บทที่ 301 คำสาบานแห่งคุณธรรม

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีออกไปสั่งให้คนนำน้ำเข้ามา หยิบผ้าขนหนูแล้วช่วยเจ้าอี่โหลวเช็ดตัว

เจ้าอี่โหลวเหนื่อยมากจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ตื่นขึ้นมาเลย

หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว ซ่งชูอีก็ให้คนเตรียมเสื้อผ้าชุดหนึ่ง หลังจากอาบน้ำก็ไปเข้าร่วมงานศพของกู่จิง

เมืองชูหลี่ห่างไกล ไม่สะดวกขนย้ายศพกลับบ้านเกิด กู่หานจึงเลือกสถานที่ทำเลดีบนภูเขาใกล้กับหลีสือเพื่อพักโลงศพไว้สามวัน จากนั้นก็ฝังศพด้วยความเร่งรีบ

พระราชโองการทยอยตามมาอย่างไม่ขาดสาย

เจ้าอี่โหลวหลับไปสองวันติดต่อกัน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไปรายงานการปฏิบัติภารกิจกับซ่งชูอี

หลังจากสายฝนฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไป เสียนหยางก็ไม่ได้ร้อนอีกต่อไปแต่กลับแห้งและเย็นสบาย เมื่อผ่านถนนหลวงฝุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วทุกที่ ทหารชุดเกราะสีดำใช้ผ้าใยกัญชงปกปิดใบหน้า เมื่อมองจากที่ไกลๆ แล้วเหมือนม้าเหล็กที่กำลังขี่เมฆ ดูยิ่งใหญ่และผ่าเผยเหมือนสายรุ้ง

ราษฎรได้ยินเสียงก็พากันหลีกทาง ทหารม้าเข้ามาในนคร หยุดอยู่ห่างจากหน้าพระราชวังไปร้อยจั้ง

ซ่งชูอีพลิกตัวลงจากม้า เดินเข้าพระราชวังพร้อมกับเจ้าอี่โหลว

“กั๋วเว่ย! ท่านแม่ทัพเจ้า!”

ทันทีที่ผ่านประตูราชวัง ซ่งชูอีกับเจ้าอี่โหลวก็เห็นชูหลี่จี๋พาขุนนางนับร้อยมารอรับ จึงรีบประสานมือคำนับ

ชูหลี่จี๋ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาเพื่อประคองทั้งสองคน

“นี่คือ…” ซ่งชูอีมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน ไม่ขาดขุนนางที่เข้าร่วมประชุมในตอนเช้าเลยแม้แต่คนเดียว

ชูหลี่จี๋เอ่ย “กั๋วเว่ยและท่านแม่ทัพเจ้าได้สร้างผลงานในการปกป้องหลีสือได้อย่างยอดเยี่ยม ฝ่าบาทรู้ว่าท่านทั้งสองจะมาถึงในวันนี้ ตั้งใจสั่งให้ข้าพาขุนนางนับร้อยมารอต้อนรับที่นี่”

“หลีสือมั่นคงปลอดภัย เป็นผลงานของทหารรักษาชายแดน จะเป็นผลงานของพวกข้าสองคนได้เยี่ยงไร? ฝ่าบาทชมข้าเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความละอายใจ

คนหนึ่งพูดขึ้น “หากกั๋วเว่ยไม่ใช้แผนยุให้รำตำให้รั่ว รัฐเจ้าและเว่ยก็คงไม่ถอนทัพรวดเร็วเพียงนี้ กั๋วเว่ยสมควรได้รับแล้ว!”

ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ขอแสดงความยินกับชัยชนะของกั๋วเว่ยและท่านแม่ทัพเจ้า”

“รีบเข้าไปที่ท้องพระโรงเถิด ฝ่าบาทรออยู่” ชูหลี่จี๋เอ่ย

ซ่งชูอีพยักหน้า หลังจากคำนับทุกคนแล้วก็รีบจากไป

เจ้าอี่โหลวไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่คำนับทุกคนไปตามมารยาท

ภายในท้องพระโรงว่างเปล่าเยือกเย็นกว่าภายนอกนัก

ด้านหลังพระที่นั่งหลักคือประติมากรรมนูนสูงของสัตว์เทพในตำนานสีดำขนาดใหญ่ องค์จวินหนุ่มในชุดสีดำกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่หน้าภาพแกะสลัก โดยมีบ่าวรับใช้ยืนก้มหน้าขนาบทั้งสองข้าง

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

“ไม่ต้องมากพิธี” อิ๋งซื่อวางเอกสารลง

ซ่งชูอีคำนับอีกครั้ง “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทที่ได้ขึ้นเป็นอ๋องแห่งใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ!”

เจ้าอี่โหลวคร้านที่จะพูดจา จึงคำนับตามนาง

อิ๋งซื่อก้มหน้าลงมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง “ผ่านไปไม่กี่วัน ใบหน้าของกั๋วเว่ยเปี่ยมด้วยความผันผวนในชีวิตเสียแล้ว”

“กระหม่อมรู้สึกอับอายกับหายนะจากสงคราม” ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมองอิ๋งซื่อ บัดนี้บนมงกุฎของเขามีพู่หยกห้อยย้อยลงมา ทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ถนัด

อิ๋งซื่อลุกขึ้น เดินลงบันไดด้านข้างพลางเอ่ยว่า “ท่านทั้งสองลำบากแล้ว กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิด อีกสามวันค่อยมารายงานผลการปฏิบัติงาน”

ซ่งชูอีกับเจ้าอี่โหลวเห็นว่าเขาเดินไปที่ห้องโถงด้านข้างจึงค้อมตัวเอ่ย “น้อมส่งฝ่าบาท”

เหลือเพียงพวกเขาสองคนในท้องพระโรง ซ่งชูอีหันหน้าไปกระซิบกับเจ้าอี่โหลว “ดูเหมือนฝ่าบาทอารมณ์ไม่ค่อยดี?”

“เขาเคยอารมณ์ดีด้วยรึ!” เจ้าอี่โหลวเบือนหน้าแล้วเดินจากไป

“เป็นอะไรกันไปหมด?” ซ่งชูอีมองดูท้ายทอยของเขาพร้อมบ่นพึมพำ

ครั้นออกมานอกท้องพระโรง ซ่งชูอีก็ตามเขาจนทัน “อยู่ดีๆ เจ้าจะอารมณ์เสียทำไม?”

เจ้าอี่โหลวหยุดเดินกะทันหัน หันมาจ้องนาง “เจ้าคิดเอาเอง”

เรื่องที่ซ่งชูอีบุกเข้าค่ายทหารของศัตรูตามลำพังถูกปกปิดไว้ เจ้าอี่โหลวต้องทำสงครามเพื่อปกป้องนคร จากนั้นก็นอนหลับติดต่อกันสองวันสองคืน ไม่น่าจะมีเวลาทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ดอกกระมัง?

มองดูเจ้าอี่โหลวลงบันไดไป ซ่งชูอีเกาๆ คอ แอบตัดสินใจที่จะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ยืนกรานปฏิเสธ

“รอข้าด้วย” ซ่งชูอีตัดสินใจแล้วก็วิ่งเหยาะๆ ตามไป “ข้าคิดถึงเรื่องต่างๆ ตลอดทั้งวันจนผมหงอกก่อนวัยแล้ว หากเจ้ามีเรื่องใดก็พูดมาตามตรงเถิด เพื่อไม่ให้ผมดกดำไม่กี่เส้นของข้าต้องกังวลใจอีก เจ้าบอกมาว่าข้าไปทำอะไรผิด?”

เจ้าอี่โหลวเงียบงันไม่พูดจา เดินก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า

ซ่งชูอีคิดว่าในพระราชวังก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุย จึงปิดปากเงียบเช่นกัน

หลังจากที่ออกจากพระราชวังและต่างคนต่างขึ้นรถม้าแล้ว เจ้าอี่โหลวเอ่ยว่า “หลายวันนั้นที่เจ้าไม่อยู่ในหลีสือ เจ้าหายไปไหนมา?”

ซ่งชูอีอ้าปากพูดโดยไม่จำเป็นต้องเรียบเรียงในสมองเลยด้วยซ้ำ “เรื่องนี้น่ะหรือ ผู้อาวุโสกุ่ยกู๋จื่อต้องการไปที่ทะเลสาบอวิ๋นเมิ่ง หนทางยาวไกล ข้าจะวางใจให้คนแก่อย่างเขาเดินทางคนเดียวได้อย่างไร ดังนั้นจึงไปส่งเขา”

เจ้าอี่โหลวหันมาจ้องนางอย่างเย็นชา “โกหก!”

ซ่งชูอีชูนิ้วขึ้น “ข้าผู้แซ่ซ่งขอเอาคุณธรรมทั้งชีวิตเป็นประกัน! ไม่มีเรื่องอื่นใด!”

“หึหึ คุณธรรม…” ในน้ำเสียงของเจ้าอี่โหลวเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ

ซ่งชูอีเบะปาก กล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ จะหัวเราะอะไร!”

เจ้าอี่โหลวเลิกคิ้วมองนาง “เจ้ายังพูดออกมาอย่างไร้ยางอายยังจะไม่อนุญาตให้คนอื่นหัวเราะเยาะอีกรึ?! ไม่มีความจริงใจในคำสาบานนี้เลย! เจ้าไปชั่งน้ำหนักเอาเองเถิด วันนี้ข้าจะกลับจวนของข้า ย้าก!”

ทันทีที่หวดแส้ก็ควบม้าจนฝุ่นตลบ

“เอ๋?” ซ่งชูอีหรี่ตาพร้อมยกมือขึ้นปิดปากและจมูก จนกระทั่งฝุ่นจางหายไปก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าคนหน้าตาดีอารมณ์ร้ายทุกคน!?”

ครั้นครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่! มีเพียงชูหลี่จี๋ที่เป็นข้อยกเว้น อย่างไรก็ดีซ่งชูอีรู้ดีว่าแม้ชูหลี่จี๋จะไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธต่อหน้านาง ทว่าเขาก็ไม่ใช่เป็นคนไร้ความรู้สึก ในทางตรงกันข้าม เขาเป็นคนรักษาคำพูด ไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย แสวงหาความสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอิ๋งซื่อ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะปกป้องคนรักในวัยเด็กที่ล่วงลับไปนานแล้วจนถึงบัดนี้ได้อย่างไรกัน?

แม้จะกล่าวว่าสถานะของอนุภรรยาไม่เทียบเท่าภรรยาเอก ทว่าภูมิหลังของชูหลี่จี๋สูงศักดิ์ เป็นถึงขุนนางชั้นสูง ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่รอคอยจะได้เป็นภรรยาเขาอย่างใจจดใจจ่อ!

คิดดูอีกที ครั้งนี้เจ้าอี่โหลวถึงขั้นที่จะกลับจวนของตัวเอง เกรงว่าคงโกรธไม่น้อย

ซ่งชูอีคิดไปคิดมา ก็ไปยอมรับเสียดีกว่า…

หนิงยากำลังชะเง้อรออยู่หน้าประตูจวน ครั้นเห็นเงาของซ่งชูอีก็รีบไปรับหน้าอย่างดีอกดีใจ “ท่านเจ้าคะ! เหตุใดจึงกลับมาป่านนี้! ท่านแม่ทัพกลับมาได้สักพักแล้ว!”

ซ่งชูอีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พลิกตัวลงจากม้า โยนบังเหียนม้าให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างประตู “เขากลับมาแล้วรึ? อยู่ที่ไหน?”

“เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเจ้าค่ะ กำลังเล่นกับไป๋เริ่นอยู่ที่ศาลาด้านหลัง” หนิงยาเดินเข้าประตูบ้านกับซ่งชูอี แล้วเอ่ยว่า “บ่าวเตรียมน้ำไว้ให้แล้ว ท่านต้องการอาบน้ำก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”

“อืม ข้าไม่อยู่เสียนาน ที่จวนเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อได้ยินเสียงที่สดใสของหนิงยา อารมณ์ของซ่งชูอีก็พลอยผ่อนคลายลงไปมาก

“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” หนิงยานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทแวะมาครั้งหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ เสด็จมาตอนค่ำแล้ว บอกว่าจะไปแช่น้ำร้อนที่ลานด้านหลังและเรียกให้พี่หมี่ไปปรนนิบัติ จากนั้นก็เดินหมากกับพี่หมี่จนดึกก่อนที่จะกลับไป”

ที่นี่เป็นบ่อน้ำร้อนแห่งเดียวในเสียนหยางและเดิมทีก็เป็นตำหนักขององค์จวิน การมาแช่บ่อน้ำร้อนจึงไม่มีสิ่งใดผิดปกติ “หมี่จียังอยู่ในจวนหรือไม่?”

หากมีการหลับนอนกันจริง ก็ควรจะพากลับเข้าไปในพระราชวัง ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็ต้องมอบสถานะนางในวัง

“อยู่เจ้าค่ะ” หนิงยาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซ่งชูอีจึงตอบไปตามตรง

สิ้นวาจาก็เห็นหมี่จีเดินมาตามทางระหว่างดงดอกไม้และต้นหลิว “มารับนายท่านช้าไป ได้โปรดนายท่านลงโทษด้วย”

ซ่งชูอีสำรวจนางรอบหนึ่ง “ไม่ต้องมากพิธีหรอก หนิงยา ข้าชอบกินบะหมี่น้ำที่เจ้าทำมากที่สุด เจ้าไปทำชามใหญ่มาให้ข้า อืม ทำให้ท่านแม่ทัพชามหนึ่งด้วย”