ตอนที่ 393 แตนผีต่อยทะลุวิญญาณ

พันธกานต์ปราณอัคคี

‘วายุเอ๋ยวายุโบกเย็นชา สายธาราอันหนาวสั่น ถึงกาลผู้กล้าจากไปพลัน ดวงชีวันลาลับไม่กลับเอย’ 

 

 

บรรยากาศนิ่งเงียบและกดดันเช่นนี้คงอยู่ได้ไม่นาน ถังมู่เฉินก็พุ่งตัวออกมาจากกลางหมอกหนาที่แทบจะจับตัวแข็ง  

 

 

“รังแตน รีบหนีเร็ว!” ถังมู่เฉินหน้าตาเศร้าโศก วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ข้างหลังมีแตนตัวเท่านกขมิ้นไล่ตามมา  

 

 

ทุกคนยังคงมีสีหน้าเศร้าซึมและเสียใจแต่ร่างกายกลับหมุนตัววิ่งหนีตามสัญชาตญาณ 

 

 

ในชั่วขณะที่ทุกคนวิ่งเอาตัวรอดนั้นจู่ๆ ฝูงแตนด้านหลังก็หายไป จากนั้นทุกคนก็ต้องพบว่าฝูงแตนนั้นปรากฎขึ้นกลางอากาศตรงหน้าทุกคน ทุกคนต้องหยุดกะทันหัน 

 

 

“แตนผี!” สีหน้ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนไป ในหัวมีบทความหนึ่งที่เคยอ่านมาก่อนปรากฏขึ้นมา  

 

 

‘พลังชีวิตอ่อน ไอความตายล่อง เสือสิงห์กระทิงแรดปรากฏ แตนผีกำเนิด แตนผีสีดุจนิล ร่างดุจนก ถนัดตามรอยย้ายในเสี้ยววินาที ดูดพลังชีวิตไร้รูปร่าง เหล็กในต่อยทะลุวิญญาณ…’ 

 

 

 “ทุกคนห้ามให้แตนผีอยู่ใกล้ร่างกายในระยะสามนิ้วเด็ดขาด…” 

 

 

มั่วชิงเฉินยังไม่ทันเอ่ยเตือนจบแตนผีฝูงนั้นที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนจู่ๆ ก็สลายตัวห่างออกไปกลายเป็นลำแสงสีดำเต็มท้องฟ้าพุ่งเข้าหาทุกคน  

 

 

ธนูเขียวซ่อนเร้นอยู่ในมือ มือเรียวง้างสายธนูโดยฉับพลัน แสงวิญญาณหลายสายนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นศรคมพุ่งออกไป แค่กลับทะลุผ่านแตนผีเหล่านั้นอย่างไร้ผลกระทบ 

 

 

หมอกดำบนตัวแตนผีเหล่านั้นเพียงแต่สลายไป แล้วกลับมารวมตัวกันเหมือนเดิม พุ่งตรงมายังมั่วชิงเฉิน 

 

 

ในเสี้ยววินาทีที่โชคมาสมองปราดเปรื่อง มั่วชิงเฉินตะคอกว่า “แตนผีไม่ได้เป็นรูปร่าง สหายเต๋าทุกท่านโปรดระวัง…” 

 

 

คำพูดมากกว่านั้นนางยังไม่ทันได้พูดเพราะแตนผีที่โกรธแค้น 

 

 

คนที่เหลือเมื่อได้ยินคำเตือนของมั่วชิงเฉินก็รีบเปลี่ยนวิธีโจมตี ต่อสู้กับแตนผี 

 

 

ของที่ไม่ได้เป็นรูปร่างเช่นนี้ใช้ของวิเศษทั่วไปยากที่จะรับมือ มั่วชิงเฉินไม่ได้ใช้กริชฟันปลา แต่ใช้มือทั้งสองข้างขยับไปมาอย่างรวดเร็ว เปลวน้ำแข็งเหมันต์รวมตัวกันเป็นแหไฟสีฟ้าอ่อนปากหนึ่ง ข้อมือเหวี่ยงออกไปพุ่งตรงไปครอบฝูงแตนผีเหล่านั้น 

 

 

เปลวไฟสีฟ้าดังสนั่นแตกออกมาเป็นประกายไฟหลายระลอก แตนผีเหล่านั้นบินวนไปมากลางแหเพลิงเหมือนแมลงวัน เมื่อสัมผัสโดนก็จะติดแน่น เปลวไฟอันเยือกเย็นเผาไหม้แตนผีจนหมอดไหม้สลายไป  

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบตาขึ้นมองทุกคน  

 

 

“ช่วยด้วยๆ” ถังมู่เฉินกุมหัววิ่งพล่านไปทั่ว แตนผีหลายตัวไล่ตามเขาไป เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณศีรษะและมือมีรอยบวมอยู่ไม่น้อย  

 

 

ได้ยินเสียงร้องโวยวายดังของเขา มองฝีเท้าที่เหมือนจะบิน มั่วชิงเฉินถอนสายตากลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว 

 

 

อีกเก้าคนที่เหลือมีวิธีการต่างกันไป มีทั้งพอรับมือได้ และมีทั้งต้องพยายามยืนหยัดอย่างยากลำบาก  

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูสถานการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น มือทั่งสองข้างพลิกสลับไปมาด้วยความเร็วสูงสุด ทำให้เกิดเศษเงามากมาย แหเพลิงที่ทอขึ้นมาจากเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่ใหญ่กว่าปรากฎขึ้นกลางอากาศ  

 

 

“ไป” มั่วชิงเฉินกระตุกข้อมือแหเพลิงสีฟ้าอ่อนสะท้อนวงแหวนไฟสีฟ้าลอยกลางอากาศ ทุกครั้งที่วงแหวนไปถึงบริเวณใดก็จะลากเอาแตนผีบริเวณนั้นเข้ามาในแห 

 

 

หากมีผู้ชมก็จะพบว่าลำดับการกลืนกินแตนผีของแหเพลิงสีฟ้านั้นเรียงตามระดับความอันตรายของแต่ละคน 

 

 

คนแรกที่ถูกนางช่วยเอาไว้คือผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหอเทียน เขานั้นอาศัยกำปั้นที่ถูกฝึกจนกลายเป็นโลหะต้านทานแตนผี แต่การป้องกันของร่างโลหะแม้จะแข็งแกร่งแต่กลับไม่สามารถทำอะไรฝูงแตนที่ไร้รูปร่างได้ ทุกครั้งที่โจมตีแตนผี แตนผีก็จะกลายเป็นควันดำสลายหายไป ครอบกำปั้นของเขาเอาไว้ตรงกลาง เขาพยายามเหวี่ยงออกไปสุดแรงควันดำเหล่านั้นก็จะกลับมารวมตัวเป็นแตนผีใหม่อีกครั้ง ผ่านไปนานเข้าแตนผีไม่เพียงแต่โดนฆ่า กำปั้นของเขายังเริ่มดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังทางด้านเผยสิบสามเป็นคนที่รู้จักตอนอยู่น่านน้ำโกลาหล เขาได้รับไฟโลกันต์เก้าชั้นในเจดีย์หลิงหลงจากตอนที่อยู่ในยี่สิบแปดค่ายกล ในตอนนี้แม้จะไม่ถึงขั้นที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เหมือนมั่วชิงเฉินแต่การป้องกันตัวเองก็ไม่ใช่ปัญหา 

 

 

วิชาไฟกำหนดของมั่วชิงเฉินรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แหเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก 

 

 

แต่ยังไม่ทันที่แหเพลิงจะสลายหายไปหมด มือทั้งสองข้างของนางก็ขยับพลิกไปมาติดต่อกันรวมตัวกันเป็นแหเพลิงปากใหม่อีกครั้ง 

 

 

แหเพลิงสีฟ้าอ่อนล่องลอยไปมากลางอากาศทั่วทุกบริเวณ เหมือนว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของของแตนผี อ้าแหกว้างกำจัดพวกมันจนสลายหายไป 

 

 

แตนผีเหล่านั้นแม้จะไม่ได้เป็นรูปร่างแต่กลับมีปัญญาวิญญาณขั้นต่ำ พอจะสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจของแหเพลิง มันไม่รอให้แหเพลิงเข้ามาใกล้ก็แตกตัวหนีไปกันก่อน  

 

 

จนถึงท้ายที่สุดทุกคนก็หยุดการกระทำ มองดูแหเพลิงสีฟ้าอ่อนไล่จับแตนผีด้วยความดุนอยู่นิ่งๆ 

 

 

ไม่นานแตนผีเหล่านั้นก็เหลือเพียงสองสามตัวแล้ว พวกมันบินไปยังบริเวณที่หมอกควันแน่นหนาที่สุดไป แหเพลิงไล่ตามไปถึงตรงนั้นจู่ๆ มั่วชิงเฉินก็กระตุกมือแหเพลิงกลับเข้ามาในมือกลายเป็นเปลวน้ำแข็งเหมันต์ซึมเข้าไปในร่างกาย 

 

 

มือทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินประกายแสงสีฟ้า จากนั้นก็กลับมาเป็นสภาพขาวดุจหยกเช่นเดิม 

 

 

“แม่นางมั่ว ขอบพระคุณที่เจ้าช่วยเหลือ” เหอเทียนเดินมาเบื้องหน้ามั่วชิงเฉิน ประสานมือเอ่ยขอบคุณ 

 

 

มั่วชิงเฉินเสียแรงไปค่อนข้างเยอะ สีหน้าแลดูซีดขาวเล็กน้อย ยิ้มให้เขา “สหายเต๋าเหอไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ในตอนนี้ควรต้องระวังดูแลซึ่งกันอยู่แล้ว” 

 

 

เหอเทียนประสานมืออีกครั้ง “บุญคุณใหญ่หลวงเอ่ยขอบคุณไม่เพียงพอ ตัวข้าสกุลเหอจะจดจำเอาไว้ในใจ” 

 

 

ทุกคนล้อมเข้ามา 

 

 

เฉิงหรูยวนมองมั่วชิงเฉินที่บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ ในดวงตาประกายความตกใจเอาไว้ คนผู้นี้ที่ดูทรวดทรงเอวบาง ใบหน้าเหมือนหญิงสาวอายุสิบหกปีแท้จริงแล้วยังมีฝีมือที่ทำให้คนตื่นตะลึงที่ยังไม่แสดงออกมาอีกมากเพียงใด 

 

 

แหเพลิงที่นางเพิ่งรวมตัวไปนั้นเกรงว่าคงจะไม่ใช่คาถาธาตุไม้ธรรมดาทั่วไป แม้ในเซิงโจวจะมีผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋าไม่มากนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ แต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีคาถาธาตุไม้ชนิดไหนที่มีพลังอำนาจเช่นนี้ 

 

 

เผยสิบสามมองอาการตื่นตะลึงของเฉิงหรูยวนอยู่เงียบๆ ถอนหายใจอีกครั้งกับความโชคดีของเขา หากว่าตนเองบังเอิญพบแม่นางมั่วก่อน เช่นนั้นตอนนี้นางก็คงจะอยู่กลุ่มตนเองกระมัง 

 

 

“แม่นางมั่ว เจ้ารู้จักแตนผีหรือ” ผมเผยสิบสามยุ่งเหยิง แต่การพูดยังคงนุ่มนวลกลมกล่อม จับกุมจิตใจคน 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแล้วพูดว่า “เคยเห็นในแผ่นหยกฉบับหนึ่งมาก่อน แต่เพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น หากว่าไม่ได้บังเอิญพบกลางเขตเดนตายนี้ก็คิดว่าคงคิดไม่ออก” 

 

 

ในอดีตเพื่อเรื่องของท่านปู่ นางเคยสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรผีและโลกแห่งผีอย่างบ้าคลั่งถึงได้บังเอิญรู้ว่าแตนผีคือสิ่งใด 

 

 

สายตาเหลือบไปเห็นกำปั้นทั้งสองข้างของเหอเทียน มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วน้อยๆ “สหายเต๋าเหอ มือของเจ้ากลายเป็นสีดำแล้ว หมายความว่าพิษของแตนผีได้เริ่มซึมเข้าไปในร่างกาย หากไม่รีบจัดการเกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต” 

 

 

“นี่…” มองมือทั้งสองข้างที่เริ่มเป็นสีคล้ำ เหอเทียนพูดพึมพำ “ไม่เห็นรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปเลยนี่” 

 

 

พูดจบก็หันไปทางถังมู่เฉิน “สหายเต๋าถัง ช่วยดูให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

ในความคิดของเขาถังมู่เฉินสามารถคลายไอแห่งความตายได้ เช่นนั้นพิษของแตนผีก็น่าจะไม่ใช่ปัญหา 

 

 

ถังมู่เฉินที่มีรอยปูดบนศีรษะมองไปทางมั่วชิงเฉินด้วยสายตากล่าวโทษ นิ้ววางไปบนข้อมือของเหอเทียน 

 

 

“สหายเต๋าถัง เป็นเช่นไรบ้าง” ทุกคนเห็นถังมู่เฉินขมวดคิ้ว รีบตอบในทันใด 

 

 

ถังมู่เฉินชักมือกลับ “ไม่ได้ พิษแตนนี้ไม่ได้เป็นไอแห่งความตายบริสุทธิ์ ข้าไม่สามารถคลายได้ สหายเต๋าเหอ ข้าว่าเจ้าทำได้เพียงสละตัดแขนแล้ว” 

 

 

เหอเทียนสีหน้าซีดเผือด มองมือทั้งสองข้างของตนนิ่ง 

 

 

หากว่าเป็นด้านนอกก็แล้วไป มือทั้งสองข้างขาดไปก็ยังสามารถใช้โอสถเกิดผลให้ยาวออกมาใหม่ได้ แต่อยู่ ณ ที่แห่งนี้หากว่าขาดมือทั้งสองไปสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังแล้วถือว่าเป็นพิการไปแล้วครึ่งหนึ่ง! 

 

 

“สหายเต๋าเหอ ล่าช้าไม่ได้แล้ว!” เฉิงหรูยวนเป็นคนจิตใจเด็ดเดี่ยวแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นว่าเหอเทียนลังเลก็รีบตะโกนออกมา 

 

 

ถังมู่เฉินถอนหายใจในฉับพลัน “สายไปแล้ว” 

 

 

“สหายเต๋าถังท่านหมายความว่าเช่นไร!” เหอเทียนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็เห็นท่าทีจากบนใบหน้าของทุกคน ตื่นตระหนกอย่างมาก! 

 

 

เหอเทียนก้มหน้าตามสัญชาตญาณ เห็นว่าเสื้อผ้าตรงหน้าอกไม่เห็นนานแล้ว ปรากฏให้เห็นเป็นโครงกระดูกสีขาวที่กรอปกันเป็นแผ่นอก ไอดำหลายกลุ่มวนรอบกระดูกขาว ค่อยๆ ลอยขึ้นด้านบน 

 

 

เขาไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว แต่เมื่อยกมือที่กลายเป็นโครงกระดูกไปสัมผัสใบหน้าของตนเอง นิ้วมือกลับจมลึกเข้าไป ตรงไปสัมผัสกับฟันโดยตรง 

 

 

เสียงดังแตกสนั่นเหอเทียนที่กลายเป็นกระดูกหงายหน้าล้มลงไป ความคิดสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหัวสมองที่แตกกระจัดกระจาย “เหตุใดถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด” 

 

 

ดวงตาที่กลายเป็นหลุมดำของเขาเหลือบมองไปยังร่างกายที่สั่นน้อยๆ ของแม่นางจอมพิษ จู่ๆ ก็แยกยิ้ม “แม่นางนี่ นมช่างใหญ่เสียจริง…” 

 

 

โครงกระดูกองหนึ่งหล่นลงบนพื้น ทุกคนรู้สึกเหมือนหัวใจตกลงไปในธารน้ำแข็ง ความหนาวเหน็บกัดกร่อนเข้ากระดูก ผ่านไปนานถึงได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่นางจอมพิษ 

 

 

เสียงกรีดร้องนี้ทำให้ทุกคนได้สติกลับมา ยิ่งรู้สึกได้ถึงไอแห่งความตายที่ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เผยสิบสามหันไปทางถังมู่เฉิน “สหายเต๋าถัง เจ้าเข้าไปแล้วเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ ตรงนี้พวกเราไม่สามารถอยู่ได้นานแล้ว” 

 

 

ถังมู่เฉินจริงจังขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าพิษของแตนผีจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ ก่อนพูดออกมาอย่างไม่ลังเล “หลังจากข้าเข้าไปแล้วภายในนั้นมีพื้นที่โล่งขนาดเล็ก ตรงกลางมีบ่ออยู่บ่อหนึ่ง ข้าเอาศีรษะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็มีแตนผีจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาข้าถึงได้รีบวิ่งหนีออกมา” 

 

 

เฉิงหรูยวนสะบัดแขนเสื้อนำเอากระดูกบนพื้นเก็บเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ เอ่ยพูดว่า “ข้าว่าทางออกจากเขตเดนตายนี้ไม่แน่ว่าเป็นบ่อที่สหายเต๋าถังพบเห็น สหายเต๋าทุกท่านว่าอย่างไรเล่า” 

 

 

ทุกคนครุ่นคิด ล้วนพากันพยักหน้า 

 

 

พวกเขาอยู่ในเขตเดนตายมานานเช่นนี้ นอกจากหมอกหนาที่ไม่มีจุดสิ้นสุดและอสูรประหลาดที่น้ำลายไหลเตรียมพร้อมออกมาโจมตีทุกคนได้ทุกเมื่อท่ามกลางหมอกควัน มีเพียงที่แห่งนี้ที่พบแตนผีและบ่อ สามารถประเมินได้จากตรงนี้ว่าสถานที่ทที่อันตรายที่สุดบางทีอาจจะเป็นทางรอดเดียวที่สวรรค์ทิ้งเอาไว้ให้ 

 

 

“ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ยิ่งช้าไปกว่านี้ยิ่งเกิดผลเสียต่อพวกเรา” คิ้วเรียวของเผยสิบสามขมวดมุ่น เดินเข้าไปใกล้ผนังควันอีกก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว 

 

 

จู่ๆ ถังมู่เฉินก็พูดว่า “สหายเต๋าเผย แม้ว่าท่านจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ลงไป จำนวนแตนผีในนั้นมากจนไม่อาจหลบหนีได้” 

 

 

เมื่อครู่นี้เขาวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง แต่กลับดูสถานการณ์ของทุกคนเอาไว้ทั้งหมด ผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ทั้งหลายไม่ได้ปะทะกับแตนผีโดยตรง แต่อาศัยท่าร่างขยับหลบหนีไม่หยุด ยืนหยัดจนมั่วชิงเฉินมาช่วยเหลือ 

 

 

“ข้าไปก็แล้วกัน” มั่วชิงเฉินเดินออกมา 

 

 

ภายในเขตเดนตายนางพบว่าร่างกายของตนเองค่อยๆ อ่อนแรงลง เมื่อต่อสู้แล้วยิ่งรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเดิม หากรอต่อไปก็ถือเป็นการนั่งรอความตาย ผ่านไปอีกไม่กี่วันเกรงว่าแม้แต่กำลังจะยกมือก็คงไม่มี 

 

 

ในเมื่อแหเพลิงที่เกิดจากเปลวน้ำแข็งเหมันต์รวมตัวกันสามารถควบคุมแตนผีได้ เช่นนั้นนางก็จะต่อสู้จนถึงที่สุด ต่อสู้จนกว่าจะมีทางรอด 

 

 

ในขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังก้าวเข้าไปในกำแพงหมอก ข้างหลังมีสองเสียงดังขึ้นมา “รอก่อน ข้าไปด้วย”