ตระกูลกู้นั้นมีชื่อเสียงดีมาโดยตลอด ทั้งไม่เคยได้ยินว่ามีบุตรหลานคนใดประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างกะทันหัน แล้วก็ไม่เคยได้ยินว่ามีบุตรหลานไปเกี่ยวดองกับตระกูลขุนนางผู้มีอิทธิพลตระกูลใดมาก่อน
แล้วเหตุใดเฉิงจิงถึงต้องการทาบทามให้เฉิงอี้ไปสู่ขอกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยนะ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยังคงไม่เข้าใจต่อให้ครุ่นคิดมาแล้วกว่าร้อยครั้งก็ตาม
เฉิงเหมี่ยนกล่าว “หรือว่าควรจะเขียนจดหมายไปถามน้องเขยดู เขารับราชการอยู่ในราชสำนัก อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป่าติ้ง ไม่ถึงหนึ่งวันก็น่าจะทราบข่าวคราวของเมืองหลวงแล้ว”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ่งแล้วใหญ่กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เช่นนั้นน่าจะถือโอกาสตอนที่เรื่องนี้ยังไม่ถูกเปิดเผยออกไปคุยกับท่านน้องเขยโจวโดยตรงไปเลย กำหนดเรื่องงานแต่งของเสาจิ่นกับอี้เกอเอ๋อร์ให้แล้วเสร็จเสีย”
คนเรานั้นยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งกลัวปัญหา
“พูดเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลดเสียงลงกล่าวตำหนิอย่างอดไม่ได้ “นายท่านใหญ่จิงเขียนจดหมายมาให้พวกเรา เจ้ากล้ารับประกันหรือไม่ว่าเขาจะไม่เขียนจดหมายไปให้ตระกูลกู้ด้วย เสาจิ่นกับอี้เกอเอ๋อร์ของพวกเรายังไม่ได้หมั้นหมายกัน คนนอกอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่คนในซอยจิ่วหรูจะไม่รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ เจ้าจะให้นายท่านใหญ่จิงคิดอย่างไร แทนที่จะทำให้นายท่านใหญ่จิงรู้สึกว่าพวกเราใช้เสาจิ่นมาเป็นข้ออ้างเรื่องงานแต่งของอี้เกอเอ๋อร์ ไม่สู้เลือกข้อเสียของตระกูลกู้สักข้อแล้วตอบนายท่านใหญ่จิงไปตามตรงยังจะดีเสียกว่า นายท่านใหญ่จิงยังจะยอมรับได้มากกว่า ยิ่งกว่านั้นอีกไม่กี่ปีเก้าเกอเอ๋อร์ก็จะต้องลงสนามสอบแล้ว จึงไม่อาจทำให้นายท่านใหญ่จิงขุ่นเคืองใจได้จริงๆ”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นดีกว่า จึงอยากจะเก็บโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยความมาดมั่น โดยเฉพาะหลังจากที่โจวเสาจิ่นไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้ว กิริยาท่าทางและการจัดการเรื่องต่างๆ ล้วนเปลี่ยนไปอย่างมาก ในความสุภาพนุ่มนวลนั้นมีความสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูรักใคร่จริงๆ
นางได้ยินเช่นนั้นแล้วก็พึมพำกล่าวเสียงเบาว่า “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ หรือว่าพวกเราจะมองอี้เกอเอ๋อร์แต่งคุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เข้ามาโดยไม่ทำอะไรเลยจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเองก็ไม่ยินยอม
คุณหนูจากตระกูลกู้ไม่ค่อยมีสินติดตัวอะไรเท่าใด นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วทั้งเมืองจินหลิงต่างทราบกันดี ตรงกันข้ามหลายปีมานี้โจวเจิ้นประสบความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่สินติดตัวของพี่น้องตระกูลโจวก็ยิ่งมีมูลค่ามากขึ้น อีกทั้งจวงซื่อผู้เป็นมารดาของโจวเสาจิ่นก็เป็นคนในของดวงใจของโจวเจิ้น ถึงแม้จะไม่มีสินติดตัวของจวงซื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรโจวเจิ้นก็ไม่มีทางปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นอย่างอยุติธรรมเป็นแน่ บิดาของคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้เป็นซิ่วไฉที่สอบไม่ผ่านครั้งแล้วครั้งเล่าผู้หนึ่ง มิใช่ว่าเป็นคนดื้อรั้น เพียงแต่ว่าไม่ค่อยฉลาด ส่วนโจวเจิ้นตอนนี้เป็นเจ้าเมืองขั้นสี่แล้ว ยิ่งอยู่อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ…เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นอกจากเรื่องที่ว่าบรรพบุรุษของตระกูลกู้มีชื่อเสียงดี ตระกูลรุ่งเรืองมั่งคั่ง บุตรหลานมากมาย การได้เกี่ยวดองกับตระกูลเช่นนี้เมื่อเจอปัญหาอะไรในภายภาคหน้าจะมีคนจากตระกูลมารดาคอยออกหน้าช่วยเหลือให้ได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าตระกูลโจวเลย
แต่พวกเขาเป็นตระกูลบัณฑิต มิใช่สกุลต่ำช้า พอมีเรื่องยังคิดจะเปรียบว่าตระกูลใดมีคนมากกว่าตระกูลใดแข็งแกร่งกว่าอีกอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึมพำกล่าว “ข้าว่าเรื่องนี้คงต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วย!”
เฉิงเหมี่ยนพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ยังคงเป็นท่านแม่ที่มองได้กว้างไกล ความเป็นมาของเรื่องนี้ เกรงว่าคงมีแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่จะสอบถามสาเหตุที่แท้จริงมาได้แล้วขอรับ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เรื่องไม่อาจรอช้า เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเราไปเรือนหานปี้ซานสักครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังจะเอ่ยอนุญาต ซื่อเอ๋อร์ก็เลิกผ้าม่านขึ้นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “นายท่านใหญ่ นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเจ้าค่ะ!”
ทั้งสามคนต่างตกตะลึงงัน
เฉิงเหมี่ยนกล่าวคาดการณ์ว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่คงมาด้วยเรื่องงานแต่งของอี้เกอเอ๋อร์กับตระกูลกู้กระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้สติคืนกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกบุตรชายว่า “เจ้าหลบไปก่อน ถ้าหากว่าพูดคุยไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ก็คงต้องให้นายท่านอย่างพวกเจ้าช่วยออกหน้าลองดูอีกที”
“ข้าเข้าใจขอรับ!” เฉิงเหมี่ยนประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปจนถึงหน้าประตู กล่าวขึ้นว่า “ท่านเชิญท่านป้าสะใภ้ใหญ่ไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นจะดีกว่า ข้าจะได้ฟังด้วยว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่พูดว่าอะไรบ้าง!”
ห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับห้องนั่งเล่นอยู่ติดกัน ปรกติเวลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาหานั้นเพื่อแสดงความเป็นกันเองแล้ว หากมิใช่ให้การรับรองฮูหยินผู้เฒ่ากัวในห้องชั้นในก็จะอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
ถ้าหากว่าเนื่องจากเฉิงเหมี่ยนเข้าไปหลบอยู่ในห้องชั้นในแล้วต้องพาฮูหยินผู้หยินผู้เฒ่ากัวไปรับรองที่ห้องโถงรับรอง โดยเฉพาะในเวลาที่พวกนางอยากจะเก็บโจวเสาจิ่นเอาไว้ทว่าเฉิงจิงกลับทาบทามตระกูลกู้ให้เช่นนี้ คงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้คนคิดมากได้
แต่ความจริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดมากเกินไปเอง
เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้สังเกตเห็นเรื่องพวกนี้ ต่อให้สังเกตเห็นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ที่นางมาหา ก็เพียงเพื่อมาอธิบายกับจวนสี่ให้กระจ่างสักครั้ง ดังนั้นความสัมพันธ์ของตระกูลเฉิงและตระกูลกู้ทั้งสองตระกูลก็จะยิ่งกระชับแน่นยิ่งขึ้นก็เท่านั้น
นางกล่าวตรงเข้าประเด็นว่า “พวกเจ้าคงโปรดปรานเสาจิ่นมากใช่หรือไม่ ทางด้านของบุตรเขยตระกูลโจว เคยมีการหมั้นหมายปากเปล่าหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของอะไรกันหรือยัง” กล่าวจบ นางยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับกล่าวทอดถอนหายใจว่า “จื่อหมิงคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของซอยจิ่วหรูได้ ก็เลยเขียนจดหมายไปให้ตระกูลกู้ก่อน ตระกูลกู้ทราบเรื่องแล้วก็ยินดีเป็นอย่างมาก จื่อหมิงถึงได้เขียนจดหมายมาให้พวกเจ้า…
…แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ได้…
…เพียงแต่ว่าเขาเป็นนายท่านใหญ่มาจนเคยตัว จะให้เขากลับคำพูดในเวลานี้ เขาก็รู้สึกไม่อาจเสียหน้าได้อยู่บ้างเล็กน้อย ประจวบเหมาะกับข้าให้คนไปสอบถามเขาพอดี เขาจึงมอบหมายเรื่องนี้มาให้ข้า พวกเจ้าจงเล่าเรื่องการหมั้นหมายปากเปล่ากับตระกูลโจวในตอนแรกเริ่มให้ข้าฟัง ข้าจะทำหน้าที่เป็นคนใจร้ายผู้นั้นเอง…
…ความผิดนับพันหมื่นที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นความผิดของจื่อหมิงทั้งนั้น! ทางด้านของตระกูลกู้ พวกข้าจะชดเชยให้พวกเขาเอง พวกเจ้าอย่าได้เป็นกังวลใจ”
จื่อหมิงคือชื่ออย่างสุภาพของเฉิงจิง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนใบหน้าขึ้นสีแดง กล่าวขึ้นว่า “นี่จะตำหนิจิงจื๋อเอ๋อร์ได้อย่างไร เขาเองก็ทำไปด้วยความตั้งใจดี ส่วนเรื่องชดเชยนั้น พวกเราจวนสี่จะออกให้เอง จะสร้างความลำบากให้จวนหลักได้อย่างไร ให้จิงจื๋อเอ๋อร์ออกแรงให้แล้วยังจะต้องออกเงินให้ด้วยอีก”
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากวนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้โจวเสาจิ่นแต่งกับเฉิงอี้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางกลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางเป็นกังวลถึงผลได้ผลเสียอยู่บ้างเล็กน้อย กลัวว่าครอบครัวของตนจะกระตือรือร้นอยู่เพียงฝ่ายเดียว จึงข้ามผ่านเรื่องสิ่งของแลกเปลี่ยนไปอย่างคลุมเครือ พูดถึงแต่เพียงเรื่องชดเชยเท่านั้น
เช่นนี้ถ้าหากว่าตระกูลโจวไม่ยินยอมยกโจวเสาจิ่นให้พวกนาง นางก็ยังมีทางให้ถอยได้อีกเส้นหนึ่ง
แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเอ่ยขึ้นว่า “นี่มิใช่เรื่องของเงินทอง! เกรงว่าจื่อหมิงคงต้องมองหาตำแหน่งในราชสำนักที่เหมาะสมให้บุตรหลานของตระกูลกู้สักสองสามคน ตอนคุณชายเก้าของตระกูลกู้เข้ารับตำแหน่ง ก็ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งเช่นกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและลูกสะใภ้ทั้งสองคนต่างพูดอะไรไม่ออก
การชดเชยเช่นนี้ พวกนางไม่ต้องพูดว่าจะคืนให้แล้ว แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจากไปแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่แต่สามแม่ลูกต่างก็ยังไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เนิ่นนาน เฉิงเหมี่ยนฝืนยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวปลอบโยนมารดาว่า “ก็ถือเสียว่าจวนสี่ของพวกเราติดหนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงของจวนหลักสักครั้งก็แล้วกันขอรับ ต่อไปให้เฉิงอี้เป็นคนตอบแทน”
เรื่องที่ว่าเฉิงอี้จะมีความสามารถไปตอบแทนน้ำใจของจวนหลักนั้น แม้แต่เฉิงเหมี่ยนเองยังไม่เชื่อ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนอีกครั้งหนึ่ง
วันต่อมาจึงเรียกเฉิงเหมี่ยนมาหาแต่เช้าตรู่ กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือไม่ เรื่องงานแต่งของอี้เกอเอ๋อร์นั้นพวกเราค่อยๆ ดูไปอีกที…อย่างไรเสียเด็กๆ ก็ยังอายุน้อยกันอยู่…”
เฉิงเหมี่ยนไม่กล่าวอะไร
เมื่อคืนพวกเขาสองสามีภรรยาก็แทบจะไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เหอซื่อผู้เป็นภรรยายิ่งแล้วใหญ่เน้นย้ำแล้วเน้นย้ำอีกว่านางชอบโจวเสาจิ่น อยากได้โจวเสาจิ่นมาเป็นบุตรสะใภ้ของนางเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นเช่นนั้นแล้วไหนเลยจะคาดเดาความนึกคิดของบุตรชายไม่ออก
นางกล่าวขึ้นอย่างไม่มีทางเลือกว่า “มิใช่ว่าข้าสูญสิ้นความศรัทธาหลงลืมความถูกต้องแล้วต้องการปีนกิ่งไม้ที่สูงกว่า แต่ความอนุเคราะห์ของจวนหลักในครั้งนี้พวกเราตอบแทนไม่ไหวจริงๆ! ชีวิตในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล พวกเรายังมีเรื่องให้ต้องขอร้องจวนหลักอีกมาก ด้วยเรื่องของอี้เกอเอ๋อร์ทำให้จวนหลักเดือดร้อนเช่นนี้ ต่อไปเรื่องของเก้าเกอเอ๋อร์และเรื่องของน้องชายของเจ้าเล่าจะทำอย่างไร”
ไม่ว่าจะเป็นหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนแล้วแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสิ้น!
เฉิงเหมี่ยนกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านให้ข้าลองคิดอีกทีเถิดขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้าอย่างหดหู่ใจ ให้ซื่อเอ๋อร์ออกไปส่งเฉิงเหมี่ยน ส่วนตัวเองไปที่เรือนหานปี้ซาน
ถึงแม้จะเป็นตอนเช้า ทว่าพระอาทิตย์ในช่วงซานฝู[1]กลับโชติช่วงแทงตาผู้คนยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นสวมเสื้อแขนสั้นผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มสีขาวพระจันทร์และเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดง ใบหน้าเล็กขาวเนียนแดงปลั่ง กำลังอาบน้ำให้ลูกสนุขที่ชื่อเสวี่ยฉิวตัวนั้นอยู่ใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ในลานบ้าน
ปี้อวี้ เจินจูและคนอื่นๆ ที่เดิมทีรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวบ้างก็ถือผ้าเช็ดมือเอาไว้บ้างก็ถืออ่างน้ำยืนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
แสงแดดสาดส่องลงมาจากพุ่มต้นไม้อันอุดมแน่นหนา ตกกระทบเป็นดวงๆ ด่างๆ อยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น เสื้อกั๊กปี่เจี่ยสีแดงนั้นดูประหนึ่งเมฆหมอกปกคลุมอยู่บนร่างของนาง
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนราวกับถูกแสงตะวันแผดเผาจนฝ้าฟางแล้วก็ไม่ปาน
นั่นมันผ้าลายหมู่เมฆยามเช้า เป็นเครื่องบรรณาการที่เพิ่งทอขึ้นมาของเมืองหังโจวทางด้านโน้น เพิ่งส่งไปให้ในวังหลวงเมื่อเดือนสี่ที่ผ่านมานี่เอง
ตอนที่ตระกูลเหอนำของขวัญมามอบให้ในช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ฮูหยินใหญ่เหอยังนำผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้มาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเป็นการส่วนตัวหนึ่งผืน ว่ากันว่าที่เมืองหลวงขายผืนละสามสิบเหลี่ยง
นางมองอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
บนข้อมือของโจวเสาจิ่นยังสวมสร้อยข้อมืออัญมณีเอาไว้เส้นหนึ่ง วิจิตรงดงามยิ่ง มีมรกตขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ เพชรตาแมวขนาดเท่าเม็ดบัวก็มี และที่มีมากกว่าเพื่อนก็คือไข่มุกใต้ขนาดเท่าเม็ดข้าว…ร้อยเป็นสร้อยข้อมืออย่างง่ายๆ ผสมปนเปกันทว่าเป็นระเบียบแบบแผน เปล่งประกายหรูหรา งดงามเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่มรกตกับเพชรตาแมวนั้นก็มีมูลค่านับไม่ได้แล้ว…แต่สวมใส่ขณะอาบน้ำให้ลูกสุนัขเช่นนี้อย่างนั้นหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนใจลอยไปครู่หนึ่ง
นางเลี้ยงดูบุตรจนเติบใหญ่มาสามคน จวนสี่เป็นครอบครัวที่เรียบง่ายมาโดยตลอด พวกนางพี่น้องอาศัยอยู่ที่จวนสี่มาหลายปี ถึงแม้นางจะไม่เคยปล่อยให้พวกนางพี่น้องขาดแคลนอาหารเครื่องใช้ต่างๆ แต่ของที่หรูหราเช่นนี้ ก็ไม่เคยมีมาก่อน
จากมัธยัสถ์สู่ความฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องง่าย ทว่าจากความฟุ่มเฟือยกลับมาสู่มัธยัสถ์เป็นเรื่องยาก
หากเสาจิ่นแต่งเข้าจวนสี่ จะกลับมาคุ้นเคยกับชีวิตที่ลำบากของจวนสี่ได้หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองใบหน้าอมชมพู ฟังเสียงออดอ้อนนั้น ชั่วขณะนั้นในใจพลันว่างเปล่าขึ้นมา
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหมุนกายมาเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้าพอดี รีบใช้ผ้าเช็ดมืออุ้มเสวี่ยฉิวที่ตัวเองอาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อยแล้วยื่นส่งให้ชุนหว่าน จากนั้นวิ่งเข้ามาหา “ท่านยาย ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่ให้พวกสาวใช้มาแจ้งล่วงหน้าสักหน่อย ข้าจะได้ออกไปรับท่าน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนปรับอารมณ์ หัวเราะฮ่าไปสองสามครั้ง กล่าวขึ้นว่า “เสื้อกั๊กปี๋เจี่ยที่เจ้าสวมใส่อยู่นี้งดงามยิ่งนัก ทำขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือนำกลับมาจากไหวอัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้ข้าเจ้าค่ะ ยังมีสีเขียวอ่อนหนึ่งตัวและสีม่วงอ่อนอีกหนึ่งตัว ล้วนแล้วแต่งดงามยิ่งนัก ข้านำขอบที่เหลือมาทำถุงหอมได้หลายชิ้น ตั้งใจว่าจะนำไปมอบให้ในอีกไม่กี่วันนี้เจ้าค่ะ”
ทั้งหมดสามพับ!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบคำนวณอยู่ในใจ ปล่อยให้โจวเสาจิ่นประคองเดินไปที่เรือนหลัก
อบรมนางระหว่างทางไปด้วยว่า “อาบน้ำให้ลูกสุนัขตัวหนึ่ง เหตุใดถึงสวมใส่เครื่องประดับมีค่าเช่นนี้ หากทำหล่นหายไปจะทำอย่างไร”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “อยู่เรือนหานปี้ซาน ทำหล่นหายไปก็ไม่ต้องกังวล มักจะหาจนได้คืนกลับมาเจ้าค่ะ”
ทำเสมือนกับว่าที่นางสวมใส่อยู่คือกำไลทองชุบอย่างไรอย่างนั้น ความประมาทเลินเล่อที่นางแสดงออกมาให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจนี้ต่างหากถึงจะเป็นการถูกตามใจจนเสียนิสัยอย่างแท้จริง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้าไปในเรือนหลักด้วยอาการเงียบขรึม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้รับข่าวแล้ว จึงเปลี่ยนอาภรณ์มานั่งรอที่ห้องรับแขก
เห็นโจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนเดินเข้ามา กล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “อายุเท่าไรกันแล้ว ยังอาบน้ำให้เสวี่ยฉิวเหมือนเป็นเด็กๆ ไปได้ ถ้าหากว่าร่างกายของเสวี่ยฉิวมีสิ่งสกปรกติดอยู่จะทำอย่างไร ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้อีก”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงพลางขานตอบว่า “เจ้าค่ะ” บนดวงหน้าไม่มีความหวาดกลัวให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
กระทั่งทุกคนต่างนั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำชับกับสื่อมามาว่า “ไม่อนุญาตให้เสาจิ่นกินน้ำแข็งอีก หลายวันมานี้นางกินมากเกินไปแล้ว!”
คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าเสาจิ่นเป็นหลานสาวแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว!
……………………………………………………………
[1] ซานฝู (三伏天) สามสิบวันที่อากาศร้อนที่สุดของปี นับจากกลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม