ตอนที่ 194-1 ทูตจากเมืองหลวง

ชายาเคียงหทัย

เฟิ่งจือเหยายืนอยู่หน้าประตูพร้อมความคิดในหัวที่หลากหลาย จนลืมหันไปมองสีหน้านิ่งขรึมของม่อซิวเหยา

 

 

เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยาที่จ้องเขม็งไปยังเฟิ่งจือเหยาพร้อมแผ่รังสีไอเย็นยะเยือกออกมาไม่หยุด จึงได้แต่ดึงแขนเสื้อเขาไว้พร้อมสะบัดไปมา

 

 

ถึงแม้การที่คนมาเห็นพวกตนในสถานการณ์เช่นนี้จะดูน่าขวยเขินอยู่บ้าง แต่เยี่ยหลีก็มิใช่สตรีในยุคสมัยนี้โดยแท้จริง ชาติที่แล้วนางไม่เคยเห็นอันใดมาบ้าง ก็แค่มีคนมาเห็นตอนกำลังจูบกันเท่านั้นเอง อีกอย่างพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณีแล้ว ดังนั้นเยี่ยหลีจึงเพียงกระอักกระอ่วนอยู่ไม่นาน ก็ปล่อยให้มันผ่านไป ถึงอย่างไรคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือเฟิ่งจือเหยา แค่เห็นสีหน้าท่าทีประดักประเดิดของเขา ก็รู้แล้วว่าในหัวเขาคิดอันใด

 

 

เยี่ยหลีกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยเรียกสติเขาว่า “เฟิ่งซาน เข้ามาคุยข้างใน”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเรียกสติกลับมาได้ในทันที ก็ได้เห็นสีหน้านิ่งขรึมและดูอันตรายยิ่งของม่อซิวเหยา จนนึกโมโหและอยากชกหน้าตนเองขึ้นมาทันที มาทำลายบรรยากาศดีๆ ของท่านอ๋องแล้วยังไม่รีบฉากหลบออกไป แต่ดันมายืนอึ้งอยู่เสียได้ เฟิ่งจือเหยายิ่งอยู่ยิ่งไม่ได้ความเลยจริงๆ

 

 

เขามองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าน่าสงสารประหนึ่งจะร้องไห้ ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ถือเป็นการอนุญาต

 

 

เฟิ่งจือเหยาถึงได้หันไปเอ่ยขอบคุณเยี่ยหลีด้วยความยินดี ก่อนเดินเข้ามา แต่ก็ยังเลือกที่จะนั่งลงบนตำแหน่งที่อยู่ใกล้ปากประตูมากที่สุด เผื่อว่าหากเกิดเหตุอันใดไม่คาดฝันขึ้นจะได้พลิ้วหนีออกไปได้ทันท่วงที

 

 

ม่อซิวเหยาย่อมเห็นท่าทีของทั้งสองคนทุกอย่าง

 

 

เยี่ยหลีปิดปากลอบหัวเราะ ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วทำเป็นไม่สนใจ “เมืองหลวงมีอันใดหรือ”

 

 

เมื่อพูดเรื่องเป็นการเป็นงานขึ้นมา เฟิ่งจือเหยาก็ปรับท่าทีให้เป็นปกติโดยทันที เอ่ยด้วยความเคารพว่า “มีข่าวส่งมาจากทางเมืองหลวงว่า ม่อจิ่งฉีได้ส่งท่านอ๋องสองท่านกับขุนนางคนสำคัญของราชสำนักรวมถึงท่านผู้อาวุโสซูให้เดินทางมายังซีเป่ย เกรงว่าอีกไม่กี่วันก็น่าจะถึงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ส่งขุนนางคนสำคัญมายังซีเป่ย? มาทำอันใด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเท้าคางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะทำอันใดได้ ก็คงมาเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ ทหารต้าฉู่จำนวนสองแสนกว่านายที่อยู่ด้านนอกด่านเฟยหง ถูกพวกเราไล่กลับเข้าด่านไปได้โดยแทบจะไม่ต้องเสียแรง ยามนั้นม่อจิ่งฉีโกรธจนแทบคลั่ง ออกราชโองการด่าว่าท่านอ๋องเสียตั้งหลายฉบับ ผ่านมานานเช่นนี้แล้วคงได้สติแล้วกระมัง”

 

 

ม่อจิ่งฉีมิใช่ว่าโง่เง่าอันใดนัก หากตำหนักติ้งอ๋องมิได้ทำตัวเป็นกบฏอย่างเปิดเผย เขาก็ไม่มีทางเปิดศึกกับตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้อย่างแน่นอน ทางด้านซีหลิงและเป่ยหรง เขายังจัดการได้ไม่เรียบร้อยเลย หากยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องออกมาทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ราชสำนักคงได้ตกอยู่ในอันตราย เขาเองก็อ่านขาดว่าม่อซิวเหยาจะไม่มีเรื่องกับราชสำนักง่ายๆ ถึงได้คิดจะมาไม้นี้ ทำให้คนในใต้หล้าเห็นว่าตนใจกว้างเพียงใด แต่สิ่งที่ม่อจิ่งฉีไม่เข้าใจคือ คนที่ต้องการเวลามิได้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ ยามนี้กองทัพตระกูลม่อในซีเป่ยเองก็ต้องการเวลาเช่นกัน

 

 

“มีผู้ใดบ้าง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม

 

 

เฟิ่งจือเหยาตอบว่า “มีเต๋ออ๋อง ม่อสยาเฟย อวี๋อ๋อง ม่อจิ่งอวี๋ แล้วยังมีผู้อาวุโสซูเจ๋อและรองกรมขุนนางม่อเจียนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า ซูเจ๋อกับม่อเจียนไม่ต้องพูดถึง แต่เต๋ออ๋อง ม่อสยาเฟยเป็นพี่ชายคนรองแท้ๆ ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ขนาดม่อจิ่งฉียังต้องเรียกขานด้วยความเคารพว่าเสด็จลุง ส่วนอวี๋อ๋อง ม่อจิ่งอวี๋ เป็นพี่น้องต่างมารดากับม่อจิ่งฉี ตามปกติเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ชอบสนใจเรื่องการเมือง ไม่คิดว่าม่อจิ่งฉีจะส่งเขามาด้วย

 

 

ท่านอ๋องสองคนกับขุนนางคนสำคัญสองคน ทูตที่ม่อจิ่งฉีส่งมาครานี้ ดูมีความจริงใจอยู่มากทีเดียว น่าเสียดายที่ม่อซิวเหยาไม่คิดที่จะให้เกียรติเขาถึงเพียงนั้น

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล้กน้อย “ซีเป่ยอยู่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก ทั้งยังต้องเดินทางข้ามภูเขา เหตุใดม่อจิ่งฉีถึงได้ส่งท่านผู้อาวุโสซูมา”

 

 

ซูเจ๋ออายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว หลายปีนี้สุขภาพก็ไม่ค่อยดีนัก ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ธุระเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรส่งขุนนางสูงอายุเช่นนี้มา หากระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุอันใดไม่ดีขึ้น คงดูไม่งามนัก

 

 

เฟิ่งจือเหยานิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ม่อจิ่งฉีจะรู้หรือไม่ว่าซูจุ้ยเตี๋ยยังมีชีวิตอยู่ ถึงได้ส่งใต้เท้าซูมา”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “นี่ก็กว่าครึ่งปีแล้ว ม่อจิ่งฉีก็น่าจะรู้ข่าวแล้ว ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่รู้ ยามนี้ก็น่าจะรู้แล้ว ซูจุ้ยเตี๋ย…” หากซูจุ้ยเตี๋ยถึงขนาดสามารถทำให้ม่อจิ่งฉีสนใจได้ เช่นนั้น…สีหน้าม่อซิวเหยาเคร่งขรึมลงไปอีก ความเยือกเย็นในแววตายิ่งทำให้ดูน่ากลัว

 

 

“ท่านอ๋องคิดจะทำเช่นไรกับคนเหล่านี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถาม ท่านอ๋องสองท่านนั้นเขาไม่คิดว่าจะมีปัญหาอันใด แต่ซูเจ๋อและม่อเจียนกลับเป็นขุนนางตงฉินที่หาได้ยากในราชสำนัก อีกทั้ง ซูเจ๋อยังถือเป็นอาจารย์ของม่อซิวเหยาครึ่งหนึ่ง ที่ม่อซิวเหยาให้ความเคารพเสมอมา

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมือ “ไม่ต้องสนใจ ที่ข้าให้เจ้าร่างรายชื่อคนเข้ารับตำแหน่งในแต่ละพื้นที่ของซีเป่ย เจ้าร่างเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

 

 

เฟิ่งจือเหยาหยิบฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นมาส่งให้เขา ม่อซิวเหยาพลิกดูเล่นๆ ก่อนยื่นส่งให้เยี่ยหลี พร้อมเอ่ยว่า “ประมาณนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนข่าว…ค่อยกระจายออกไปหลังจากที่คนของม่อจิ่งฉีมาถึง ก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกว่าชาวบ้านในเมืองอยากจัดเทศกาลโคมไฟเพื่อเป็นการขอพรให้พระชายากับซื่อจื่อ ก็กำหนดไว้เป็นวันเดียวกันก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นให้เจ้าหน้าที่ในเมืองร่วมเฉลิมฉลองกับชาวบ้านด้วย และถือเป็นการต้อนรับทูตจากราชสำนักไปด้วยในตัว อีกอย่าง ตำหนักใหม่สร้างเสร็จแล้วหรือยัง พวกเราจะมายึดจวนผู้ว่าการเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็ใช่เรื่อง หากมีผู้ว่าการคนใหม่มาเข้ารับตำแหน่ง จะให้เขาทำงานในบ้านคนทั่วไปไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ดีกระมัง”

 

 

เฟิ่งจือเหยารับคำ ที่ม่อซิวหยาทำเช่นนี้ ถือเป็นการท้าทายคณะทูตที่ม่อจิ่งฉีส่งมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็นึกชอบใจ จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ตำหนักใหม่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีเคยเป็นบ้านของเศรษฐีอันดับหนึ่งของหรู่หยาง แต่คนผู้นั้นติดตามกองทัพเข้าไปอยู่ในด่านแล้ว ข้าน้อยได้สั่งให้คนนำบ้านเรือนทั้งซ้ายขวาสองฝั่งมารวมเข้าด้วยกัน แล้วปรับปรุงใหม่เสียรอบหนึ่ง ถึงแม้จะใหญ่โตโอฬารสู้ตำหนักอ๋องที่เมืองหลวงไม่ได้ แต่ก็พออาศัยไปก่อนได้ เรือนหลังนั้นยามนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง แต่หากตามผังเมืองหรู่หยางผังใหม่ที่เจ้าหน้าที่ส่งขึ้นมาให้ดู หลังจากปรับปรุงทั้งหมดแล้ว ก็จะอยู่ตรงกลางเมืองหรู่หยางพอดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เรื่องเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว เพียงแต่เห็นท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดีจึงไม่อยากพูดถึงเรื่องการย้ายที่พัก ช่วงนี้ยังพอไหว แต่หากเป็นหน้าหนาวหรือหน้าฝน แล้วต้องคอยวิ่งไปวิ่งมาคงจะลำบากไม่น้อย

 

 

“ดีมาก” ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ “ให้คนเร่งมือเก็บของให้เรียบร้อย”

 

 

เฟิ่งจือเหยายิ้ม “เตรียมการไว้พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องและพระชายาสามารถย้ายไปได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ ป้ายชื่อตำหนัก ให้ท่านอ๋องเป็นคนคิดชื่อจะดีกว่า”

 

 

เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากอันใดนัก เพียงแต่ยามนี้ม่อซิวเหยาถูกม่อจิ่งฉียึดยศถาบรรดาศักดิ์ไปแล้ว จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าควรจะตั้งชื่อตำหนักแห่งใหม่ว่าอันใด ดังนั้นให้ท่านอ๋องเป็นคนตั้งเองเลยดูจะดีที่สุด

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ใช่ชื่อตำหนักติ้งอ๋องนั่นแหละ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไปเล็กน้อย นั่นไม่ใช่ชื่อเดียวกับ “ตำหนักติ้งอ๋องพระราชทาน” ที่ในเมืองหลวง แต่เรียกย่อเหลือเพียงสี่พยางค์ ตำหนักติ้งอ๋อง เท่านั้น

 

 

เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของม่อซิวเหยา ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขามิได้เก็บเรื่องที่ม่อจิ่งฉียึดยศถาบรรดาศักดิ์ของเขาไปมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งจือเหยาจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ข้าน้อยรับบัญชา”

 

 

 

 

ด้วยเพราะเยี่ยหลีกลับมาแล้ว ถึงแม้เมืองหรู่หยางจะมิได้มีความเปลี่ยนแปลงอันใดมากนัก แต่ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ต่างไป

 

 

ชาวบ้านในเมืองต่างวุ่นวายกับชีวิตของตน บรรดาที่ทหารที่รักษาการอยู่ ก็ดูจะหายจากอาการหม่นหมอง ดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย ทั่วทั้งเมืองดูเจริญรุ่งเรืองขึ้นไม่น้อย

 

 

ภายในเรือนของเยี่ยหลียังคงเงียบสงบและสบายๆ พอสวีชิงเจ๋อกลับมาถึงเมือง วันต่อมาเฟิ่งจือเหยาก็จับตัวเขาไปทำงานเสียแล้ว สวีชิงเฟิงและสวีชิงเหยียนมิได้มีธุระการงานอันใด สวีชิงเหยียนจึงพาสวีชิงเฟิงมานั่งคุยเล่นหรือไม่ก็เล่นหมากรุกกันทุกวันไป วันเวลาผ่านไปอย่างเรื่อยเจื้อย สบายๆ แต่เมื่อม่อซิวเหยาเห็นว่าทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ ก็โกรธจนแทบอยากจับเขาโยนออกจากเมืองหรู่หยาง เพียงแต่เมื่อวันนั้นได้ยินคำรักออกจากปากเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย แต่ทุกคราที่เห็นสวีชิงเหยียนก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้

 

 

บนกระดานหมากรุก หมากสีขาวและดำกำลังฆ่ากันอย่างเมามัน ด้านนอกเรือนก็มีเสียงรบราฆ่าฟันกันมาจากที่ใดที่หนึ่ง

 

 

สวีชิงเหยียนขมวดคิ้วคลึงหมากในมือเอ่ยว่า “พี่หลี จวนแห่งนี้เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์จริงหรือ มากันทุกสองสามวัน…” นี่เขาเพิ่งอยู่มาได้กี่วันกัน สวีชิงเหยียนก็ชินกับการที่มีนักฆ่าบุกเข้ามาในจวนเสียแล้ว ไม่ว่าผู้ใดมาเจอสถานการณ์ช่นนี้ต่างก็เคยชินกันทั้งนั้น สวีชิงเหยียนนึกเลื่อมใสในความพยายามของนักฆ่าเหล่านี้ยิ่งนัก สู้แล้วก็แพ้ แพ้แล้วก็สู้อยู่อย่างนี้ ช่างน่ารำคาญใจเสียจริง

 

 

เยี่ยหลีรับถ้วยน้ำซุปอิ๋นเอ่อร์จากสาวใช้มาดื่ม ก่อนยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก ที่จวนนี้ก็น่าเบื่อเกินไปสักหน่อย จะครึกครื้นขึ้นมาบ้างก็ดีเหมือนกัน”

 

 

กับเรื่องนี้ สวีชิงเหยียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ม่อซิวเหยากลัวว่าจะมีคนมารบกวนการพักผ่อนของเยี่ยหลี นอกจากพวกฉินเฟิง จั๋วจิ้งไม่กี่คนนั่น กับเสิ่นหยางและท่านหมอหลินที่คอยตรวจอาการให้เยี่ยหลี คนอื่นๆ ในจวนไม่มีทางได้เข้าใกล้เรือนของเยี่ยหลีเลย หากในจวนมีเรื่องอันใด ก็จะไปรายงานตรงต่อม่อซิวเหยาให้ม่อซิวเหยาเป็นผู้จัดการ ไม่มีผู้ใดกล้านำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นมากวนใจเยี่ยหลี

 

 

เดิมทีก็เป็นความคิดที่ดีอยู่หรอก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ว่างเสียจนนึกเบื่อ

 

 

สวีชิงเหยียนส่งเสียงหึเบาๆ “ติ้งอ๋องนี่ช่างใจแคบเสียจริง พี่หลีออกไปเดินเล่นสักหน่อยจะเป็นไรไป ทำหยั่งกับกลัวจะโดนคนอื่นมองอย่างนั้นแหละ พี่หลีโดดเด่นเช่นนี้ ก็ควรให้คนทั้งใต้หล้าได้ชื่นชมถึงจะถูก”

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สวีชิงเหยียนก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาทันที หญิงงามและหญิงเก่งในใต้หล้ามีอยู่ถมไป แต่จะมีพี่สาวผู้ใดบ้างที่สามารถบัญชาการทหารนับหมื่นออกไปต้านทัพศัตรูได้เช่นนี้ ต่อไปเขาจะต้องแต่งงานกับสตรีที่เก่งกาจเช่นพี่หลีของตนให้จงได้

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นเคาะหน้าผากสวีชิงเหยียน มองค้อนเขาทีหนึ่ง “เรียกว่าพี่เขย เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยายังกลั่นแกล้งเจ้าไม่พอใช่หรือไม่”

 

 

สวีชิงเหยียนหงุดหงิดขึ้นมาทันที ประสบการณ์การต่อกรกับม่อซิวเหยาในช่วงหลายวันนี้บอกเขาว่า เขายังสู้ม่อซิวเหยาเจ้าคนถ่อยไม่ได้ในยามนี้ ถึงแม้เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่หลี ม่อซิวเหยาจะยอมอ่อนให้เขาบ้าง แต่พออยู่ลับหลัง เขาก็จะคอยคิดหาลูกไม้สกปรกมาแกล้งเขาเสมอ

 

 

เมื่อวานเขาถึงขั้นแต่งเรื่องมาเล่าให้พี่หลี บอกว่าเขาไปหลงรักหญิงงามคนหนึ่งในเมือง อยากให้พี่หลีช่วยเขาเขียนจดหมายไปขอหมั้นหมายกับบิดามารดาของนางให้เขา หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูบิดาตนแล้ว เขาจะไม่ถูกถลกหนังเอาหรือ? พี่ชายเขาตั้งหลายคนยังไม่ทันได้แต่งงานเลย เขาที่เป็นน้องเล็กสุดกลับไปหลงรักสตรีเข้าให้เสียแล้ว การชื่นชอบในความงามถือเป็นโทษตายของเขา!