ชั่วชีวิตเขาไม่เคยคำนวณผิดพลาด อาศัยความพิสดารสร้างชื่อเสียง

 

 

ครั้งเดียวที่เขาพลาดไปคือ เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกหลุมรักอาซี นอกจากนั้นก็ไม่เคยผิดมาก่อน เขาคิดมาตลอดว่าสำหรับตัวเขาเองแล้วเรื่องนี้เป็นความภาคภูมิใจ

 

 

เป็นจุดที่คนทั่วหล้าต่างอิจฉาเขาจริงๆ

 

 

แต่ในเวลานี้…

 

 

ครั้นมองกระดานที่ถูกตนล้างจนหมากขาวดำร่วงเต็มพื้น คิดถึงคำตอบที่เขาคิดคำนวณออกมา จู่ๆ เขาก็หวังว่าชีวิตของตนคำนวนผิดพลาดเสมอ ผลที่ออกมาจะต่างจากที่คิดไว้มาก

 

 

อย่างนั้นเวลานี้ต่อให้คาดคิดผลลัพธ์ทั้งสองออกมาได้

 

 

ในใจเขาก็ไม่ต้องสิ้นหวังถึงเพียงนี้แล้ว

 

 

สิ้นหวังขนาดไหน…….

 

 

สิ้นหวังถึงขั้นหนาวเหน็บไปทั้งสรรพางค์กาย หัวใจจมดิ่งอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เจ็บจนไร้ความรู้สึก คล้ายกับคนที่สูญเสียทุกอย่างไปตั้งแต่แรก จากนั้นก็สูญสิ้นความหวังสุดท้ายไปอีก

 

 

เป่ยเฉินอี้พลันกำชายเสื้อแน่น ถามเสียงขรึมว่า “ชิงเกอ เจ้าว่ายามที่ราชสำนักจงเจิ้งล่มสลาย อาซียังเจ็บใจกว่าข้าในยามนี้หรือไม่”

 

 

ชิงเกอพูดไม่ออกในบัดดล

 

 

ผ่านไปสักพัก ตอบเบาๆ ว่า “ท่านอ๋อง ท่านเคี่ยวกรำตนเองมาตลอดสี่ปี ความจริงหาใช่ความผิดของท่านทั้งหมด ฝ่าบาทต่างหากที่มีส่วนต้องรับผิดเรื่องเหล่านี้มากที่สุด!”

 

 

ตามความเป็นจริงแล้ว ในสถานการณ์ปกติหลังจากโจมตีแคว้นหนึ่งแตกแล้ว ก็จะไม่สังหารเชื้อพระวงศ์ของศัตรูอโดยง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายามนั้นฮ่องเต้จงเจิ้งยินยอมเปิดประตูวังเพื่อจำนน แต่ฝ่าบาทกลับทำเรื่องฆ่าล้างเมืองเพราะโทสะ เพราะความไม่ยินยอมของตัวเอง

 

 

เรื่องนี้โทษว่าเป็นความผิดของท่านอ๋องได้ทั้งหมดหรือ

 

 

ท่านอ๋องเป็นผู้รับผิดชอบวางแผนการ แน่นอนว่ามีความผิด แต่ว่า…เมื่อคิดถึงสิ่งที่ท่านอ๋องทำเพื่อช่วยชีวิตจงเจิ้งซีในปีนั้น พลาดทุกสิ่งไปรวมถึงโอกาสได้ครองบัลลังก์ ชิงเกอก็รู้สึกว่าคนเราล้วนเห็นแก่ตัว ในฐานะบ่าวผู้ภักดีต่อท่านอ๋อง ย่อมสงสารท่านอ๋องมากกว่า

 

 

“หากมิใช่ข้า อาศัยเพียงเสด็จพี่ บางทีชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจตีราชสำนักจงเจิ้งแตกได้!” เป่ยเฉินอี้ถอนใจเบาๆ

 

 

สุดท้ายเขามองหมากบนพื้น

 

 

เอ่ยเสียงขรึมว่า “ช่วยข้าเก็บกวาดด้วย”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

ชิงเกอรีบสั่งการให้คนเข้ามาทันที

 

 

รอจนเก็บกวาดเรียบร้อย บ่าวรับใช้ออกไป เป่ยเฉินอี้เดินมาข้างหน้าต่าง มองจันทร์เดียวดายบนฟ้า ในที่สุดชิงเกอก็ทนไม่ไหวถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านคาดการณ์ได้ว่า สุดท้ายแล้วคนที่แม่นางเยี่ยเม่ยจะเลือกไม่ใช่ท่านหรือ”

 

 

“ถูกต้อง!”

 

 

เป่ยเฉินอี้ไม่คิดปฏิเสธ

 

 

เขาแหงนหน้ามองจันทร์ ผมดำขลับถูกเกล้าขึ้น สูงสง่าเหนือใคร เผยความเป็นราชันย์ออกมา แต่บนใบหน้ากลับไร้ซึ่งความสุขุมและทรงอำนาจอย่างที่ควรมีในยามปกติ มีเพียงความผิดหวังของบุรุษผู้หนึ่ง

 

 

เขาหัวเราะอย่างขมขื่น เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเมื่อก่อนข้าคาดการณ์ไม่ถูก เช่นนั้นวันนี้ข้ายังบอกให้ตัวเองเฝ้ารอปาฏิหาริย์ได้”

 

 

แต่เขาดันไม่เคยผิดพลาดมาก่อน

 

 

ดังนั้นเทียบกับคนอื่นที่มีความหวังแล้ว เขาไม่มีแม้แต่หวังเลย

 

 

สุดท้ายเป่ยเฉินอี้หลับตาลง

 

 

ชิงเกอโพล่งถามอย่างอดใจไม่ไหว “ท่านอ๋อง หากเป็นเช่นนี้…แม่นางเยี่ยเม่ยไม่มีทางเลือกท่าน ต่อไปท่านคิดจะ…”

 

 

เป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ย หรือว่าอย่างไร

 

 

ลมหนาวพัดเข้ามา เป่ยเฉินอี้ไอโขลก เขาปิดปากตัวเองกลางฝ่ามือเปื้อนเลือด เขายืนยันเสียงขรึมว่า “ชิงเกอ ข้าไม่มีทางทำร้ายนางอีกเป็นครั้งที่สอง”

 

 

ชิงเกอก็เข้าใจแล้ว

 

 

จากนั้นมองเลือดกลางฝ่ามือเป่ยเฉินอี้ เขากลับขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ช่วงนี้สุขภาพท่านย่ำแย่ลงทุกวัน ไอเป็นเลือดอยู่เรื่อย ข้ารู้ว่ามีหลายครั้งที่ท่านไม่ยอมดื่มยา แล้วข้าก็รู้เช่นกันว่า เพราะท่านติดค้างองค์หญิงซี ท่านถึงคิดใช้โอกาสนี้เพื่อจบชีวิตตัวเองไวขึ้น แต่ว่าขอให้ข้าน้อยได้พูดตามตรงบ้าง…”

 

 

ชิงเกอมีสีหน้าจริงจัง “หนทางภายหน้าขององค์หญิงซียิ่งยากลำบาก นางไร้อำนาจในราชสำนักเป่ยเฉิน การศึกชายแดนจบแล้ว ไม่ช้าฝ่าบาทก็จะริบเอาอำนาจทางทหารคืนกลับมา ต่อให้ท่านคิดชดใช้ความผิด คิดช่วยนาง ท่านก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเองด้วย ไม่เช่นนั้นยามเกิดเรื่องกับนาง ท่านล้มป่วยแล้ว เรื่องนี้จะตึงมือยิ่ง! ไม่ว่าอย่างไรคู่ต่อสู้ของนางก็คือเสินเซ่อเทียน”

 

 

ส่วนเซี่ยโหวเฉิน

 

 

ในฐานะปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน เป็นมันสมองให้กับฝ่าบาท คนทั่วหล้าที่ควบคุมเซี่ยโหวเฉินได้มีไม่กี่คนเท่านั้น หากท่านอ๋องล้มลง สำหรับเยี่ยเม่ยแล้ว เส้นทางข้างหน้าจะยิ่งยากลำบาก

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว ก็เงียบไปสักพัก

 

 

ท้ายที่สุดก็สั่งว่า “ไปเอายามาเถอะ”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

ในที่สุดชิงเกอก็คลายใจได้เปลาะหนึ่ง รีบไปยกยามา

 

 

……

 

 

ฟ้าสางแล้ว

 

 

เหล่าขุนนางผู้รอชมต่างมีใจเตรียมสอดรู้สอดเห็น วันนี้ต่างลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้าตรู่ อยากเข้าวังรอดูว่าเยี่ยเม่ยจะเลือกอย่างไร สำหรับงานแต่งงานที่โด่งดังสะท้านไปทั่วเมืองหลวงครั้งนี้ สุดท้ายจะตกอยู่ที่ตระกูลไหนกันแน่

 

 

หลังจากเยี่ยเม่ยตื่นนอนได้ชั่วยามกว่า เห็นท้องฟ้าภายนอกสว่างแล้วก็ลุกจากเตียง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยนำชุดขุนนางเข้ามาวางที่โต๊ะของเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “นี่คือชุดประจำตำแหน่งอ๋องและหมวกของเจ้า เมื่อคืนทางวังหลวงเพิ่งตัดเย็บเสร็จให้คนส่งมา ข้ารู้ว่าเมื่อคืนจิตใจเจ้าต้องสับสนว้าวุ่น และนี่ไม่ใช่ราชโองการ ข้าช่วยรับไว้ให้เพราะไม่อยากรบกวนเจ้า จากความหมายของขันทีที่นำชุดมาส่งก็คือชุดขุนนางตัดเย็บแล้ว วันหยุดในการเลือกสามวันของเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว นับจากวันนี้ไปเจ้าต้องไปประชุมแล้ว!”

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า “เข้าใจแล้ว!”

 

 

ความจริงนับตั้งแต่สี่ปีก่อนที่นางตกแม่น้ำหมิง หลังจากไปอยู่ข้างกายพวกลูกพี่ น้อยครั้งที่นางจะตื่นตรงเวลาตั้งแต่ฟ้าสาง ปกตินางตื่นตามนาฬิกาชีวิตของตัวเอง นอนถึงกี่โมงก็ตื่นยามนั้น

 

 

แต่นับจากวันนี้ไป นางต้องไปเข้าเฝ้าเช้าในวังทุกวัน ตั้งใจเป็นขุนนางเข้าประชุมเช้า

 

 

แต่นี่คือเรื่องที่นางในยามนี้เฝ้ารอ!

 

 

นางลุกขึ้นแต่งกายชุดราชการอย่างรวดเร็ว ปกตินางยืนตัวตรงเผยไปด้วยพลังอำนาจ ทั้งยังสูงกว่าสตรีทั่วไปเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อสวมชุดขุนนางขึ้นมาแล้ว กลับสง่างาม ดูแล้วองอาจมีบุคลิกโดดเด่น

 

 

ซือหม่าหรุ่ยมองแล้วก็พยักหน้าติดกันหลายครั้ง อดเอ่ยไม่ได้ว่า “ข้าอยากเห็นวันที่เจ้าสวมชุดมังกรเสียจริงว่าจะเป็นอย่างไร!”

 

 

นางเชื่อว่า เยี่ยเม่ยต้องกอบกู้บ้านเมืองสำเร็จ จากนั้นกลายเป็นฮ่องเต้หญิงสวมภูษามังกร

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย กลับหัวเราะเบาๆ ไม่พูดมาก ล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกจากจวนไป

 

 

ยามมาถึงหน้าประตู ซือหม่าหรุ่ยถามอย่างอดไม่ไหว “เยี่ยเม่ย เจ้ามีคำตอบแล้วหรือยัง”

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า พยักหน้า “อืม มีแล้ว”

 

 

……

 

 

ยามขุนนางทั้งหลายเห็นเยี่ยเม่ยเดินผ่านหน้า เห็นบุคลิกของนาง ในใจก็รู้สึกสยบ เดิมพวกเขายังคิดว่าสตรีนางหนึ่งสวมชุดขุนนางจะไม่เหมาะสม ผลคือนึกไม่ถึงว่าผู้อื่นสวมแล้วยังดูโอ่อ่ากว่าพวกเขาเสียอีก โดยเฉพาะพวกที่ดูแคลนเยี่ยเม่ยที่เป็นสตรี ยามนี้ยังไม่มีอะไรไม่พอใจ

 

 

บนท้องพระโรง คนทั้งหมดล้วนมาครบถ้วน

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเยี่ยเม่ย…