวุ่นวายเช่นนี้ความเป็นและความตายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง นับประสาอะไรกับการเป็นผู้อารักขาลับเล่า? เพียงแต่คนที่จากไปครั้งนี้เป็นคนที่อยู่ในสายตาและในหัวใจของนางก็เท่านั้น
ภายในป่าเงียบสงัด
นั่งอยู่ครึ่งชั่วยาม ผู้อารักขาสองคนจึงพาท่านหมอกลับมา หลีสือกำลังอยู่ในสงคราม ด้วยความเร็วเช่นนี้นับว่าเร็วมากแล้ว แต่น่าเสียดายที่กู่จิงเพิ่งจะขึ้นฝั่งได้ไม่นานก็จากไปเสียก่อน
“สงครามเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
ผู้อารักขาลับตอบว่า “เรียนกั๋วเว่ย การต่อสู้ดำเนินมาสองวันติดต่อกันโดยไม่หยุดพักแล้ว กองทัพเว่ยเริ่มส่งทหารเข้ามามากขึ้น กองทัพเหอซีของเราเองก็เสริมกำลังเช่นกัน สถานการณ์สงคราม…ไม่น่ารื่นรมย์นัก”
สายตาของซ่งชูอีหยุดอยู่ที่ศพของกู่จิง คล้ายเอ่ยกับตัวเองแต่ก็คล้ายเอ่ยให้ผู้อารักขาลับฟัง “ไม่นาน ไม่นานมันก็จะจบแล้ว”
นางสูดหายใจลึก จากนั้นก็เอ่ยว่า “มีข่าวของกู่หานบ้างไหม?”
กู่ฉิงตอบว่า “มีขอรับ คนที่ท่านให้สวมรอยเป็นมือสังหารสาวนั้น เมื่อคืนมีใครบางคนฉวยโอกาสจากความวุ่นวายและบุกเข้าคุกเพื่อช่วยคนจริงๆ บัดนี้ถูกหัวหน้าจับตัวแล้ว รอกั๋วเว่ยกลับไปสอบสวน”
เดิมทีกู่จิงต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่กู่หานกลัวว่ากู่จิงจะปรับตัวได้ไม่ดีพอ กลัวว่าหากทำพลาดให้จะโดนซ่งชูอีตำหนิได้ จึงตั้งใจเปลี่ยนตัวกับเขา
ซ่งชูอีรู้สึกเศร้า “ส่งคนไปบอกกู่หานว่าให้มาส่งกู่จิงเป็นครั้งสุดท้าย”
“ขอรับ!” กู่ฉิงรับหน้าที่นี้ไว้เอง
กู่จิงและกู่หานมิได้มีความผูกพันทางสายเลือด บ้านเกิดของทั้งสองล้วนอยู่ที่ชูหลี่เหมือนกัน ขณะที่เพิ่งเข้าสำนักมาก็สนิทกันกว่าคนอื่นมาก กู่จิงเป็นคนจริงใจ ครั้นสองคนคลุกคลีกันมานานก็ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เสียอีก
ชีวิตและความตายไม่แยแสกับผู้ที่จากไปแล้ว แต่ไม่ว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะเปิดใจเพียงใดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้
ผ่านไปเพียงสองเค่อ ซ่งชูอีก็เห็นกู่หานพุ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน
เขาแข็งกร้าวและสงบนิ่งเสมอมา ทว่าบัดนี้กลับพุ่งดิ่งมาที่ศพของกู่จิงด้วยความกระวนกระวายโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
แม้ว่าการที่ผู้อารักขาลับปกป้องกั๋วเว่ยจะเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ในเวลานี้ซ่งชูอีก็ยังคงไม่สามารถเผชิญหน้าได้
กู่หานตัวแข็งทื่ออยู่หน้าศพ ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เนิ่นนาน ซ่งชูอีที่อยู่ห่างไปหนึ่งจั้งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งตัวของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
เวลาคล้ายเดินช้าเป็นพิเศษแต่ก็คล้ายเดินเร็วมากเช่นกัน มีคนเรียกเขาแผ่วเบา “หัวหน้า…”
กู่หานสงบสติอารมณ์ เดินเข้าไปคุกเข่าข้างศพ ก้มตัวลงเปิดเสื้อคลุมที่คลุมร่างของกู่จิงออก ใบหน้าหนวดเคราเฟิ้มที่คุ้นตาปรากฏให้เห็น
บัดนี้น้ำตาไหลนองหน้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ความรักในการพึ่งพาและสนับสนุนซึ่งกันเพื่อความอยู่รอดได้ขาดสะบั้นลงฉะนี้
วันต่อมา กองทัพเจ้าเปิดสงครามกับรัฐเว่ย เนื่องจากแนวป้องกันด้านหลังว่างเปล่า เพียงชั่วข้ามคืนจึงถูกรัฐเจ้ายึดครองสองนครได้ด้วยความพยายามอันน้อยนิด
รัฐเว่ยไม่มีทางที่จะให้เวลาทหารเจ้ามากพอในการยึดครองดินแดนสามร้อยลี้ หลังจากกงซุนหยวนได้ฟังกลยุทธ์จากซ่งชูอีแล้ว ก็ไม่ได้ไปตีดินแดนที่เดิมทีเป็นของรัฐเจ้า แต่นำกองทัพเข้าบีบต้าเหลียงนครหลวงของรัฐเว่ยแทน
เมืองหลวงของรัฐเจ้าและรัฐเว่ยอยู่ห่างกันไม่มากนัก ชั่วพริบตาเดียวรัฐเจ้าก็ขยายดินแดนใกล้นครต้าเหลียง ทั้งยังมีกองกำลังทหารขนาดใหญ่อยู่ประจำการ นี่เป็นภัยคุกคามต่อรัฐเว่ยอย่างร้ายแรง
กอปรกับข่าวที่รัฐฉี ฉู่ ฉินเข้าร่วมกลยุทธ์เหลียนเหอ เว่ยอ๋องจำต้องหาทางป้องกันตนเอง
หลังจากนั้นสองวันกองทัพเว่ยก็ถอยทัพกลับไปจากสงครามหลีสือ ทว่าความวิปโยคจากสงครามในครั้งนี้ไม่นับว่าเป็นชัยชนะสำหรับทหารฉิน
ทหารฉินทำสงครามติดต่อกันสี่วันห้าคืน คนส่วนมากมิได้ตายด้วยดาบของศัตรูแต่เป็นเพราะเหนื่อยล้าจนตาย
มีกองทัพเหอซีคอยสนับสนุน ทว่าทันทีที่สงครามเปิดฉากแล้วมีแต่เดินหน้าไม่สามารถถอยกลับ ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงเข้าร่วมกองกำลังสนับสนุนแต่กลับไม่มีใครออกไปได้
ตลอดแนวกำแพงเมืองถูกย้อมไปด้วยสีเลือด ภายใต้แสงอาทิตย์สว่างไสวของฤดูใบไม้ร่วงนั้น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือสีแดงเข้มอันน่าใจหาย ซากชิ้นส่วนอวัยวะใต้กำแพงเมืองส่งกลิ่นเน่าเหม็น
ทหารรักษาการณ์ของกองทัพฉินบนกำแพงเมืองนอนอย่างไร้ระเบียบรวมกันกับกองศพ เหอซีส่งทหารรักษาการณ์สองหมื่นนายเข้ายึดหลีสือและนับศพเป็นการชั่วคราว
ขณะที่ซ่งชูอีเดินเข้าใกล้กำแพงเมือง ทหารฉินกำลังใช้น้ำในแม่น้ำล้างทำความสะอาดกำแพง
น้ำตกสีแดงไหลลงมาตามกำแพงเข้าไปในดิน เมื่อกลิ่นของพืชน้ำรวมเข้าด้วยกันกับเลือดชวนให้น่าสะอิดสะเอียนยิ่ง
ผู้อารักขาลับนำทางซ่งชูอี เคาะประตูด้านข้างแล้วเข้าไปในนคร
ในนครเงียบสงัด
ในที่สุดราษฏรในนครที่ปิดประตูไม่ออกจากบ้านเป็นเวลาเกือบสองเดือนก็เริ่มทำกิจกรรมตามปกติ ทว่าคนที่อาศัยยู่ในป้อมปราการหลีสือไร้ความรู้สึกความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของและชินชากับเรื่องสงครามมานานแล้ว การชนะหรือแพ้ในสงครามไม่มีผลอะไรกับเขา ตราบใดที่ไม่มีการสังหารหมู่ทุกคนในนครก็เหลือเพียงแค่จะเป็นของรัฐเว่ยหรือรัฐฉินเท่านั้น
เมื่อกลับมาถึงลานที่พักอาศัยชั่วคราว ซ่งชูอีก็ถามนายทหารรักษาจวน “ท่านแม่ทัพเจ้าล่ะ?”
นายทหารกล่าวว่า “เรียนกั๋วเว่ย ท่านแม่ทัพเจ้าเพิ่งจะกลับมากว่าหนึ่งชั่วยาม กำลังนอนอยู่ในห้องนอนขอรับ!”
ซ่งชูอีพยักหน้า แล้วไปยังห้องนอน
เพิ่งจะพ้นเวลาเที่ยงได้ไม่นาน แสงในห้องยังคงสว่างอยู่ ซ่งชูอีสามารถมองเห็นเสื้อเกราะและดาบจวี้ชางบนโต๊ะที่เปื้อนเลือดได้อย่างชัดเจน เจ้าอี่โหลวกำลังนอนหลับลึกอย่างหมดสภาพบนเตียง
ซ่งชูอียังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ ก็ได้กลิ่นของเหงื่อและเลือดที่ผสมกันอย่างหนักหน่วง
นางนั่งลงข้างเตียง ยื่นมือลูบคลำหน้าผากที่ดำคล้ำเล็กน้อย กระซิบเสียงต่ำ “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าออกไปรบข้างนอกแล้ว ชีวิตทั้งเบาบางและหนักหนาเหลือเกิน?”
ในฐานะที่ซ่งชูอีเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการวางกลยุทธ์ นางต้องสังเวยชีวิตในมือไปมากแค่ไหน! ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เคยมองว่าชีวิตและความตายเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ว่าจะเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าชีวิตของตัวเองเป็นสมบัติล้ำค่า สำหรับนางแล้ว ความหมายของการเกิดใหม่คือ…การต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขต่างหากเล่า!
หากวันนี้ผู้ที่ปกป้องนางจนตัวตายเป็นผู้อารักขาลับคนอื่น นางก็คงไม่หวั่นไหวถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ดีกู่จิงตายเพราะช่วยชีวิตนางแต่กลับสอนนางว่าชีวิตสำคัญมากเพียงใด สำคัญจนนางไม่สามารถแบกรับได้
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจว่าในชีวิตนี้มีคนคนหนึ่งที่นางไม่อาจเสียไปโดยเด็ดขาด
ทว่าเมื่อเดินมาถึงขั้นนี้นางก็ได้พรากไปหลายชีวิตแล้ว คนเหล่านั้นมิได้ตายเพื่อนาง แต่ตายเพื่อต้าฉินและเพื่อความสงบสุข นางไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้มันล้มเหลว
ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ?
“อี่โหลว ทำอย่างไรจึงจะทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้?” นางทอดถอนใจ “สุดท้ายแล้วเป็นเพราะข้าโลภมากขึ้นทุกทีกระมัง”