ตอนที่ 194-2 ทูตจากเมืองหลวง

ชายาเคียงหทัย

“พี่หลีรู้หมดเลยหรือนี่” สวีชิงเหยียนก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ ที่เยี่ยหลีรู้ว่าเขาสู้ม่อซิวเหยาไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าไม่น้อย

 

 

สวีชิงเฟิงที่นั่งสังเกตการณ์หมากอยู่ข้างๆ ถึงกับหัวเราะพรืดออกมา ยกมือขึ้นเคาะศีรษะเขาเข้าให้ทีหนึ่ง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พี่รอง พี่สามบอกเจ้าแต่แรกแล้วว่า อย่าไม่ยั่วโมโหท่านอ๋อง เจ้าก็ไม่ยอมฟัง”

 

 

สวีชิงเหยียนถลึงตากลับ “ก็เขาตั้งแง่กับข้าก่อนชัดๆ!”

 

 

สวีชิงเฟิงเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเหตุใดท่านอ๋องถึงไม่ตั้งแง่กับพี่รองและกับข้าเล่า” สรุปก็คือ มิใช่ว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองหรือ

 

 

สวีชิงเหยียนทิ้งตัวลงกับโต๊ะพลางร้องโอดครวญ “พี่สาม ข้าเป็นน้องแท้ๆ ของท่านนะ” เขาคิดถึงพี่สี่เหลือเกิน หากพี่สี่อยู่ที่นี่ด้วย จะต้องช่วยเขาตอบโต้ม่อซิวเหยาแน่นอน!

 

 

เมื่อได้ยินสวีชิงเหยียนงอแงประหนึ่งเด็กเล็กๆ เยี่ยหลีก็อมยิ้มพร้อมวางหมากตัวหนึ่งลง แล้วเอ่ยถามว่า “ใช่สิ หลายวันที่พี่สามอยู่ในจวนมานี้ เบื่อมากหรือไม่”

 

 

สวีชิงเหยียนยังเด็ก ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็สามารถหาอันใดให้ตนเองเล่นได้เสมอ แต่สวีชิงเฟิงเป็นหนุ่มใหญ่ เอาแต่อยู่ในจวนไม่ไปไหน คงทำให้เขาเบื่อหน่ายไม่น้อยจริงๆ

 

 

สวีชิงเฟิงยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับที่ค่ายทหารแล้ว ก็น่าเบื่อเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ไว้รอให้เจ้าคลอดบุตร ข้าก็ควรกลับเมืองหลวงเสียที พี่สามและพี่รองไม่อยู่ที่เมืองหลวงทั้งคู่ อย่างไรท่านพ่อท่านแม่ก็คงเป็นกังวลไม่น้อย”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “จะว่าไป ยามนี้พี่รองอยู่ที่ซีเป่ย ฮ่องเต้ที่อยู่เมืองหลวงได้ทำอันใดให้ท่านลุงรองลำบากหรือไม่ เจิงเอ๋อร์อีกคน ฤกษ์แต่งงานของนางกับพี่รองเดิมทีกำหนดไว้เมื่อปีที่แล้ว แต่ยามนี้กลับยัง…”

 

 

สวีชิงเฟิงเอ่ยปลอบนางว่า “ไม่มีอันใด หากฮ่องเต้คิดอยากทำให้ตระกูลสวีของพวกเราลำบาก มีเหตุผลใดบ้างที่หามาไม่ได้ เขาไม่มีทางทำให้ท่านพอลำบากเพราะเรื่องนี้หรอก อีกอย่างท่านพ่อก็พูดแล้วว่า…ไม่อยากให้พี่รองกลับไปตอนนี้ และไม่รู้ว่ายามนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นเช่นไร พี่รองก็มิได้พลิ้วไหวเก่งอย่างน้องสี่ หากหลวมตัวเข้าไปแล้ว กลับจะถอนตัวลำบาก ส่วนเรื่องคุณหนูตระกูลฉิน…”

 

 

สวีชิงเฟิงเอามือจับผมอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี ยามนี้เขาก็ทำได้เพียงรู้สึกโชคดีที่ตนเองยังไม่ทันได้หมั้นหมายเท่านั้น มิเช่นนั้นยามนี้ที่เป็นเช่นนี้ จะไม่เป็นการทำให้แม่นางผู้นั้นเสียเวลาหรือ และต่อไปหากเกิดอันใดไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าคงจะมีแต่ลากตระกูลฝ่ายภรรยาให้ตกต่ำลงไปด้วย

 

 

“ยามนี้ตระกูลสวีของพวกเราก็ไม่ใช่ว่าดีนัก ที่คุณหนูตระกูลฉินยังไม่แต่งเข้ามาอันที่จริงก็ถือเป็นเรื่องดี ได้ยินว่าพี่รองให้คนส่งจดหมายกลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่ บอกว่าถ้าอีกฝ่ายเจอคนที่ดี คุณหนูตระกูลฉินสามารถแต่งงานไปก่อนได้เลย”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นางกับฉินเจิงรักใคร่กันยิ่งนัก จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าฉินเจิงมีใจให้พี่รองของนาง อีกทั้งทั้งสองหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เล็กๆ ใจของฉินเจิงก็อยู่ที่พี่รองมาเป็นสิบปี มาวันนี้กลับบอกให้อีกฝ่ายแต่งงานไปก่อนได้เลย อันที่จริงก็ดูจะ… ถึงแม้จะรู้ว่าที่พี่รองทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นว่าดีต่อฉินเจิงก็เถิด แต่อย่างไรก็รู้สึกว่าเขาน่าตีไม่น้อย

 

 

อีกด้านหนึ่ง เยี่ยหลีก็รู้สึกผิดต่อฉินเจิงอยู่หลายส่วน เพราะจะว่าไปแล้ว ยามนั้นพี่รองก็ติดตามกองทัพมาที่ซีเป่ย และที่ยามนี้ยังต้องรั้งอยู่ที่ซีเป่ยไม่อาจกลับไปได้ มิใช่เพราะนางหรอกหรือ

 

 

สวีชิงเหยียนหันมองเยี่ยหลี หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “พี่หลี เรื่องนี้ไม่โทษท่านหรอก สถานการณ์ของตระกูลเราในยามนี้ หากสามารถเกี่ยวข้องกับผู้คนให้ได้น้อยลงหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง ในวังอาจมีคำสั่งให้ประหารล้างตระกูลก็เป็นได้ ถึงยามนั้นไม่เพียงคุณหนูตระกูลฉินเท่านั้น แม้แต่ตระกูลฉินก็คงเดือดร้อนไปด้วย”

 

 

สวีชิงเฟิงขมวดคิ้ว ตบบ่าสวีชิงเหยียนเล็ก้อย “เจ้าเด็กคนนี้ปากไม่มีหูรูดจริงๆ!”

 

 

สวีชิงเหยียนทำหน้าล้อเลียน ข้อดีเพียงอย่างเดียวเมื่ออยู่ในซีเป่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจวนแห่งนี้ก็คือ พวกเขาสามารถพูดทุกอย่างได้ตามใจ ไม่ต้องกังวลว่าหน้าต่างจะมีหูประตูจะมีช่องแต่อย่างใด

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้าลงมองรูปร่างของตนเองที่เคลื่อนตัวได้ลำบากขึ้นทุกวัน แล้วก็ได้แต่ถอนใจ “ยามนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นให้คิดถึงแล้ว อีกเดี๋ยวรบกวนพี่สามช่วยเขียนจดหมายถึงท่านป้าสะใภ้ สอบถามข่าวตระกูลฉินสักหน่อยเถิด ในเมื่อพี่สามรู้สึกเบื่อๆ ช่วงนี้จะไปอยู่ที่ค่ายทหารนอกเมืองก่อนก็ยังได้นะเจ้าคะ”

 

 

สวีชิงเฟิงตาเป็นประกายทันที แม้แต่บนใบหน้าของสวีชิงเหยียนยังดูมีความตื่นเต้นขึ้นหลายส่วน

 

 

กองทัพตระกูลม่อเป็นทหารยอดฝีมือของต้าฉู่ สวีชิงเฟิงย่อมได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ด้วยเพราะฐานะที่ค่อนข้างพิเศษของเขา จึงจะไปเที่ยวเล่นอยู่ในค่ายทหารก็คงไม่ดีนัก ด้วยเกรงว่าเยี่ยหลีจะถูกคนพูดถึงในทางไม่ดี เขาเอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “จะถูกกฎระเบียบหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ “มีอันใดถูกไม่ถูกกฎระเบียบกับ มิได้ให้พี่สามไปนำทัพออกศึกเสียหน่อย”

 

 

สวีชิงเฟิงยิ้มพร้อมพยักหน้า “หลีเอ๋อร์พูดถูก หากสามารถเข้ากองทัพตระกูลม่อได้ ต่อให้เป็นเพียงพลทหารเล็กๆ ก็ไม่เป็นไร เชื่อว่าคนอื่นๆ ก็คงไม่รู้ฐานะของข้าหรอก”

 

 

ฉินเฟิงที่เดินเข้ามาได้ยินที่เขาพูด ก็เหลือบมองสวีชิงเฟิงทีหนึ่ง แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชายสามตระกูลสวีหากสามารถทนลำบากได้ จะไปตรงข้าน้อยก็ได้นะขอรับ”

 

 

กองทัพตระกูลม่อถึงอย่างไรก็มีคนจำนวนมาก หลายคนก็หลายปาก แต่หน่วยกิเลนเป็นหน่วยที่ขึ้นตรงกับพระชายาทั้งหมด ย่อมสะดวกกว่ามากนัก

 

 

สวีชิงเหยียนกะพิรบตาปริบๆ “พี่ฉิน ข้าไปได้หรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงมองเขาแล้วส่ายหน้า “เกรงว่าคุณชายห้าคงทนได้ไม่ถึงวันขอรับ”

 

 

สวีชิงเหยียนไม่ยอม ถลึงตาเอ่ยว่า “เอาอันใดมาวัดว่าพี่สามทนได้ แล้วข้าจะทนไม่ไหว? เจ้าดูถูกที่ข้าอายุยังน้อยล่ะสิ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดู!”

 

 

ฉินเฟิงยิ้มส่ายหน้า “ข้าน้อยมิได้เห็นว่าคุณชายห้าอายุยังน้อย ตรงข้านั่นยังมีคนที่เด็กกว่าคุณชายห้าอยู่อีกตั้งสองคนนะขอรับ เพียงแต่คุณชายห้าได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เล็ก ทั้งยังมิได้เล่าเรียนวิทยายุทธ ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าคุณชายห้าจะทนรับไม่ไหว”

 

 

เยี่ยหลียิ้มให้ฉินเฟิง “พี่สามไปที่ท่านได้หรือ”

 

 

ฉินเฟิงเอ่ยว่า “เพียงแค่พระชายาเอ่ยมาประโยคเดียว คุณชายสามก็สามารถไปได้ทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “ในเมื่อข้ากับท่านอ๋องยกหน่วยกิเลนให้เจ้าแล้ว ก็ให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า”

 

 

ถึงแม้บนใบหน้าของฉินเฟิงจะไม่ได้แสดงอาการออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกซาบซึ้งในความไว้ใจที่เยี่ยหลีมีให้อย่างมาก เขาหันมองสวีชิงเฟิงแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้เช้า คุณชายสามก็ไปรายงานตัวที่นอกเมืองเถิดขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยขอบอกไว้ก่อนว่า ถึงยามนั้นจะไม่ออมมือให้นะขอรับ หากคุณชายสามรับไม่ไหว ข้าน้อยก็คงต้องส่งท่านกลับมา”

 

 

สวีชิงเฟิงเคยได้ยินเรื่องลึกลับและชื่อเสียงอันเกรียงไกรของหน่วยกิเลนมาก่อน สีหน้าจึงดูลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงใสว่า “ถ้าเช่นนั้น หัวหน้าฉินก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณชายสามหรอก เรียกชื่อข้าก็แล้วกัน”

 

 

เมื่อตกลงเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อย เยี่ยหลีถึงได้ถามขึ้นว่า “ที่มาในยามนี้ ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดหรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า ยื่นม้วนกระดาษปิดผนึกฉบับหนึ่งส่งให้ “ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่อนุญาตให้รบกวนเวลาพักผ่อนของพระชายา แต่ข้าน้อยก็ยังอยากให้พระชายาได้อ่านดูพ่ะย่ะค่ะ นี่คือแผนการฝึกของเดือนหน้า อยากให้พระชายาช่วยชี้แนะสักเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ช่วงหลายเดือนมานี้ ฉินเฟิงรับผิดชอบเรื่องการฝึกของหน่วยกิเลนแต่เพียงผู้เดียว มีปรึกษาพวกจั๋วจิ้งและหลินหานบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น จุดเริ่มต้นของหน่วยกิเลนนั้นสูงเกินไป เพราะเหตุนี้ในใจฉินเฟิงจึงรู้สึกเป็นกังวลเสมอ ยามนี้เมื่อเยี่ยหลีกลับมาแล้ว จึงอดไม่ได้อยากให้เยี่ยหลีช่วยดู ไม่ต้องพูดเรื่องชื่นชม เพียงแค่ให้เขารู้ว่าแผนการฝึกของเขามีปัญหาหรือไม่เท่านั้นก็พอแล้ว

 

 

เยี่ยหลีวางม้วนกระดาษนั้นลง ยิ้มเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวข้าดูให้ เจ้าทำตามที่เจ้าเห็นควรก็พอ ที่พอสอนเจ้าได้ข้าก็สอนไปเกือบหมดแล้ว อีกสามเดือนให้หลัง…ข้าก็น่าจะขยับเขยื้อนตัวได้สะดวกขึ้น ลูกน้องเจ้าก็น่าจะฝึกเสร็จแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะไปดูพวกเขาด้วยตนเอง”

 

 

ฉินเฟิงยิ้มยินดียิ่ง “ขอบพระคุณพระชายา ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในใจนึกหมายมาดไว้ว่า ถึงเวานั้นจะขอให้พระชายาช่วยออกแบบการสอบของเจ้าพวกเล็กๆ สักหน่อย เมื่อปีที่แล้ว ด้วยเพราะเกิดเหตุขึ้นกะทันหัน ทำให้ไม่ได้จัดการทดสอบคนกลุ่มแรก และทำให้ฉินเฟิงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด ครานี้ให้พวกคนเก่ามาทดสอบด้วยเลยก็แล้วกัน

 

 

“ใช่สิพระชายา เมื่อครู่ที่ข้าน้อยผ่านมาเห็นว่าองครักษ์ลับจับนักฆ่าได้อีกแล้ว” ฉินเฟิงคิดถึงสิ่งที่ตนเห็นยามเดินมา จึงเอ่ยปากพูดขึ้น

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยว่า “หลายวันนี้ทางฝั่งองครักษ์ลับคงจับคนไว้จนเต็มแล้วกระมัง” จับนักฆ่ากันได้ทุกวัน อีกทั้งยังต้องจับเป็นทั้งหมด ไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาจะเก็บคนเหล่านี้ไว้ทำอันใด

 

 

ฉินเฟิงยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิพ่ะย่ะค่ะ เช้านี้สีหน้าม่อหวาดูไม่ได้เอาเสียเลย แล้วยังบอกว่าจะขอยืมคุกของพวกเราไว้ขังคนอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร อย่าได้ขังนักฆ่าเหล่านั้นไว้กับซูจุ้ยเตี๋ยเป็นอันขาด ไปบอกม่อหวาด้วย หากมิใช่คนสำคัญ ก็อย่าได้เก็บไว้เลย”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “ข้าน้อยก็พูดเช่นนี้ เพียงแต่ท่านอ๋องไม่ยอมให้ฆ่า บอกว่ามีประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ท่านอ๋องบอกเช่นไรก็ทำตามนั้นก็แล้วกัน”

 

 

“ข้าทำไมหรือ” ม่อซิวเหยาอยู่ในชุดสีอ่อน ผมขาวประหนึ่งหิมะ ยืนอมยิ้มเอ่ยถามพร้อมมองทุกคนอยู่ตรงประตูทรงพระจันทร์

 

 

เยี่ยหลีร่างกายไม่อำนวย จึงคร้านที่จะลุกยืนขึ้น เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “เหตุใดถึงกลับมาแล้วเล่าเพคะ ระวังอีกเดี๋ยวเฟิ่งซานจะมาร้องหาอีก”

 

 

ทุกคนต่างลุกขึ้นทำความเคารพ ม่อซิวเหยาโบกมือ แล้วเดินไปนั่งลงข้างเยี่ยหลี เอ่ยด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “คนของม่อจิ่งฉีมาแล้ว พวกเขากำลังเตรียมตัวออกไปต้อนรับอยู่ มิเช่นนั้นข้าจะว่างกลับมาได้อย่างไร”

 

 

เยี่ยหลีนั่งตัวตรง “คณะเต๋ออ๋องมาถึงแล้วหรือเพคะ ท่านอ๋องไม่ออกไปต้อนรับหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเบ้ปาก “ข้ามีเวลาที่ไหนกัน เฟิ่งซานไปแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีอดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้ ให้เฟิ่งซานไป สู้ท่านให้แม่ทัพสักคนในกองทัพออกไปไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้จะว่าเฟิ่งจือเหยาเป็นคนข้างกายที่ม่อซิวเหยาไว้วางใจเป็นที่สุด แต่ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเฟิ่งจือเหยามีนิสัยประหลาดหรืออะไร ถึงไม่ยอมรับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ดังนั้นจนถึงยามนี้ เฟิ่งจือเหยาจึงเป็นเพียงคนตัวเปล่าเล่าเปลือย อีกทั้งเรื่องที่เขาต้องจัดการก็มีมากมาย ยามที่ทุกคนเอ่ยเรียกเขาก็เอ่ยเรียกกันตามใจ เมื่ออยู่ในสนามรบ ก็เรียกเขาว่าแม่ทัพเฟิ่ง ขุนนางใหญ่น้อยในเมืองหรู่หยางก็เรียกเขาใต้เท้าเฟิ่ง คนไว้ใจข้างกายม่อซิวเหยา เรียกเขาคุณชายสามตระกูลเฟิ่ง เพราะเอาเข้าจริงตัวเฟิ่งจือเหยาเองไม่มีแม้แต่ตำแหน่งขั้นต่ำสุด ได้ยินว่าเต๋ออ๋องท่านนี้ถือสาเรื่องการให้เกียรติและความเอิกเกริกเป็นที่สุด ให้เฟิ่งจือเหยาไป คงมีแต่จะทำให้เขาอารมณ์ขึ้นเท่านั้น

 

 

“เป็นเฟิ่งซานเองที่อยากไป” ม่อซิวเหยาเอ่ย เขาไม่ได้คิดจะส่งคนออกไปรับที่หน้าประตูเมืองด้วยซ้ำ ให้พวกเขาเข้าเมืองก็ถือว่าดีมากแล้ว

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไป สรุปก็คือ เฟิ่งจือเหยาเกรงว่าท่านจะทำให้เขาโกรธตาย จึงตัดสินใจออกไปทำให้เขาโกรธตายสักครึ่งหนึ่งงั้นสิ?

 

 

ม่อซิวเหยานั่งพิงเยี่ยหลีอย่างเกียจคร้าน ยิ้มเอ่ยว่า “อาหลีไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก คณะเต๋ออ๋องอยากมาพูดเรื่องอันใด มีหรือข้าจะไม่รู้ แค่เพียงคร้านที่จะสนใจพวกเขาก็เท่านั้น”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ผลักเขาให้นั่งตัวตรงๆ “งานเลี้ยงต้อนรับในคืนนี้อยากไรก็คงต้องจัดกระมัง ท่านอ๋องอย่าบอกนะว่า แม้แต่เรื่องนี้ก็จะงดด้วย หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนคงได้คิดว่าพวกเราไม่รู้จักการต้อนรับแขกเป็นแน่”

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “ท่านลุงม่อไม่อยู่ วุ่นวายไม่น้อยทีเดียว” หากเป็นยามปกติ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ท่านลุงม่อคงจัดการจนเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่เอ่ยปากบอกเขาเท่านั้น แต่ในยามนี้ คนของตำหนักติ้งอ๋องกว่าครึ่งย้ายมาอยู่ที่ซีเป่ย ท่านลุงม่อจึงมิอาจตามมาได้ทันที มิเช่นนั้นไม่มีคนคอยจัดการหากเรื่องภายในด่าน ก็คงยุ่งยากมากเช่นกัน “น่าเสียดายที่เฟิ่งซานไม่ยอมมาเป็นพ่อบ้าน”

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองเขา ให้เฟิ่งซานมาเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน ไม่เสียแรงที่เป็นความคิดของติ้งอ๋อง

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยว่า “เอาเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะให้เว่ยลิ่นกับหลินหานเป็นคนจัดการ”

 

 

ตำหนักติ้งอ๋องที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับหาคนมาเป็นหัวหน้าพ่อบ้านไม่ได้ หากพูดไปคนเขาจะไม่หัวเราะเยาะเอาหรือ

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มและพยักหน้าด้วยความพอใจ “คนข้างกายอาหลีอย่างพวกจั๋วจิ้งล้วนเป็นคนใช้การได้ สามารถแบ่งคนหนึ่งให้มารับหน้าที่แทนท่านลุงม่อไปก่อนได้หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีนึกภาพว่าให้พวกจั๋วจิ้งมาหัวหมุนอยู่กับสารพัดงานในตำหนักติ้งอ๋องแบบท่านลุงม่อ แล้วก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ทั้งสามคนนั้นอย่างไรก็ติดตามนางมานานพอสมควร คนเป็นนายอย่างนางก็ไม่ควรทำตัวไม่มีเหตุผลมากจนเกินไปนัก “พวกเขาอายุน้อยเกินไป เอาไว้ให้ข้างล่างเลือกคนที่ไว้ใจได้ขึ้นมาจัดการเรื่องนี้ก็แล้วกันเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาอดเสียดายไม่ได้ แต่ก็ได้ทำได้เพียงยักไหล่เป็นการบอกว่าเห็นด้วย