ตอนที่ 38 แผนยึดอำนาจทางทหาร

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เยี่ยเม่ยรอฟังคำพูดต่อไป

 

 

ซือหม่าหรุ่ยกล่าว “เป็นเรื่องของไป๋หลี่จิ่นเฉิน เหมือนจะเป็นญาติผู้น้องของท่านเสนาบดี? เขาตาบอดแล้ว เพราะว่าพิษชนิดหนึ่ง พิษชนิดนี้แต่ก็เดิมก็ไม่อาจรักษาได้ อีกทั้งยังถ่ายทอดจากร่างของผู้อื่นไปสู่เขาอีก ดังนั้นยิ่งรักษาไม่ได้แล้ว…”

 

 

“คนผู้นี้สำคัญกับท่านเสนาบดีมากหรือ” เยี่ยเม่ยถามประโยคหนึ่ง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “ไป๋หลี่ซือซิวมีสายตาสูงส่ง ดังนั้นคนผู้นี้ได้ฟังว่าเป็นญาติเพียงผู้เดียวในรุ่นที่เขาให้ความสำคัญ แต่ข้าไม่สามารถขจัดพิษนี้ได้ ไป๋หลี่จิ่นเฉินเองก็เป็นหมอเทวดาอยู่แล้ว ยังไม่มีทางถอนพิษเลย ข้าจะมีวิธีการอันใดกัน”

 

 

ต่างก็เป็นหมอ ทั้งยังเป็นหมอที่อยู่จุดสูงที่สุดของอาชีพ ความจริงคนที่อยู่ในลำดับขั้นนี้ ความรู้ก็พอๆ กันแล้ว ซือหม่าหรุ่ยไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย

 

 

แต่ว่าเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้

 

 

ซือหม่าหรุ่ยกล่าวกับเยี่ยเม่ย “ความจริงที่ข้าพูดถึงเขาให้เจ้าฟังยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง เจ้ายังจำซูจิ่นผิงที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังครั้งก่อนได้หรือเปล่า สตรีผู้ละโมบงกเงินผู้นั้นน่ะ!”

 

 

“จำได้!” เยี่ยเม่ยย่อมไม่มีทางลืม นางคิดว่าอีกฝ่ายก็คือเยาเนี่ยอย่างแน่นอน

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยว่า “ไป๋หลี่จิ่นเฉินคือลูกชายของนาง!”

 

 

ทันทีที่เยี่ยเม่ยได้ฟังคำพูดนี้ เดิมทีนางก็สนใจเรื่องของไป๋หลี่จิ่นเฉินเพราะไป๋หลี่ซือซิว วินาทีนี้ก็ยิ่งสนใจเข้าไปใหญ่

 

 

นางเอ่ยถาม “เจ้าตั้งใจเล่าให้ข้าฟัง เพราะในใจเจ้าคิดว่า ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทางโดยสิ้นเชิงใช่ไหม”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยยิ้มร้าย ตอบ “ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ! เจ้าน่าจะรู้จักสำนักเทียนจีสินะ สำนักเทียนจีคือองค์กรลึกลับที่สุดในโลก คนทั่วหล้าต่างรู้ว่าพวกเขาล่วงรู้ความลับสวรรค์ แต่ก็มีคำเล่าลือว่า พวกเขารู้เรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้ ดังนั้นข้ากำลังคิดว่า…”

 

 

“เจ้ากำลังคิดว่า บางทีอาจจะใช้เสินเซ่อเทียนหรืออาจารย์ข้าเพื่อสืบดูว่าสำนักเทียนจีมีวิธีแก้พิษหรือไม่” เยี่ยเม่ยมองอีกฝ่าย

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรีบพยักหน้า “ถูกต้อง ใช่แล้ว!”

 

 

เยี่ยเม่ยคิดๆ แล้วตอบว่า “อาจารย์ข้าไปเซ่นไหว้ศิษย์พี่สาม ตอนนี้ยังไม่กลับมา รอเขากลับมาข้าค่อยถาม”

 

 

“ได้!” ซือหม่าหรุ่ยถอนใจ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขได้ในยามนี้แล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยเสริมขึ้นอีกว่า “หากมีโอกาส ข้าจะลองถามเสินเซ่อเทียนดู!”

 

 

ไม่ว่าเห็นแก่หน้าเยาเนี่ยหรือเห็นแก่หน้าไป๋หลี่ซือซิว เรื่องนี้หากนางช่วยได้ ก็ไม่มีทางนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือแน่

 

 

“อืม!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้ง

 

 

เยี่ยเม่ยกลับถึงห้องตัวเอง ศึกษาของที่จงซานมอบให้นาง ระหว่างที่นางทำศึกกับต้ามั่ว อำนาจทางทหารของเป่ยเฉินก็มีการโยกย้ายใหม่

 

 

สถานการณ์การทหารในวันนี้ ความจริงค่อนข้างเป็นปึกแผ่น กำลังที่สำคัญอยู่ในกำมือฮ่องเต้และเป่ยเฉินเสียง นอกจากนี้ยังมีแม่ทัพสี่คนที่ถือกำลังทางทหารกระจายกันจำนวนไม่มาก เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วพวกเขามีกำลังทหารทั้งสิ้นสี่แสนกว่า

 

 

จำนวนทหารในมือของเป่ยเฉินเสียงยามนี้มีทั้งหมดหกแสนกว่า ฮ่องเต้มีเพียงสี่แสนกว่าเท่านั้น

 

 

ในมือเยี่ยเม่ยมีตราพยัคฆ์ควบคุมกำลังชายแดนจำนวนสองแสนนาย

 

 

แต่ฮ่องเต้อยู่เหนือกำลังทหารของแม่ทัพทั้งสี่ พวกเขาต่างจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ดังนั้นเท่ากับฮ่องเต้มีกำลังทหารทั้งสิ้นแปดแสนนาย

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็แจ่มแจ้ง

 

 

ทั้งนับว่าเข้าใจสาเหตุที่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฮ่องเต้ก็ไม่กล้ายกอำนาจทหารชายแดนจำนวนสองแสนนายให้เป่ยเฉินเสียง เมื่อยกให้แล้ว เขาก็จะมีขุมพลังที่เท่าเทียมกับฮ่องเต้แล้ว

 

 

ดังนั้น

 

 

ตอนนี้นางควรทำอะไรกัน คิดจะแย่งกำลังทหารมาจากฮ่องเต้หรือ ก็คงเป็นไปไม่ได้มากนัก ตามความหมายของไป๋หลี่ซือซิว ความจริงแล้วราชสำนักเป่ยเฉินเพิ่มกำลังทหารแล้ว มีจำนวนมากกว่าตอนที่นางเพิ่งมาถึงยุคสมัยแห่งนี้มาก

 

 

นั่นก็หมายความว่าทั้งฮ่องเต้และเป่ยเฉินเสียงต่างก็กำลังเคลื่อนไหว คิดครอบครองกำลังทหารให้มากขึ้น

 

 

ฮ่องเต้ยังป้องกันระแวงเป่ยเฉินเสียงไม่มากก็น้อย อย่างนั้นการแย่งอำนาจทางทหารจากมือฮ่องเต้มาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฮ่องเต้ต้องหวังจะให้มีกำลังมากพอในการควบคุมเป่ยเฉินเสียง

 

 

ดังนั้นควรลงมือจากที่ใดดี

 

 

เยี่ยเม่ยมองรายชื่อ ในที่สุดก็เหยียดยิ้มออก สายตาจับอยู่ที่ชื่อเป่ยเฉินเสียง ในเมื่อฮ่องเต้มีใจป้องกันเป่ยเฉินเสียง ไม่สู้ฉกฉวยประโยชน์จากความระแวงนี้ แย่งชิงอำนาจทางทหารในมือเป่ยเฉินเสียงมา…

 

 

……

 

 

จวนจงซาน

 

 

จงซานต้อนรับเซี่ยโหวเฉินด้วยความงุนงงไปยกหนึ่ง ทั้งยังอดไม่ไหวถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องน้อยมีการคบหากับบุตรสาวของข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

 

เซี่ยโหวเฉินส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา เอ่ยยิ้มๆ “ได้ยินมานานว่าแม่นางจงเป็นยอดหญิง ข้าน้อยรู้สึกเลื่อมใส แต่ไร้วาสนาได้พบ หากต้าซือคงอนุญาตให้พบ ข้าย่อมดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!”

 

 

จงซานได้ฟัง ก็เข้าใจเสียที

 

 

สิ่งที่เซี่ยโหวเฉินต้องการแต่งงานด้วยหาใช่จงรั่วปิง แต่เป็นฐานะของนาง เป้าหมายของอีกฝ่ายชัดเจนมาก ต้องการเป็นลูกเขยของตน

 

 

จงซานนิ่งไปเล็กน้อย มองเซี่ยโหวเฉินยิ้มตอบ “ความจริงฐานะของท่านอ๋องแต่งงานกับลูกสาวข้ายังนับว่านางอาจเอื้อมด้วยซ้ำ เพียงแต่นางมีนิสัยเอาแต่ใจ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องรอนางกลับมา ให้ข้าปรึกษากับนางเสียก่อน ถึงตอบท่านอ๋องได้ หวังว่าท่านอ๋องจะอภัยด้วย!”

 

 

เซี่ยโหวเฉินหัวเราะ “ใต้เท้าจงรักบุตรสาวเท่าชีวิต ไม่เสียดายที่จะล่วงเกินฝ่าบาทและองค์ชายใหญ่เพราะนาง ขุนนางและประชาชนต่างก็รู้เรื่องนี้ ไฉนข้าจะไม่ทราบได้ ข้าย่อมไม่สร้างความลำบากใจให้ใต้เท้าจง ท่านตรองให้ดีก็พอแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน หากใต้เท้ามีข้อสรุปเมื่อไร แจ้งให้ข้าทราบก็พอ!”

 

 

“เชิญ!”

 

 

จงซานรีบเอ่ยปากส่งเซี่ยโหวเฉินจากไป

 

 

เซี่ยโหวเฉินเองก็ยิ้มรับ โบกพัดเบาๆ เดินจากมา เขามองออกว่าจงซานหาได้ปฏิเสธข้อเสนอของเขา ดังนั้นเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จ

 

 

หลังจากเซี่ยโหวเฉินจากมา

 

 

บ่าวข้างกายจงซานรีบถาม “ใต้เท้า ท่านคิดจะไตร่ตรองให้คุณหนูแต่งงานกับท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวจริงหรือ”

 

 

“ยังมีอะไรให้คิดอีกเล่า เซี่ยโหวเฉินเป็นอ๋อง หาใช่คนตระกูลเป่ยเฉิน ไม่มีข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ใดกับพวกเรา ยามที่ราชสำนักจงเจิ้งถูกทำลาย บิดาของเขาและตัวเขามิได้ร่วมด้วย ดังนั้นก็ไร้ซึ่งความแค้น กอปรกับเขาเป็นคนมีความสามารถ หากปิงปิงแต่งกับเขา ข้าก็วางใจ!” จงซานแสดงความเห็นออกมา

 

 

เขาเสริมต่อว่า “ปีนั้นฝ่าบาททรงดึงดันหมั้นหมายปิงปิงกับองค์ชายใหญ่ ข้าพยายามบ่ายเบี่ยงหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ ต่อมาข้าคิดว่าอย่างไรอายุนางก็ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม จึงรอก่อนค่อยหาวิธี ยังดีที่ปิงปิงไม่ยินยอมเช่นกัน เรื่องนี้ถึงปัดออกไปได้…ยามนี้..”

 

 

จงซานคิดแล้ว สายตาก็ล้ำลึกลง “ฮ่องเต้ไม่มีทางไม่กังวลว่าข้าจะร่วมมือกับคนอื่น ดังนั้นไม่แน่ว่าเขาจะวางแผนเรื่องงานแต่งของปิงปิงในไม่ช้า แทนที่จะรอให้เขาลงมือ ไม่สู้ข้าชิงจัดการเสียก่อน”

 

 

“ใต้เท้ามีสายตากว้างไกล เพียงแต่คุณหนูจะยอมหรือ” ผู้ติดตามถามขึ้น

 

 

จงซานยักไหล่ “อย่างนั้นก็ต้องอยู่ที่นางแล้ว รอนางกลับมาก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”

 

 

 

 

เวลาสองวัน ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว