ตอนที่ 314 หลิวหลีสอนหลาน

แม่ครัวยอดเซียน

หลังจากที่หลิวหลีออกจากฌานก็สัมผัสได้ว่าหนานกงเวิ่นเทียนออกจากฌานแล้วเช่นกัน ทั้งสองกลับไปเจอกันที่วังเซียนของตนแล้วก็ต้องตกใจกับสีผมสีตาที่เปลี่ยนไปของแต่ละคน แต่ก็รู้สึกเหมาะสมกับอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

“น้องหญิงเจ้าไม่เหมือนใครจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนเล่นผมหลากสีอันสวยงามของหลิวหลีราวเป็นของเล่นชิ้นใหม่ ชอบจนไม่อยากปล่อยมือ

“พอแล้ว ข้าชอบผมของท่านพี่มากกว่า ดูสะอาดบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ไม่เหมือนข้าที่เป็นเหมือนจานสี” หลิวหลีอดแขวะสีผมหลากสีของตนไม่ได้ แม้แต่ปราณก่อนกำเนิดของนางกลายเป็นคนตัวจิ๋วก็ยังมีผมสีนี้เช่นกัน หลิวหลีสามารถเปลี่ยนสีผมให้กลายเป็นสีดำได้ แต่ปราณก่อนกำเนิดยังมีผมหลากสีสันอยู่

“ไม่คุยเรื่องผมแล้ว น้องหญิง อยากกลับไปหาเด็กทั้งสองคนไหม” แม้ว่าเขาจะชอบแย่งของกินเด็กทั้งสอง แต่เพราะเป็นคนเลี้ยงพวกเขาตั้งแต่เกิด จึงผูกพันอย่างยิ่ง

“พวกเราไปหาพวกเขากัน” สำหรับพวกเขาในตอนนี้ เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว

ทั้งสองเก็บของเรียบร้อย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงดินแดนอสูรเทพ แล้วก็เห็นอาเลี่ยและอิงเสวี่ยกำลังหัวเสียอย่างหนัก

“อาเลี่ย ข้าจำได้ว่าอิงเสวี่ยเป็นหงส์เหมันต์ไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นหงส์อัคคีไปเสียแล้ว” หลิวหลีมองอิงเสวี่ยที่ราวกับเป็นมังกรพ่นไฟ รู้สึกราวไม่รู้จักอีกฝ่ายอย่างกระทันหัน ทั้งที่สนิทสนมกันมาก็หลายปี

“หากข้าจำไม่ผิดก็ใช่ อาเลี่ยดูเหมือนจะขี้หงุดหงิดกว่าแต่ก่อนมากขึ้นด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนพูดพลางมองหลิวหลี

“ใช่ ถึงแต่ก่อนอาเลี่ยจะนิสัยไม่ดี แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้” นี่มันยิ่งกว่าวัยทองอีกนะ พวกเขาแค่เข้าฌานเพื่อบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน ระหว่างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เจ้าเด็กดื้อสองคน มานี่สิ บอกมา พวกเจ้าสองคนใครเป็นคนเผาเคราของบรรพบุรุษเฟิ่งซาน” เอ๋าเลี่ยโมโหจนปวดตับ ตั้งแต่ที่หลิวหลีจากไป เด็กทั้งสองก็ไม่เคยหยุดซน วันนี้ไม่ดึงหนวดมังกรของบรรพชนเอ๋าเฟิงก็เผาคิ้วของบรรพชนคนใดคนหนึ่ง ไม่ยอมสงบเสงี่ยมเลยสักนาที ความสุขของตนที่ได้มีลูกและบรรลุขั้นราชาเซียนได้หมดสิ้นลง มีลูกที่ร้ายกาจสองคนนี้ ความอดทนถูกบดขยี้จนไม่เหลือ เขาได้ยินมาว่าเด็กสองคนนี้อยู่ต่อหน้าหลิวหลีจะไม่ซนขนาดนี้ ทำไมอยู่กับเขาถึงได้ซนเช่นนี้

“ข้าเปล่า” เด็กทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน จากที่ได้อยู่ร่วมกันมาหลายปี ทั้งสองเริ่มใจตรงกันมากขึ้น ไม่ต้องใช้สายตาสื่อสารกันก็สามารถรับรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้

นี่ก็เป็นส่วนที่เอ๋าเลี่ยและอิงเสวี่ยปวดหัวเช่นกัน ต่อให้แยกทั้งสองคนมาถาม เรื่องราวที่ได้จากพวกเขาสองคนก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน สมบูรณ์แบบจนน่าเหลือเชื่อ

“หากวันนี้พวกเจ้าสองคนไม่พูดก็คุกเข่าอยู่ที่นี่ พูดเมื่อไหร่ก็ลุกได้เมื่อนั้น” เอ๋าเลี่ยโกรธจนสะบัดชายเสื้อเดินจากไป เขาคิดว่าหัวใจที่แข็งแกร่งอย่างมากของตนใกล้ถูกเด็กสองคนนี้ยั่วยุจนใกล้จะเป็นบ้า

“ท่านพ่อ ท่านทำกันเกินไปแล้ว” ปิงเซียวพูด

“ใช่ ท่านพ่อ ท่านไม่เชื่อใจพวกข้าเลย” เหลยรุ่ยพูดต่อ

“ถ้าท่านน้าหลิวหลีอยู่จะต้องเชื่อพวกเราแน่” ปิงเซียวพูดต่ออีก

“ท่านน้าหลิวหลี พวกเจ้าถูกหลิวหลีเลี้ยงมากับมือจนโต แต่เด็กที่หลิวหลีสั่งสอนจะไม่พูดโกหก แล้วพวกเจ้าล่ะ” เอ๋าเลี่ยผิดหวังเล็กน้อย

“เจ็บๆ” ทันใดนั้นหูซ้ายของปิงเซียวและหูขวาของเหลยรุ่ยก็ถูกใครบางคนบิด

“นั่นใคร” เอ๋าเลี่ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง มารังแกลูกชายเขาต่อหน้าต่อหน้าเขา น่าโมโห แม้จะหัวเสียที่เด็กๆไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ไม่มีทางให้ใครมารังแกพวกเขาเด็ดขาด

“เจ้าเด็กสองคนนี่ ไม่เลวเลยนี่ ไม่เจอกันแค่ไม่เท่าไหร่ก็เชี่ยวชาญเรื่องการพูดอะไรแค่ครึ่งเดียวแล้ว แต่ก็รู้ใจกันมากขึ้นเรื่อยๆด้วย” หลิวหลีบีบหูเด็กทั้งสองแล้วเผยร่างจริงออกมา

“(ท่านน้า) หลิวหลี” เอ๋าเลี่ยและเด็กทั้งสองตะโกนออกมาด้วยความดีใจ อิงเสวี่ยเห็นหลิวหลีแล้วก็เป่าปากออกมายาวๆด้วยความโล่งใจ ดีจริงๆที่หลิวหลีกลับมาแล้ว แม้ว่านางจะรักลูกทั้งสองคนมาก แต่ก็ไม่รู้จะสั่งสอนเด็กๆอย่างไร หลิวหลีกลับมาราวกับเป็นตัวช่วยชีวิต

“อาเลี่ย อิงเสวี่ย พวกเจ้าสองคน ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าเล่นกันได้ไม่เลวนี่ ดูเข้า พลังบำเพ็ญเพียรไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด” หลิวหลีตั้งใจมองปิงเซียวและเหลยรุ่ยด้วยความไม่พอใจ

“ท่านน้าหลิวหลี พวกเราไม่ได้แอบอู้นะ ที่นี่ไม่ใช่หอกาลเวลา พัฒนาการย่อมไม่รวดเร็วเกินไปอยู่แล้ว” ปิงเซียวอธิบาย

หลิวหลีปล่อยมือและตรวจชีพจรของเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ย

“จิ๊ๆ อาเลี่ย ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่ามีลูกง่ายแต่เลี้ยงยากคืออะไร ดูสิ เจ้ากับอิงเสวี่ยหัวเสียจนเส้นเลือดตันไปแล้ว ช่วงนี้ไม่ค่อยได้บำเพ็ญเพียรเลยสินะ” หลิวหลีพูดพลางปล่อยมือ เห็นได้ชัดว่าเด็กทั้งสองดื้อซนกันขนาดไหน พ่อแม่ของพวกเขาเป็นราชาเซียนแล้วยังโกรธเกรี้ยวจนเส้นเลือดอุดตัน ช่างทรงพลังจริงๆ

“นั่นสิ เฮ้อ เด็กทั้งสองคนซนจนไม่ไหว เมื่อครู่บรรพชนเฟิ่งซานมาพบข้า แม้จะไม่พูดอะไร แต่เคราสีดำส่วนหนึ่งสีขาวส่วนหนึ่งนั่น ย่อมตั้งใจให้ข้าเห็น เฮ้อ แม้ว่าข้าจะเย็นชาต่อเผ่าพันธุ์ ครั้งสองครั้งก็สามารถมองข้ามไปได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะไม่รู้สึกผิดก็คงยาก” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างจนปัญญา

“พวกเจ้าทั้งสองคน พูดความจริงมา ไม่อนุญาตให้พูดแค่ครึ่งเดียว พวกเจ้าก็เห็นสภาพพ่อแม่เจ้าแล้ว” หลิวหลีพูดพลางมองเด็กทั้งสองคน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกข้าไม่ได้เป็นคนเผาเคราของบรรพบุรุษเฟิ่งซานจริงๆ พวกข้าแค่ไปขอให้บรรพบุรุษเฟิ่งซานสอนมนต์อย่างหนึ่งให้ พอตั้งคำถาม บรรพบุรุษก็อยากทดลองให้ดูแล้วก็เผาตัวเอง” ปิงเซียวอธิบาย

“ทดลองหรือ?” เอ๋าเลี่ยจับประเด็นสำคัญได้

“อืม พวกข้าเจอน้ำมันสีดำเจอก็เกิดความสงสัยจึงถามบรรพชน ผลลัพธ์คือบรรพบุรุษจุดไฟขึ้นเอง ใครจะไปรู้ว่าจะไหม้เร็วขนาดนั้น” เหลยรุ่ยพูด

น้ำมันปิโตรเลียม หลิวหลีมั่นใจว่าเป็นน้ำมันปิโตรเลียม ทว่าไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากนักในโลกเซียน แต่ยังพอมีประโยชน์ในโลกมนุษย์อยู่บ้าง

“เรียบร้อย เรื่องก็กระจ่างแล้ว อาเลี่ย เจ้ากับอิงเสวี่ยควรจะเชื่อใจลูกของตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะดื้อซน แต่ก็ไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่มันเกินไป” หลิวหลีพูดกับสองสามีภรรยา

“ส่วนพวกเจ้าทั้งสองคน พวกเขาเป็นพ่อแม่ของพวกเจ้า ห้ามบอกเพียงครึ่งๆกลางๆ จิตที่สื่อสารกันได้ของพวกเจ้ามีไว้ใช้ต่อกรกับคนนอก ไม่ใช่ให้เอามาใช้กับพ่อแม่ตัวเอง เข้าใจไหม” หลิวหลีพูดพลางลูบศีรษะของเด็กทั้งสอง

“ขอรับ ปิงเซียว(เหลยรุ่ย)เข้าใจแล้ว” เด็กทั้งสองเข้าใจในความผิดของตนเองเช่นกัน

“พวกข้าก็ผิด เป็นพ่อแม่ที่ดีจจริงๆ” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจแล้วพูด

“เอาเถอะ มือใหม่กันทั้งนั้น ค่อยๆปรับตัว แล้วจะไปหาอามู่มู่กับลูกในท้องของนางที่วังนภาพฤกษากับข้าไหม” หลิวหลีเอ่ยชวน

“ได้สิ ได้ยินมาตั้งนานว่าท่านอามู่มู่มีน้องแล้ว แต่ท่านอาจื่อฉีเข้าฌาน ไม่รู้ว่าจะออกจากฌานแล้วหรือยัง” ปิงเซียวพูดอย่างชอบใจ ในที่สุดก็จะได้ออกจากดินแดนอสูรเทพแล้ว

“ดีเหมือนกัน พาเด็กสองคนนี้ออกไปเที่ยวบ้าง พวกข้าจะได้ผ่อนคลายเหมือนกัน” เอ๋าเลี่ยรีบเห็นด้วยทันที ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่อยากอยู่ที่ดินแดนอสูรเทพอยู่แล้ว

“ถ้าเช่นนั้น ก็เอาตามนี้เลยแล้วกัน” หลิวหลีสรุปเด็ดขาด