ตอนที่ 395 บนต้นไม้ก็ยากจะสงบ

พันธกานต์ปราณอัคคี

“เอ่อ…” ทั้งสามคนไร้ซึ่งคำพูดไปชั่วขณะ 

 

 

ยังคงเป็นมั่วชิงเฉินที่ได้สติกลับมาก่อน “ท่านพี่ ท่านรีบไปเรียกพวกสหายเต๋าเฉิงมาเถิด พวกเรารีบลงไปในบ่อทันที” 

 

 

“อือ” ถังมู่เฉินรับคำ หมุนตัวมุดออกจากกำแพงหมอก ไม่นานก็พาคณะเฉิงหรูยวนเข้ามา  

 

 

 “แม่นางมั่ว พวกเจ้า…” พวกเฉิงหรูยวนเห็นบ่อที่อยู่ตรงกลาง สายตาหดตัวเพ่งมอง  

 

 

มั่วชิงเฉินพูดออกมาตรงๆ “สหายเต๋าทุกท่าน พวกเรารีบเข้าไปเถิด ข้างล่างมีคน บางทีทางออกอาจจะอยู่ข้างหน้า” 

 

 

ทุกคนได้ยินเช่นนั้นล้วนมีท่าทียินดี เดินสองสามก้าวก็มาถึงขอบปากบ่อ 

 

 

 “สหายเต๋ามั่ว แตนผีเหล่านั้นหายไปหมดแล้วหรือ” แม่นางจอมพิษชะโงกหน้าเข้าไปดูในบ่อ เห็นเพียงหมอกควันที่ลอยอยู่มองข้างล่างไม่ชัด ถามออกมาด้วยความเป็นกังวล  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้ารับประกันเต็มร้อย เพียงพูดว่า “น่าจะหายไปพอประมาณแล้ว ทุกคนเมื่อลงบ่อไปยังต้องระวังกันด้วย อีกทั้งล่างบ่อมีคน จะเป็นศัตรูหรือสหายก็ยังมิอาจทราบได้ ช้ากว่านี้กลัวจะเปลี่ยนไปพวกเรารีบลงไปเถิด” 

 

 

ทุกคนพยักหน้าต่างพากันแสดงกระบวนการป้องกันของตนเองเข้าไปในบ่อตามลำดับ 

 

 

ไอแห่งความตายกลางหมอกควันเหล่านั้นดูดกลืนพลังชีวิตของทุกคน ภายในบ่อที่แคบเล็กนี้ทุกคนรู้สึกหายใจลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อร่างกายค่อยๆ ตกลงไปข้างล่าง หมอกควันรอบกายก้ยิ่งบางลง จนถึงท้ายที่สุดก็ไม่เห็นไปหมอกอีก รอจนปรับตาเข้ากับแสงมืดได้แล้วก็พอจะมองเห็นลวดลายโบราณบนผนังบ่อได้บ้าง 

 

 

พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องร่วงลงปานเพียงใดถึงจะได้สัมผัสกับพื้นผิว ความเร็วที่ร่วงหล่นทำให้เกิดลมพัดขึ้น ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแต่สถานการณ์เช่นนี้ก็เกิดอารมณ์สับสนอย่างมาก มีทั้งตื่นเต้น มีทั้งเป็นกังวล มี และมีทั้งหวาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเหนือศีรษะไปจนถึงใต้เท้าก็มีคนที่รู้สึกเช่นเดียวกัน นั่นช่างเป็นความรู้สึกที่ประหลาดนัก 

 

 

และในอีกเขตพื้นทีหนึ่งสถานการณ์ยิ่งแปลกประหลาดกว่านี้ 

 

 

มีคนกลุ่มหนึ่งเผชิญหน้ากับกำแพงน้ำยิงเคล็ดวิญญาณออกไปหลายสาย กำแพงนั้นฝั่งนั่งแข็งแกร่งขึ้นหลายส่วน อีกฝั่งของกำแพงน้ำเป็นน้ำหลากไหลแรง อีกทั้งยังเป็นสีดำ 

 

 

ฝั่งนี้ของกำแพงกลับเป็นพื้นหญ้าเขียวขจี ลักษณะเหมือนภาพปรากฎการณ์ที่มีมนตร์ขลัง มีต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง สูงจนมองไม่เห็นยอด 

 

 

“คุณชายสยง เกรงว่าจะรับไม่ไหวแล้ว!” ผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งที่สวมใส่ชุดสีเหลืองมองกำแพงน้ำที่เหมือนจะร่วงลงมาด้วยความเป็นกังวล 

 

 

ชายหนุ่มรูปงามผมขาวโพลนสีหน้าซีดขาว หันไปมองผู้นั้นอย่างรวดเร็ว “ทนไม่ไหวก็ต้องทน มิเช่นนั้นก็ได้แต่ตาย!” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็มองไปยังสยงสี่ที่ใช่ใอทั้งสองข้างหยัดสู้กำแพงน้ำ “ซื่อหยวน ข้าช่วยเจ้า” 

 

 

เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าใช้มือทั้งสองข้างทาบทับแผ่นหลังของสยงสี่ เริ่มถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป 

 

 

สยงสี่รู้สึกถึงพลังวิญญาณที่ลุกโหม มือเริ่มมีกำลังขึ้นมาดันกำแพงน้ำไปทางน้ำดำอีกครั้งหนึ่ง ต่อต้านเอาไว้อย่างมั่นคง 

 

 

“เหตุใดเหยียลีว์เยี่ยนถึงยังไม่มา!” ผู้บำเพ็ญชุดเหลืองกัดฟันต้านทาน อดไม่ได้ที่จะกล่าวโ?ษ 

 

 

สยงสี่หันไปมองต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าทีหนึ่ง แล้วหันกลับมา พูดอย่างยากลำบาก “คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ รอไป!” 

 

 

พวกเขาเข้ามาในเขตพื้นที่นี้แต่เดิมเป็นแดนสุขาวดี ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีน้ำหลากมาจากฝั่งตะวันออก พัดเอาร่างเพื่อนร่วมทางของพวกเขาคนหนึ่งกลืนกินเข้าไป เมื่อเพื่อนร่วมเดินทางเพิ่งเข้าไปในสายน้ำก็กลายเป็นเลือดเนื้อที่ละลายรวมกับน้ำในฉับพลัน แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่ทันได้เปล่งออกมา 

 

 

โชคดีที่มู่ซีเหนียนแสดงวิชาลับม่านน้ำพราวประกายออกมากลายเป็นกำแพงน้ำกั้นน้ำหลากเอาไว้อีกด้านหนึ่ง ถึงได้ปกป้องรักษาชีวิตเอาไว้ได้ 

 

 

แต่ม่านน้ำพราวประกายไม่สามารถยืนหยัดได้ตลอด เขาจำต้องใช้พลังมหาศาลในการสนับสนุนถึงได้มั่นคงจนถึงตอนนี้ 

 

 

มู่ซีเหนียนจิตใจเฉลียว เชื่อมั่นว่าสวรรค์ไม่ทอดทิ้งตัดขาด ไม่ว่าจะเป็นเขตพื้นที่ใดย่อมต้องมีทางรอด ทิ้งเส้นทางมีชีวิตต่อกับคน 

 

 

เขาคาดเดาทางออกของทุกคนว่าน่าจะเป็นบนต้นไม้ที่สูงใหญ่เสียดฟ้านั่นถึงได้ให้เหยียลีว์เยี่ยนที่มีร่างกายเบาบางดุขนกนางแอ่น ชำนาญการปีนป่ายขึ้นไปสืบเสาะ 

 

 

ต่อให้บนต้นไม้จะหาทางออกไม่เจอ หากต้นไม้ต้นนี้สูงมากพอก็ไม่ต้องกลัวจมน้ำ นั่นก็ถือเป็นการหลบหนีชั่วคราวได้ ใครจะไปรู้ว่าเหยียลีว์เยี่ยนกลับไปแล้วไปลับไม่กลับมา 

 

 

สิ่งที่พวกเขารอคอยด้วยความทรมานคือการกลับมาของเหยียลีว์เยี่ยน 

 

 

ในใจของสยงสี่พลันเกิดความคิดเหล่านี้ขึ้นมาจู่ๆ ก็ได้ยินดังพลั่ก หญิงสาวผู้หนึ่งตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ร้องเสียงดังน่าสงสาร 

 

 

“เหยียลีว์เยี่ยน เป็นอย่างไรบ้าง” การตกลงมาอย่างไร้ที่มาที่ไปของเหยียลีว์เยี่ยนทำให้คนที่เหลืออยู่ใจหนาวเหน็บ สยงสี่กัดฟันถามขึ้น 

 

 

เหยียลีว์เยี่ยนใบหน้าซีดเผือด อ้าปากอยากจะพูดแต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงรสชาติคาวเค็มพุ่งขึ้นมาบนลำคอ พออ้าปากก็สำรอกออกมาเป็นเลือด 

 

 

“แค่กๆ” เหยียลีว์เยี่ยนสำรอกเลือก ไออยู่สองสามครั้งแล้วถึงพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด “คุณชายสยง ต้นไม้ต้นนี้สูงกว่าร้อยจั้ง เมื่อไปถึงยอดของต้นไม้พบกับน้ำวนสีดำ ข้าลองมุดเข้าไปใครจจะไปคิดว่าเป็นพื้นที่ปิดสนิทแคบเล็ก รอบด้านเป็นกำแพงหิน อย่างมากสามารถรองรับสองคนให้เดินผ่านไปเท่านั้น ข้าปีนขึ้นไปข้างบนตามกำแพงหินแล้วเริ่มรู้สึกว่ามีหมอกควัน นั่นยังไม่เท่าไร จู่ๆ ก็มีเสียงดังกังวานลอยเข้ามา กำแพงหินสั่นไหวมือข้าลื่นตกลงมากว่าสิบจั้ง รอจนจับกำแพงหินตั้งตัวได้แล้วก็ปีนกลับขึ้นไปตำแหน่งเดิมอีกครั้ง กลายเป็นว่าเสียงดังสนั่นกว่าเดิมลอยขึ้นมา ข้าตกลงมาอีกครั้ง…แค่กๆ…” 

 

 

“จากนั้นเล่า” สยงสี่ออกแรงที่มือดันกำแพงน้ำเอาไว้ กัดฟันพูดขึ้น 

 

 

บนใบหน้าเหยียลีว์เยี่ยนแสดงท่าทีแค้นเคือง “จากนั้นข้าก็ปีนกลับขึ้นไปอีกกว่าสิบครั้ง ทุกครั้งถูกกระแทกตกลงมา โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายเกือบจะตกลงมาตาย แล้วยังมีของหล่นลงมาโดนหัว ตอนนั้นข้าคิดจะหลบก็มิอาจทำได้ กัดฟันปีนต่อไป แต่แล้ว แต่แล้ว…” 

 

 

“แต่แล้วอะไร เจ้าพูดซิ!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองร้องถามออกมาด้วยความร้อนใจจ 

 

 

ดวงตากลมโตเป็นประกายของเหยียลีว์เยี่ยนพราวระยับ เห็นชัดว่ายังตกใจไม่หาย “กลับพบปีศาจร่างมนุษย์หัวสุกรตัวหนึ่ง ข้าตกใจเท้าลื่นแล้วตกลงมาอีกครั้ง…” 

 

 

“ข้างบนมีผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจอย่างนั้นหรือ” ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก 

 

 

เหยียลีว์เยี่ยนหอบหายใจหนัก พยักหน้าอย่างแรง “อืม ใช่แล้ว ไปถึงบนนั้นข้าพบว่าแท้จริงแล้วสถานที่ที่ข้าปีนอยู่ตลอดคือบ่อน้ำบ่อหนึ่ง” 

 

 

ในตอนนี้ม่านน้ำพราวประกายสั่นสะท้าน เริ่มมีรอยแตกออกมาให้เห็น 

 

 

มู่ซีเหนียนที่รูปงามผมขาวโพลนถอนหายใจเสียงเบา “ม่านน้ำพราวประกายเริ่มรับไม่ไหวแล้ว ซื่อหยวน พวกเรารีบปีนต้นไม้เถิด” 

 

 

สยงสี่พยักหน้า “พวกเจ้าขึ้นไปก่อน ต้นไม้ต้นนั้นสูงกว่าร้อยจั้ง น่าจะสามารถหลบน้ำหลากได้” 

 

 

ไม่สยงสี่ยังมีอีกสี่คน มองดูพวกเขาคิดว่าแต่ละคนสามารถปีนต้นไม้ได้ สยงสี่กัดฟันทัดทานให้ม่านน้ำพราวประกายยืนหยัดอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วถึงดึงมือทั้งสองข้างกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสเวลาสั้นเพียงน้อยนิดกระโดดขึ้นบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว 

 

 

เชือกเส้นหนึ่งห้อยลงมาพันข้อมือสยงสี่เอาไว้ ลากเขาขึ้นไปข้างบน 

 

 

สยงสี่รับแรงดึงจากเชือก ขาทั้งสองข้างถีบต้นไม้ทีหนึ่งแล้วพุ่งขึ้นไปข้างบนสูงอย่างมาก ไม่นานก็ไล่ทันทั้งสี่คน 

 

 

ในเวลานี้เองม่านน้ำพราวประกายแตกกระจาย น้ำหลากไหลแรงทะลักเข้ามาอย่างน่าเกรงขาม ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ต้นไม้ใบหญ้าถูกทำลายสิ้น น้ำหลากรุนแรงเหมือนกำลังระบายความไม่พอใจที่ถูกสกัดกั้นเมื่อครู่นี้ 

 

 

น้ำหลากไหลออกมาจากฝั่งตะวันตก ทอดสายตามองออกไปไกลก็ไม่เห็นปลายทาง ไม่รู้ว่าจะกลืนกินเขตพื้นที่นี้ไปหมดสิ้นจนกลายเป็นสายน้ำแห่งหนึ่งหรืออย่างไร 

 

 

ทุกคนมองไปข้างล่างด้วยอาการตื่นตะลึง ในตอนนั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ 

 

 

ในเวลานี้เองจู่ๆ ข้างบนก็เกิดเสียงดังแปลกขึ้น รีบตั้งท่าป้องกันเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่ามีร่างเงาดำหลายร่างตกลงมาอย่างรวดเร็ว กระแทกเข้ากับกิ่งต้นไม้จนเกิดเสียง ใบไม้จำนวนมากตกลงบนคนที่อยู่บนต้นไม้เต็มหน้าเต็มตาไปหมด 

 

 

“ถุย!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองสำรอกออกมา สำรอกใบไม้ที่ร่วงลงปากออกมาทั้งหมด แต่จากนั้นก็ต้องถลึงตาโต มองดูใบหน้างดงามวิลาศที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พูดพึมพำว่า “คุณ…คุณชาย ข้างบนมีน้องสาวเทพเซียนตกลงมา…” 

 

 

ผู้คนที่ตกลงมาบนกิ่งไม้จากด้านบนนั้นทำให้เกิดแรงสั่นค่อนข้างแรง ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองสติหลุดหาย ร่างกายเกิดไม่มั่นคงขึ้นมาตกลงไปในทันใด เขาตกใจจนร้องออกมาเสียงดังรีบใช้ทั้งสองมือจับประคองกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาเอาไว้ ร่างกายห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ 

 

 

“สมน้ำหน้า” เหยียลีว์เยี่ยนพึมพำเสียงเบา มองดูคนที่มาถึงแล้วต้องกรีดร้องเสียงดัง “คุณชายสยง เป็น…เป็นพวกเขา เขา เขาคือปีศาจตัวนั้น!” 

 

 

เสียงกรีดร้องนี้เหมือนคลื่นเสียงที่ร้ายกาจ มั่วชิงเฉินและคนอื่นรู้สึกปวดแก้วหูในทันใด เกือบจะล้มลงไป 

 

 

“ใครเป็นปีศาจกัน แม่นางน้อย อย่าได้พูดจาดูถูกคนเช่นนี้!” ถังมู่เฉินไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าบวมปูดเขยิบเข้ามาใกล้เหยียลีว์เยี่ยน 

 

 

เสียงดังซวบ เหยียลีว์เยี่ยนกลับใช้วิธีการรวดเร็วจับต้องไม่ได้หลบซ่อนอยู่กลังสยงสี่ในทันใด 

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นแล้วว่าคนทั้งหลายบนต้นไม้เป็นคนที่เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เพียงแต่ผู้น้ำกลุ่มผู้นี้ตอนนั้นพูดคุยกับเฉิงหรูยวนอยู่ไม่น้อย นางจำได้เป็นอย่างดี 

 

 

  สยงสี่ย่อมต้องจำพวกเขาได้ พิจารณามองคนที่ตกลงมาจากกลางอากาศถามขึ้นว่า “พี่เฉิง พี่เผย พวกท่านนี่…” 

 

 

  ด้านหนึ่งเขาคิดแปลกใจที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา อีกด้านก็สงสัยว่าเพราะเหตุใดที่เฉิงเจ็ดและเผยสิบสามถึงมารวมตัวกัน 

 

 

  หรือว่า พวกเขาคิดจะสานสัมพันธมิตรเช่นนั้นหรือ 

 

 

  คิดได้เท่านี้ก็รู้สึกตึงเครียดในใจ 

 

 

  เฉิงเจ็ดและเผยสิบสามล้วนเป็นคุณชายตระกูลสูงผู้ดีเป็นที่รู้จักในเซิงโจว พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่มีรูปร่างดีแต่ไร้สติปัญญาความรู้ หากร่วมมือกันเช่นนั้นก็ยังแข็งแกร่งกว่าศัตรูอยู่มาก 

 

 

  “พี่สยง คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันอีก พวกเราเพิ่งหนีออกมาจากเขตพื้นที่หนึ่งได้ ในตอนนั้นหนีจนเอาตัวไม่รอดพอดีว่าพบบ่อแห่งหนึ่งพอดี ลนลานไม่เลือกเส้นทางกระโดดลงมา” เฉิงหรูยวนพูดขึ้น ไม่ได้กล่าวถึงเขตเดนตาย 

 

 

  เหยียลีว์เยี่ยนที่หลบอยู่หลังสยงสี่เกือบหลุดด่าออกมาอย่างไม่อาจรักษาความเป็นกุลสตรี ลนลานไม่เลือกเส้นทางเช่นนั้นหรือ มีใครเคยเห็นคนที่ลนลานไม่เลือกเส้นทางสบายอกสบายใจเช่นนี้บ้าง โยนระเบิดลงมาข้างล่างไม่เลิก 

 

 

  “เช่นนี้แปลว่าทางข้างบนก็ไม่ทะลุอย่างนั้นหรือ” สยงสี่ชี้ขึ้นด้านบน 

 

 

  “ไม่ทะลุ” เฉิงหนูยวนตอบอย่างมั่นใจ 

 

 

  เผยสิบสามพูดขึ้นมา “พี่สยง พวกท่านเกิดอะไรขึ้นหรือ” 

 

 

  สยงสี่แค่นหัวเราะ ชี้ไปใต้ต้นไม้ “พวกเจ้าดูนั่น น้ำดำเหล่านั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก ร่างกายที่มีเลือดเนื้อตกลงไปจะกลายเป็นธารเลือดไร้ซึ่งเงาอีกต่อไป ในตอนนี้เกรงว่าทั้งเขตพื้นที่นี้คงถูกน้ำดำกลืนกินไปหมดแล้ว พวกเราทำได้เพียงหลบอยู่บนต้นไม้ แต่เดิมได้ส่งสมาชิกผู้หนึ่งขึ้นไปสำรวจ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอทุกท่าน” 

 

 

พวกมั่วชิงเฉินก้มลงดูข้างล่าง เห็นว่าน้ำดำไหลผ่านไร้ขอบ มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดโดยแท้จริง 

 

 

หากว่าสัมผัสน้ำแล้วต้องเสียชีวิตเช่นนั้นก็ยากแล้ว 

 

 

ทุกคนเกาะอยู่บนต้นไม้รอไปอีกสามวัน รอนานแล้วก็ยังไม่เห็นว่าน้ำหลากจะลดลง ดูท่าทางที่นี่คงกลายเป็นเขตน้ำหลากไปแล้ว 

 

 

กลับเป็นใบหน้าของถังมู่เฉินที่เริ่มหายบวม กลับมาเป็นรูปลักษณ์หล่อเหลา ความแตกต่างก่อนและหลังที่ต่างกันมากทำให้เหยียลีว์เยี่ยนหันกลับมามองหลายครั้ง 

 

 

ดวงตาทั้งสองข้างของถังมู่เฉินดึงดูดใจคน ส่งยิ้มให้เหยียลีว์เยี่ยน เหยียลีว์เยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น “หัวหมู!” 

 

 

ถังมู่เฉินตะลึงงัน ริมฝีปากมั่วชิงเฉินกลับสั่นน้อยๆ เกือบหลุดหัวเราะออกมา 

 

 

ในเวลานี้เองที่มู่ซีเหนียนที่รูปงามผมขาวโพลนจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา หลับตาตั้งใจฟัง ปากพึมพำว่า “แย่แล้ว น้ำหลากนี้สามารถกัดกลืนลำต้นได้ หากไม่คิดหาทางออกต้นไม่ใหญ่ต้องล้มลงภายในไม่ถึงวันแน่”