ตอนที่ 394 แขกรับเชิญใต้บ่อ

พันธกานต์ปราณอัคคี

เสียงของถังมู่เฉินไม่ถือว่าทำให้มั่วชิงเฉินประหลาดใจเท่าไรนัก แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นเสิ่นฉงเหวิน 

 

 

มั่วชิงเฉินหันกลับมา มองไปยังเสิ่นฉงเหวินด้วยความประหลาดใจ 

 

 

เสิ่นฉงเหวินเห็นสายตาของมั่วชิงเฉินแล้วต้องขมวดคิ้วมุ่น พูดอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดหรือ อนุญาตให้แต่เจ้าลงไป ข้าลงไม่ได้เช่นนั้นหรือ” 

 

 

ผู้ชายใจแคบคิดเล็กคิดน้อยผู้นี้! มั่วชิงเฉินลอบด่าในใจ 

 

 

เฉิงหรูยวนกระตุกริมฝีปากด้วยความจนปัญญา น้องข้าเอ๋ยน้องข้า นิสัยเสียของเจ้าเช่นนี้ควรจะแก้ไขได้แล้ว ทั้งๆ ที่หวังดีแต่กลับพูดประโยคที่น่าโมโห ทำไปทำไมเล่า 

 

 

“แม่นางมั่ว ฝีมือด้านการยุทธ์ของฉงเหวินเลิศล้ำมากนัก น่าจะช่วยเหลือท่านได้” เฉิงหรูยวนเอ่ยอธิบาย 

 

 

การค้นหาทางรอดไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว มีคนยินยอมพร้อมแบกรับมั่วชิงเฉินย่อมไม่อาจแข็งขืนพูดปฏิเสธ เพียงแค่ยิ้มให้เฉิงหรูยวนจากนั้นมองไปทางถังมู่เฉิน “ท่านพี่ ท่านจะเข้าไปพร้อมกันจริงหรือ” 

 

 

ถังมู่เฉินพูดด้วยความไม่พอใจ “แน่นอน เจ้าไม่รู้ว่าภายในนั้นมีแตนผีมากเท่าใด แม้เจ้าจะมีแหเพลิงประหลาดนั่นให้ใช้ แต่ก็ยากจะรับประกันว่าไม่มีปลาที่หลุดจากข้อง หากว่ากัดเจ้าไปสักครั้งคงแย่เป็นแน่ ถึงเวลานั้นให้พี่ชายนำไปข้างหน้า จัดการกันแตนผีส่วนใหญ่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าตามข้ามาข้างหลังฉวยโอกาสจัดการกับแตนผีเหล่านั้น” 

 

 

ที่ถังมู่เฉินพูดก็แลดูมีเหตุผลอยู่บางจริง มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ท่านพี่พูดถูก แต่ท่านจะต้องระวังเสียหน่อย รอยปูดบนศีรษะมีมากพอแล้ว” 

 

 

ถังมู่เฉินพูดด้วยความโมโห “นั่นเพราะไม่ทันได้ระวัง ถือเป็นอุบัติเหตุทั้งสิ้น!” พูดจบก็เดินก้าวแซงขึ้นหน้ามั่วชิงเฉิน ตรงไปยังผนังหมอก 

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นเช่นนั้นจึงรีบตามไป 

 

 

เสิ่นฉงเหวินหน้าดำคล้ำเดินเร่งตามไป 

 

 

“พี่ถัง แม่นางมั่ว ฉงเหวิน พวกเจ้าระวังด้วย” เฉิงหรูยวนเอ่ยเตือนตามหลัง 

 

 

ทั้งสามคนไม่มีใครหันกลับมา ทั้งหมดค่อยๆ หายลับเข้าไปในกลุ่มหมอกควันท่ามกลางสายตาของทุกคน 

 

 

ระหว่างที่ทะลุผ่านหมอกไปนั้นมีความรู้สึกเหมือนของเหลวที่กึ่งแข็งตัวกำลังเคลื่อนไหว การกระทำเหมือนถูกอะไรกีดขวาง ชะงักไปครู่หนึ่ง 

 

 

แต่ความรู้สึกเช่นนี้เกิดเพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าร่างกายเบาลงอย่างเห็นได้ชัด กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม 

 

 

และในเวลานี้นี่เองถังมู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้าจู่ๆ ก็ตะโกนออกมา พัดในมือลอยออกไป 

 

 

พัดด้ามนั้นขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศ กันแตนผีที่พุ่งเข้ามาอย่างมากมายเอาไว้ด้านนอก 

 

 

ในมือของมั่วชิงเฉินมีแหเพลิงสีฟ้าที่รวมตัวกันรอพุ่งออกไป เมื่อเห็นว่าแตนผีบินอ้อมขอบพัดเข้ามาก็รีบสะบัดข้อมือ แหเพลิงสีฟ้าอ่อนลอยออกไป คลุมแตนผีที่บินนำเอาไว้ 

 

 

แสงประกายบนพัดกลางอากาศเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง แตนผีมากมายใช้เหล็กไนทิ่มหน้าพัด พัดสั่นสะเทือนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แสงที่มีลักษณะเป็นวงน้ำกระจายออกมาผลักแตนผีให้ออกไปไกล 

 

 

ไม่นานก็มีแตนผีอีกฝูงหนึ่งบินออกมาจากบ่อแห้ง ขยับปีกของมันดังหึ่งบินเข้ามา 

 

 

นิ้วมือของถังมู่เฉินขยับไปมายิงเคล็ดวิญญาณกระแสหนึ่งออกมา พัดสั่นไปเล็กน้อย เสือสีดำตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากด้านบน 

 

 

เสือสีดำใช้กำลังขาหลังส่งตัวจากกลางอาหาศพุ่งมาข้างหน้าแตนผีอย่างดุดัน ปากอ้ากว้างเสียงร้องดังกลืนแตนผีเข้าไปในท้อง จากนั้นก็เรอเสียงดังบินกลับไปในพัด กลายเป็นลายที่อยู่บนภาพวาดใหม่อีกครั้ง 

 

 

แหเพลิงสีฟ้าอ่อนที่มั่วชิงเฉินปล่อยไปนั้นลอยหมุนวนอยู่กลางอากาศจับแตนผีที่บินลอยไปทั่วเข้ามาในแห จากนั้นจุดประกายแสงวิญญาณไปทางปากแห ปากแหประกายสะท้อนเปลวไฟสีฟ้าแตนผีที่ลอยวุ่นไปมาเหมือนแมลงวันไร้หัวกลายเป็นควันดำสลายหายไปกับสายลมในชั่วพริบตา 

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาทั้งสองข้างจ้องมองนิ้วมือเปล่าเปลือยดุจหยกอ่อนทั้งสิบที่ขยับไปมาประหนึ่งผีเสื้อหยกโบยบิน แล้วยังแฝงด้วยแสงเงาสีหยก แหเพลิงสีฟ้าอ่อนปากหนึ่งค่อยๆ ถักขึ้นมา 

 

 

แหเพลิงแสนละเอียดและแข็งแรงที่เกิดจากการรวมตัวของเปลวน้ำแข็งเหมันต์ ไม่ว่าจะเป็นกระแสจิต หรือว่าพลังวิญญาณย่อมต้องใช้แรงควบคุมอย่างแรงสูง หากมีก้าวใดทำผิดไปก็จะเรือล่มเมื่อจอด 

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังถ่ายทอดกระแสจิตควบคุมวิชากำหนดไฟ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ถังมู่เฉินจะกระโดดมาข้างหลัง แล้วย่อมต้องนำกระแสลมกระแสหนึ่งพัดเข้ามาในแห แหเพลิงเป็นสะท้อนประกายไฟฟ้ากลายเป็นแสงไฟแล้วสลายหายไป 

 

 

“แตนผีตัวใหญ่เลยทีเดียว ทำให้พัดที่ใช้ป้องกันของข้าทะลุ!” ถังมู่เฉินพูดเสียงหอบ 

 

 

พูดไปพลางนิ้วมือขยับเลื่อนไปมาอย่างรวดเร็วไปพลาง ยิงแสงวิญญาณทีละสายเข้าไปบนหน้าพัด หน้าพัดค่อยๆ กลับมารวมตัวกันจนส่องแสงอีกครั้ง 

 

 

แต่เมื่อทำเช่นนี้กลับมีแตนผีจำนวนไม่น้อยฉวยโอกาสหนีมาด้านหลัง 

 

 

มั่วชิงเฉินเสมือนมองไม่เห็นร่างกายไม่ขยับแม้แต่น้อย มือทั้งสองข้างรวบรวมแหเพลิงขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว 

 

 

ถังมู่เฉินรู้ว่าคนข้างหลังตนทั้งสองไม่ได้เหมือนตนเอง หากถูกแตนผีต่อยไม่แน่ว่าอาจจะก้าวเข้าสู่ทางเดินแห่งสวรรค์ เขารีบหันกลับมาพุ่งไปข้างหน้า ใช้แผ่นหลังของตนเองรับแตนผี 

 

 

แตนผีตัวหนึ่งในนั้นมีขนาดใหญ่จนหน้ากลัว กำลังแผ่เหล็กไนแหลมคมของมันทิ่มไปยังหลังศีรษะของถังมู่เฉิน 

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นแล้วหวาดกลัวใจสั่นแต่กลับไม่กล้าแยกสมาธิไปช่วยเหลือ พูดตามจริงแล้วนางเองก็แทบจะดูแลตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะมีแตนผีจำนวนไม่น้อยที่ถูกถังมู่เฉินบังเอาไว้หลุดออกมา 

 

 

ในเวลานี้นี่เองมีดบินเล่มหนึ่งพุ่งผ่านอากาศออกมา แทงเข้าไปบนร่างของแตนผียักษ์ที่กำลังจะต่อยหลังศีรษะถังมู่เฉินอย่างรวดเร็วปานดาวตก 

 

 

แตนผีตัวนั้นแตกสลายกลายเป็นกลุ่มควันในทันใด จากนั้นก็กลับเข้ามารวมตัวใหม่ ในตอนนี้เองมีดบินเล่มที่สองก็ลอยมาถึงแทงเข้าไปในตัวแตนผีอีกครั้งจนกลายเป็นไอควัน 

 

 

เพราะเหตุนี้แตนผีรวมตัวและแตกสลาย แตกสลายและรวมตัว ในที่สุดถังมู่เฉินถึงได้ทันหมุนตัวมาใช้กำปั้นต่อยไปบนแตนผีตัวนั้น 

 

 

“อ๋า” เสียงร้องน่าเวทนา ถังมู่เฉินสะบัดกำปั้นอยากร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา 

 

 

ในเวลาเดียวกันนั่นเองแหเพลิงของมั่วชิงเฉินรวมตัวกันสำเร็จ แตนผีกลุ่มนั้นก็เข้ามาใกล้ถึงเบื้องหน้าพอดี 

 

 

“แม่นางมั่ว เหยียบบนมีดบินข้าแล้วโจมตี” จู่ๆ เสิ่นฉงเหวินก็ตะโกนขึ้นมา 

 

 

ไม่รอให้มั่วชิงเฉินตั้งตัว มีดบินเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศในฉับพลัน นางเขย่งปลายเท้าเหยียบขึ้นไป 

 

 

จากนั้นมีดบินใต้เท้าหายไป มีมิดบินเล่มใหม่ปรากฏขึ้นมาในอีกตำแหน่งหนึ่ง ร่างของมั่วชิงเฉินขยับเหยียบขึ้นไปบนมีดบินอีกเล่ม 

 

 

เป็นเช่นนี้ไปตลอดมีดบินปรากฏขึ้นกลางอากาศตามตำแหน่งต่างๆ ไม่หยุด ร่างของมั่วชิงเฉินก็กระโดดย้ายไปตามนั้น หากว่ามีผู้ชมอื่นย่อมต้องเห็นอย่างชัดเจนว่าฝีเท้าแปลกประหลาดของนางที่เหยียบย่ำกลางอากาศนั้นหลบหลีกฝูงแตนผีที่แน่นหนาจนออกเป็นทางเอาชีวิตรอดสายหนึ่ง 

 

 

มั่วชิงเฉินปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างที่ปลายเท้าขยับตามมีดบินไม่หยุดนั้นนางสะบัดมือออกแหเพลิงสีฟ้าไหลออกมา จัดการเก็บกวาดแตนผีตามตำแหน่งที่เปลี่ยนไม่หยุดของนาง 

 

 

อีกด้านหนึ่งถังมู่เฉินโมโหโกรธา มือทั้งสองข้างกุมแตนผีตัวยักษ์เอาไว้ ไม่สนใจกระบวนท่าวิธีการอีกต่อไป พุ่งเข้าจัดการอย่างเ**้ยมโหดไปเลยตรงๆ 

 

 

เขาต่อยไปกว่าร้อยหมัด น่าสงสารแตนผีตัวนั้นที่ถูกอัดจนมึนงงแยกแยะทิศทางไม่ออก เสียงดังปุ้ง สลายกลายเป็นกลุ่มควัน ไม่ปรากฏให้เห็นอีก 

 

 

แต่ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกควันที่ไหลเลื่อน มั่วชิงเฉินและเสิ่นฉงเหวินล้วนทุ่มสมาธิไปที่การต่อสู้ ย่อมไม่มีคนสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ 

 

 

หลังจากที่แตนผีร่างยักษ์สลายไป แตนผีที่เหลือจู่ๆ ก็รวมตัวเป็นกลุ่มเดียว แย่งชิงกันถอยเข้าไปในปากบ่อ 

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นตะลึง นิ้วมือชีออกไปแหเพลิงสีฟ้าไล่ตามแตนผีเหล่านั้น ไม่นานก็รวบพวกมันเอาไว้ได้หมด 

 

 

แตนผีที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้นถูกจัดการไปหมด ได้ยินแต่เพียงเสียงหอบหายใจของทั้งสามคน 

 

 

“ท่านพี่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินยังคงจำเสียงร้องน่าเวทนาของถังมู่เฉินเมื่อครู่นี้ได้ 

 

 

ถังมู่เฉินกำหมัด พูดอย่างลุแก่โทษ “ไม่เป็นอะไรๆ เพียงแต่ไม่ระวังต่อยผิดทางเท่านั้นเอง ต่อยไปโดนเหล็กไนพอดี” 

 

 

มั่วชิงเฉินริมฝีปากสั่น รู้สึกอยากหัวเราะอยู่หน่อยๆ เห็นท่าทางรอยบวมปูดไปทั่วตัวและศีรษะของเขาแล้วก็ไม่อาจทำใจได้ รีบหันไปอีกทางแต่กลับสบเข้ากับสายตาเสิ่นฉงเหวินพอดี 

 

 

เสิ่นฉงเหวินตะลึงไปครู่หนึ่งคิดจะหันหน้าหนีตามสัญชาตญาณแต่กลับหยุดลง พูดออกมาอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก “แม่นางมั่วช่างไว้ใจข้าน้อยเสียจริง” 

 

 

เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ตอนนั้นที่พูดออกไปก็เห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าทำตามอย่างไม่ลังเล 

 

 

มั่วชิงเฉินมองท่าทีอึดอัดของเสิ่นฉงเหวิน อยากจะบอกเขาว่าหากนางเลือกที่จะไม่เชื่อฟังคำของเขา เช่นนั้นก็ได้แค่เชื่อว่าที่เขาตามเข้ามาก็เพื่อที่จะดูเรื่องสนุกและวิ่งเข้าหาความตาย 

 

 

เห็นชัดว่าไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้ใดที่น่าเบื่อเช่นนี้ เหตุผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนเด็กผู้นี้จะไม่เข้าใจก็แล้วแต่ 

 

 

จนถึงตอนนี้ในใจของนางมองเสิ่นฉงเหวินเป็นเด็กที่ชอบสร้างเรื่องวุ่นวายตั้งแง่ต่อผู้อื่นไปแล้ว 

 

 

หากเสิ่นฉงเหวินรู้เข้า เกรงว่าคงจะเต้นเป็นเจ้าเข้าอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่มั่วชิงเฉินไม่ได้หาเรื่องแต่กลับหลับตาตั้งสมาธิ รีบฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว 

 

 

ทั้งสามคนจัดการกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ถังมู่เฉินที่หน้าบวมเหมือนสุกรนำหน้าไปก่อน มั่วชิงเฉินและเสิ่นฉงเหวินตามไป เดินไปยังปากบ่อ 

 

 

ปากบ่อไม่ได้ใหญ่เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปดูเห็นแค่เพียงควันดำที่ลอยล่องไปมา ถังมู่เฉินโน้มตัวลงไปดูอยู่นานก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร 

 

 

“ข้าเอง” มั่วชิงเฉินแสดงท่าทีให้ถังมู่เฉินหลบไป ในมือมีตะกร้าไผ่ปรากฏขึ้นมาใบหนึ่ง ภายในมีผลไม้สีดำสิบกว่าผลขนาดเท่าผลฝรั่งบรรจุอยู่ 

 

 

“น้องสาว เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร” 

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ โยนระเบิดสะท้านฟ้าลูกหนึ่งลงไป เสียงระเบิดดังก้องขึ้นมา เพราะว่าดังขึ้นจากภายในบ่อ ฟังแล้วดูทุ่มต่ำอยู่บ้าง เสียงไม่ได้ดังสนั่นหูเท่าไรนัก 

 

 

หมอกดำและควันขาวลอยขึ้นมาจากในบ่อพร้อมกัน ผสมไปด้วยแตนผีจำนวนหนึ่ง มั่วชิงเฉินที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้วรีบปล่อยแหเพลิงออกมาในทันใดจับแตนผีเหล่านั้นเอาไว้ 

 

 

เห็นว่าหมอกควันเริ่มบางลง มั่วชิงเฉินสะบัดมือทิ้งครั้งนี้ระเบิดสะท้านฟ้าสองลูกถูกโยนลงไป 

 

 

เสียงที่ดังมากกว่าเดิมลอยขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ยังคงเหมือนเมื่อครู่นี้ แตนผีบางส่วนลอยขึ้นมาพร้อมกับกลุ่มควันถูกแหเพลิงที่ครอบอยู่ปากบ่อสกัดเอาไว้ 

 

 

หลังจากนั้นมั่วชิงเฉินก็ไม่ลังเลที่จะโยนระเบิดสะท้านฟ้าลงไปอีกสามลูก การที่โยนลงไปมากขึ้นทุกครั้งไม่รู้ว่าไล่แตนผีที่หลบซ่อนอยู่ได้มากเท่าไร 

 

 

ถังมู่เฉินและเสิ่นฉงเหวินต่างมองกันไปมาด้วยความตื่นตะลึง ใบหน้าค่อยๆ แสดงความเลื่อมใสออกมา 

 

 

ได้ยินเสียงถังมู่เฉินหัวเราะพลางพูดว่า “ใช้ได้เลยนี่น้องสาว ทำเช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าแตนผีเหล่านั้นจะลงมืออีก ตอนนี้น่าจะจัดการกวาดเรียบแล้วกระมัง” 

 

 

มั่วชิงเฉินมองตะกร้าไผ่ในมือ ภายในยังคงมีระเบิดสะท้านฟ้าประมาณสิบกว่าลูก จึงยิ้มและพูดว่า “น่าจะพอประมาณแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยโยนพวกนี้ลงไปให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน” 

 

 

เพิ่งพูดจบตะกร้าไผ่ก็ถูกโยนลงไป 

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่นลอยขึ้นมา กลุ่มควันที่มีกระแสแรงดันลอยคลุ้ง 

 

 

ในเวลานี้นี่เองเสียงโมโหดังลอยขึ้นมา “ใครกัน ขาดศีลธรรมเช่นนี้!” 

 

 

กลุ่มควันลอบคลุ้งสลายไป พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามคนมองหญิงสาวที่บนศีรษะมีรังแตนผียืนตัวสั่นอยู่บนปากบ่อด้วยอาการตาเบิกโตอ้าปากค้าง 

 

 

เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นใบหน้าบวมเหมือนหมูของถังมู่เฉินก็หลุดร้องออกมา “ปีศาจ!” 

 

 

แล้วเท้าลื่นตกกลับลงไปอีกครั้ง