วันนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญ
รุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้เยี่ยเม่ยต้องให้คำตอบ นางมองจันทร์ทอแสงบนฟ้าก็รู้ว่าวันนี้คือวันที่สิบห้า ในใจสับสนวุ่นวายเป็นที่สุด สติปัญญาบอกนางว่าควรเลือกกูเยว่อู๋เหิน สติปัญญาบอกนางว่าต่อให้ต้องเลือกเป่ยเฉินอี้ นางก็ไม่สมควรเลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
แต่ในเวลานี้นางกำลังลังเล
บางทีอาจบอกว่าในใจนางมีความหวังที่ไม่ควรเกิดขึ้นอยู่เล็กๆ ทั้งยังมีความไม่ยินยอมแฝงอยู่ด้วย
เยี่ยเม่ยกำหมัดแน่น
จากนั้นก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเอง นางรู้ดีว่าใจตนอยากคว้าอะไรเอาไว้ ทั้งยังกลัวว่าจะสูญเสียไปเพราะเหตุนี้
สุดท้ายเยี่ยเม่ยก็กลับขึ้นเตียงนอน
ผ่านไปจนค่อนคืน เมื่อถึงยามจื่อ เยี่ยเม่ยก็ยังไม่หลับ ความจริงคืนนี้คนที่นอนไม่หลับไม่ได้มีแต่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินอี้ กูเยว่อู๋เหิน แม้กระทั่งเสินเซ่อเทียนต่างก็นอนไม่หลับ ขึ้นไปนอนอยู่บนหลังคาเรือนด้วยกันทั้งสิ้น
อาการนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน
เมื่อถึงครึ่งคืนหลัง เยี่ยเม่ยก็เริ่มทนไม่ไหว นางค่อยหลับไป
ค่ำคืนนี้นางตกอยู่ในฝันยาวนานเรื่องหนึ่ง ฝันเห็นพิธีฉลองแต่งงาน ใบหน้าแขกเหรื่อประดับประดาด้วยรอยยิ้มยินดี นางหาใช่เจ้าสาวแต่เป็นผู้ชม คล้ายดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้าง
นางเห็นกูเยว่อู๋เหินแต่งงานกับสตรีนางหนึ่ง
เรือนผมนางคลุมด้วยผ้าแดง มองไม่เห็นรูปโฉม แต่เยี่ยเม่ยกลับตระหนักได้ว่า สตรีนางนั้นคือตัวนาง
ชั่วขณะนั้นสายตานางส่องไปรอบๆ
เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขายืนอยู่ที่มุมหนึ่งมองคนทั้งสองทำพิธีไหว้ฟ้าดิน ในดวงตาเผยแววเจ็บปวด ทำเอาเยี่ยเม่ยที่ได้เห็นเจ็บปวดเสียใจแทบขาด หัวใจนางกระตุกคล้ายมีคนเอามีดแทงทะลุหัวใจ ทั้งยังกระหน่ำแทงซ้ำๆ คิดเอาชีวิตนาง คิดทำให้นางเจ็บหัวใจจนตาย
เยี่ยเม่ยรู้สึกขาดอากาศ
ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นงานมงคลอื่นอีกครั้งหนึ่ง คนแต่งงานไม่ใช่นางแล้ว เยี่ยเม่ยเห็นตัวเองนั่งอยู่ในตำแหน่งแขก มองเจ้าสาวเดินผ่านหน้าไป
นั่นก็คือหลินซูเหย่า
นางเห็นหลินซูเหย่าเดินผ่านหน้าตน เตือนนางออกมาทีละคำๆ ว่าอย่าแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก หากแต่งไปแล้ว ชีวิตก็จบสิ้น
นางมองหลินซูเหย่าคลุมผ้าแดง นั่งเกี้ยวออกจากเมืองไป
เยี่ยเม่ยคล้ายเป็นวิญญาณล่องลอย มองไม่เห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ หลินซูเหย่าร้องไห้ตลอดทางที่ออกจากเมือง ฝังความรักที่จากไปชั่วนิรันดร์
เสี้ยววินาทีนี้
เยี่ยเม่ยพลันเจ็บหัวใจอย่างทนไม่ไหว บางทีนางอาจเห็นหลินซูเหย่าเป็นตัวเองอีกคนหนึ่ง
ขณะที่ขาดอากาศหายใจนั้น
นางก็สะดุ้งตื่นมาด้วยความแตกตื่น ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ปาดน้ำตาที่หางตา ไม่รู้เป็นเวลาใดแล้ว นางร้องไห้น้ำตานองอยู่ในฝัน
เยี่ยเม่ยเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง
ยามนี้ฟ้ายังไม่สาง แสงจันทร์นอกหน้าต่างฉายกระทบลงที่มือ นางอึ้งไปเมื่อเห็นน้ำตากลางฝ่ามือตน ชั่วอึดใจนั้นคำพูดทั้งหลายได้มลายสูญสิ้น ไม่หลงเหลือความง่วงเหงาหาวนอนอีก เยี่ยเม่ยพิงเตียงมองความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน เข้าสู่ภวังค์ความคิด
…
สิ่งที่ต่างไปจากนางก็คือ คืนนี้บุรุษรูปงามทั้งสี่ไม่ได้หลับเลยสักงีบ จึงไม่มีโอกาสฝัน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกน่าขันนัก ต่อให้เป็นวัยเด็กที่มักถูกคนกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ เขาก็ยังไม่เคยนอนไม่หลับมาก่อน
เสินเซ่อเทียนถูกปล่อยทิ้งให้หิวโหยเป็นเวลาเดือนกว่าเป็นเรื่องปกติ จนเขาหลงคิดว่าไม่ว่าจะทรมานเพียงไหน ขอเพียงนอนหลับก็ไม่ทรมานอีกแล้ว
กูเยว่อู๋เหินนั้น…
เขาฝันร้ายไม่หยุดแค่ช่วงที่บิดามารดาของเขาตายอย่างน่าอนาถจนไม่กล้านอนหลับ เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งปีเต็มก็เริ่มหาย นอกนั้นก็ไม่มีอาการนอนไม่หลับมาก่อน
ในคืนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็นอนไม่หลับ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เคยสงสัยในความจริงใจที่เขามีให้เยี่ยเม่ย ดังนั้นเขานอนไม่หลับเพราะไม่อาจสงบใจได้ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่น่าแปลกใจเลยสักน้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังกลัวว่าหากหลับไปแล้ว ฝันว่าเยี่ยเม่ยอยู่ในท้องพระโรงไม่เลือกเขา ยิ่งทำให้เขาไม่กล้านอนเข้าไปใหญ่
ตลอดชีวิตนี้เสินเซ่อเทียนไม่เคยสนใจสตรีนางไหนมาก่อน คราวนี้เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองหวั่นไหวให้เยี่ยเม่ยจริงๆ ก็ถูกเรื่องอาหารที่เขาชอบกินทั้งหลายก็ยินยอมแบ่งให้กับนาง ไฉนไม่เรียกว่าจริงใจ
ส่วนกูเยว่อู๋เหินกลับรู้สึกประหวั่นอยู่บ้าง เมื่อก่อนเขาหลงคิดว่าตัวเองรู้สึกกับเยี่ยเม่ยแค่สหายรู้ใจ ได้ครอบครองก็ถือเป็นโชคดี แต่เมื่อเขาตระหนักได้ว่า คืนนี้เขาจิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่ง่วงเลยสักนิด ตะขิดตะขวงใจเหมือนถูกมดกัด
เขาค่อยเข้าใจว่าเยี่ยเม่ยมีความสำคัญในใจเขามากกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนี่คือความรักงั้นหรือ
กูเยว่อู๋เหินไม่แจ่มแจ้ง แต่ที่เขาเข้าใจกระจ่างก็คือหากเยี่ยเม่ยมิได้เลือกตัวเอง เขาจะต้องเสียใจมากแน่นอน หัวใจที่เหมือนถูกมดกัดนี้ บางทีอาจโหวงเหวงว่างเปล่า คล้ายถูกหนอนชอนไชไปจนหมด
เทียบกับพวกเขาแล้ว
เป่ยเฉินอี้นอนไม่หลับเป็นนิจ ความจริงตั้งแต่สี่ปีก่อน หลังจากจงเจิ้งซีตกแม่น้ำ นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยหลับสนิท สำหรับเขาแล้วการนอนไม่หลับเป็นเรื่องปกติคล้ายกินข้าว หากมีวันไหนที่เขานอนหลับสบายได้ เขาถึงรู้สึกว่าแปลกด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่นางเลือกสามี
เขาพลิกตัวไปมาบนเตียง หลังจากนอนไม่หลับก็ล้มเลิก ลุกขึ้นมาวางกระดานหมากไว้ตรงหน้า
ส่วนคนเดินหมากนั้นก็มีเขาเพียงผู้เดียว
เขายังคงเดินหมากกับตัวเองเหมือนเคย เพียงแต่ครั้งนี้เขาลองคิดในมุมของเยี่ยเม่ย ทุกหมากที่ก้าวเดินล้วนสมมติว่าเป็นเยี่ยเม่ยจะเดินอย่างไร
คล้ายกับการเลือกครั้งนี้
เขาวางข้อได้เปรียบตัวเองลงบนกระดาน รวมไปถึงความได้เปรียบที่เป็นไปได้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและกูเยว่อู๋เหิน รวมถึงวางกำลังของเสินเซ่อเทียนลงไปด้วย
จากนั้น
ยามวางหมากตัวสุดท้าย หัวใจของเป่ยเฉินอี้พลันว่างเปล่าแล้ว
เขามองกระดานหมาก หัวเราะเบาๆ ออกมา
มีแต่เขาที่เข้าใจ เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องตลกร้าย มองจากกระดานแล้ว จากความเข้าใจที่เขามีต่อเยี่ยเม่ย จากความเข้าใจต่อจิตใจมนุษย์
ก้าวต่อไปของเยี่ยเม่ยมีสองตัวเลือก
แต่ว่าสองตัวเลือกนี้…
ล้วนไม่ใช่เขา
จู่ๆ เป่ยเฉินอี้ก็ปัดหมากบนกระดานจนปนเปกัน มองชิงเกอที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง บ่าวข้างกายไม่เคยเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนี้มากก่อน ข้าก็อ่านสถานการณ์บนกระดานหมากของท่านอ๋องไม่ออกด้วย
ยามนี้เป่ยเฉินอี้พลันถามชิงเกอ “ชิงเกอ ชั่วชีวิตข้านอกจากคาดการณ์ผิดในครั้งนั้นเรื่องที่ข้าหลงรักอาซีแล้ว ยังมีเรื่องที่ผิดพลาดอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่มี!” ชิงเกออยู่สึกจุกอยู่ที่ลำคอ คาดเดาอะไรบางอย่างได้
เป็นอย่างที่คาดไว้
เป่ยเฉินอี้หัวเราะอย่างขมขื่น “อย่างนั้น ครั้งนี้ข้าหวังว่าตัวเองจะคำนวณผิดพลาดแล้ว!”