ตอนที่ 327 แต่ละบุคคล

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลูบลูกประคำไม้กฤษณาสิบแปดเม็ดบนข้อมือเบาๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด

สาวใช้เด็กยกน้ำชา ของว่างและผลไม้เข้ามา

โจวเสาจิ่นรับมาอย่างยิ้มแย้ม นำไปวางไว้บนโต๊ะน้ำชา ชี้ไปยังพุทราที่แดงครึ่งหนึ่งเขียวครึ่งหนึ่งในจานผลไม้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ท่านยาย วันนี้ท่านมาได้ประจวบเหมาะพอดีเลยเจ้าค่ะ! นี่เป็นพุทราที่ท่านน้าฉือให้คนส่งมาให้เมื่อวาน บอกว่าเป็นพุทราจากซานตง ทั้งกรอบและหวาน ท่านต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน”

การพูดจาไม่มีความประหวั่นเลยสักนิด ให้การรับรองนางประหนึ่งเป็นเจ้าบ้านร่วมผู้หนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงหยิบพุทราขึ้นมาลูกหนึ่งพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจะลองชิมดู”

โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างงดงาม ใช้ตะเกียบงาช้างคีบขนมวุ้นใสชิ้นหนึ่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวเสียงนุ่มว่า “อันนี้เพิ่งทำมาใหม่ของวันนี้ ไม่หวานเท่าเมื่อวาน ข้ายังให้คนเติมแป้งสาลีลงไปด้วยเล็กน้อย ดูงดงามกว่าของเมื่อวานหรือไม่เจ้าคะ” ดูราวกับเด็กน้อยที่ต้องการคำชมจากผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “ดูแล้วขาวกว่าของเมื่อวาน!” จากนั้นชิมคำหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “ใส่อะไรลงไปในนี้หรือ ไม่เหมือนน้ำตาลผง รสชาติอ่อนกว่าน้ำตาลผง ทว่ารสที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้นยาวนานกว่า”

โจวเสาจิ่นหัวเราะชอบใจ กล่าวขึ้นว่า “เป็นน้ำตาลกรวดเจ้าค่ะ ละลายน้ำแล้วเติมเข้าไป ท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ชิมเพียงคำเดียวก็รู้รสแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า เอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็มีความสามารถแค่เรื่องนี้แล้ว”

โจวเสาจิ่นย่นจมูก ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง

จากนั้นดันจอกชาไปทางเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างรู้ความ แล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ท่านยาย ดื่มน้ำชาเถิด เป็นชากวาเพี่ยนจากลิ่วอันเจ้าค่ะ”

ชากวาเพี่ยนจากลิ่วอันเป็นชาที่มีน้ำชาใสสีอ่อนๆ ค่อนข้างเหมาะสำหรับให้คนมีอายุดื่ม

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนค่อยๆ คายเมล็ดพุทราออกมาวางไว้ในจานกระเบื้องขอบทองขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆ นึกถึงตอนที่โจวเสาจิ่นได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกขึ้นมา

นางให้โจวเสาจิ่นตั้งใจปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ดี โจวเสาจิ่นที่ได้รับการปรนนิบัติจากผู้อื่นมาจนชินจึงยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างเล็กน้อย

แต่เหตุการณ์ผ่านไปเพียงสองปี นางก็ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้เสมือนกับเป็นผู้อาวุโสของตัวเองเสียแล้ว

นางรู้จักนิสัยของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างดี ด้วยมีบิดาเป็นที่พึ่ง อีกทั้งยังมีความหยิ่งทะนงอยู่ในตัวหลายส่วน การได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติดูแลฮูหยินผู้เฒ่ากัว ด้วยชื่อเสียงและอิทธิพลของจวนหลักย่อมไม่อาจให้นางก้มศีรษะลงต่ำได้ คงเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติกับนางประหนึ่งเป็นหลานแท้ๆ นางถึงได้ยังอ่อนหวานและเชื่อฟังเช่นนี้

ฮูหยินผู้เฒ่ายกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง

ตอนอยู่ที่จวนสี่ ทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยหนาม แต่พอมาถึงจวนหลัก นางกลายเป็นดอกไม้งดงามดอกหนึ่ง

อี้เกอเอ๋อร์ จะเลี้ยงดูดอกไม้ดอกนี้ หรือปกป้องดอกไม้ดอกนี้ได้หรือ

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ส่งโจวเสาจิ่นมาอยู่ที่จวนหลัก

แต่ถ้าหากไม่มีการชี้แนะของฮูหยินผู้เฒ่ากัว จวนสี่จะสนใจโจวเสาจิ่นคนก่อนหรือ

ครอบครัวหนึ่งๆ หากต้องการดีขึ้น ต้องการเจริญรุ่งเรืองขึ้น นอกจากต้องมีคนแล้ว คนยังต้องสมัครสมานสามัคคี ปรองดองรวมเป็นหนึ่ง

ภรรยาของเก้าเกอเอ๋อร์คือหญิงสาวของตระกูลเหอ มาจากตระกูลเก่าแก่ บิดาเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามเจิ้ง

ถ้าหากภรรยาของอี้เกอเอ๋อร์เป็นโจวเสาจิ่น หน้าตาเช่นนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ทำให้คนมองด้วยความชื่นชมอย่างช่วยไม่ได้ แต่มาจากครอบครัวเดี่ยวไร้ญาติพี่น้อง บิดาเป็นเจ้าเมืองขั้นสี่จึงทำให้นางกลายเป็นไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก…แต่เมื่อโจวเสาจิ่นมีจวนหลักเป็นที่พึ่งแล้ว แม้นจะไม่ตั้งใจ ก็จะกดทับหญิงสาวจากตระกูลเหออยู่บ้างเล็กน้อย

ต่อให้หญิงสาวจากตระกูลเหอจะเฉลียวฉลาดกว่าโจวเสาจิ่น แต่คนบนโลกนี้ส่วนใหญ่ก็มองแต่เปลือกนอก หญิงสาวจากตระกูลเหอผู้นั้นก็คงจะต้องขมขื่นไม่น้อย

นอกจากนี้หากสะใภ้คนรองเหนือกว่าสะใภ้คนโตที่เป็นเจ้าบ้าน มักจะเป็นบ้านที่วุ่นวาย

เสาจิ่นไม่เหมาะจะมาเป็นสะใภ้ของจวนสี่แล้วจริงๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพลันไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา

คำพูดที่นางคิดแล้วคิดอีก ขัดเกลาและแก้ไขครั้งแล้วครั้งเล่าเหล่านั้นมาถึงวันนี้ไร้ซึ่งความหมายใดๆ แล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเฝ้าสังเกตสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่ตลอด

เมื่อเห็นดวงหน้าของนางเผยความผิดหวังออกมาให้เห็นหลายส่วน ดวงใจที่แขวนเอาไว้ถึงได้วางลงมาได้

นางไม่อาจเก็บเสาจิ่นเอาไว้ที่บ้าน

ยิ่งไม่อาจให้โจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้หมั้นหมายกัน

ถ้าหากบอกว่าเมื่อก่อนรู้สึกว่าเฉิงอี้ไม่เหมาะสมกับโจวเสาจิ่น เช่นนั้นตอนนี้นางกลับกลัวว่าบุตรชายจะทำเรื่องอื้อฉาวอย่างการช่วงชิงหลานสะใภ้มา ตอนเป็นวัยรุ่นผู้ใดบ้างไม่เลือดร้อน บางครั้งก็ทำเพื่อสตรี บางครั้งก็ทำเพื่อการเตรียมตัวสอบ บางครั้งก็เพื่อความพอใจ แต่เมื่ออายุมากขึ้น มีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้น ความเลือดร้อนนั้นก็จะค่อยๆ จางหายไป แต่ครั้งนี้ ทั้งๆ ที่บุตรชายหารือกับนางแล้วเสียดิบดีว่าจะให้ฟางต้าเซี่ยนออกหน้าทาบทามคู่ครองให้เฉิงอี้ แต่กลับลอบดึงโจวเสาจิ่นออกมาเสียอย่างลับๆ บุตรชายราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในเวลาชั่วพริบตา จัดการให้เฉิงจิงทาบทามคู่ครองให้เฉิงอี้อย่างง่ายๆ และโฉ่งฉ่าง

นางไม่รู้ว่าบุตรชายคนเล็กของตัวเองผู้นี้ตั้งใจทำอะไรกันแน่!

หลายวันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนนอนไม่ค่อยหลับ

นางเชื่อว่าบุตรชายของตัวเองเป็นคนแน่วแน่มั่นคงและระมัดระวัง ไม่เหมือนกับชายหนุ่มเลือดร้อนเหล่านั้น แต่ในใจเขาก็ชอบโจวเสาจิ่น ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้โจวเสาจิ่นทำเสมือนกับว่าเรือนหลีอินเป็นสวนผักหลังบ้านที่อยากเข้าก็เข้า อยากออกก็ออกเมื่อไรก็ได้อย่างไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้น

คนที่มาให้ตัวเองเห็นตรงหน้าบ่อยๆ กับความคิดถึงที่อยู่ไกลๆ นั้นไม่เหมือนกัน

คนที่มาให้ตัวเองเห็นตรงหน้าบ่อยๆ นั้น ความรู้สึกมีแต่จะยิ่งลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนความคิดถึงที่อยู่ไกลๆ นั้นวันเวลาทำให้มันจืดจางลงได้

นางไม่อยากเสี่ยง

ดังนั้นนางจึงเอาอกเอาอกใจเด็กสาวผู้นี้เหมือนกับที่เคยทำมา

ให้ครอบครัวที่เรียบง่ายอย่างจวนสี่ได้รู้จักล่าถอย

แล้วนางค่อยหาสามีดีๆ ให้เด็กผู้นี้สักคน บุตรชายก็จะรู้จักล่าถอยไปเอง

ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะกลายเป็นคนที่กลืนคำพูดของตัวเองไปเสียแล้ว กล่าวคือนางเกลี้ยกล่อมให้จวนสี่ส่งโจวเสาจิ่นเข้ามาอยู่ที่จวนหลักเพื่อไม่ให้คนนอกคิดว่าโจวเสาจิ่นเป็นเด็กที่จวนสี่เอามาเลี้ยงทำเป็นสะใภ้ สุดท้ายปรากฏว่ากลับกลายมาเป็นบุตรสะใภ้ของตัวเองแทน ในสายตาของผู้อื่นแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่พ้นเป็นเด็กที่เอามาเลี้ยงเพื่อเป็นสะใภ้ผู้หนึ่งอยู่ดี

เด็กผู้นี้ช่างโชคร้ายจริงๆ!

เมื่อนึกถึงว่าโจวเสาจิ่นถูกนางใช้เป็นเครื่องมือแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังคงทุ่มเทเอาใจใส่นางเป็นอย่างดีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกไม่กล้าสบตาโจวเสาจิ่นอยู่บ้างเล็กน้อย ตัดสินใจว่าต้องรีบจัดการตัดปมปัญหาเรื่องนี้ให้เด็ดขาดในดาบเดียวเสีย

นางถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างจริงใจและตรงไปตรงมาว่า “เจ้าคงมาหาข้าด้วยเรื่องเมื่อหลายวันก่อนนั้นกระมัง”

ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะไม่ได้ปิดบัง แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยเรื่องงานแต่งของโจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้แล้ว กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก อยากมาหาท่านเพื่อพูดคุยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางหันไปกล่าวกับโจวเสาจิ่นที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า “ข้ากับยายของเจ้าจะคุยเรื่องส่วนตัวกัน เจ้าไปเล่นกับเสวี่ยฉิวก่อน” จากนั้นกล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ไม่อนุญาตให้มาแอบฟังข้ากับยายของเจ้าคุยกันด้วย!”

โจวเสาจิ่นยู่ปากอย่างเคืองๆ กล่าวขึ้นว่า “ข้าเคยแอบฟังท่านคุยตั้งแต่เมื่อใดกัน ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดเชียวเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ตบมือนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ไปเล่นคนเดียวก่อนเถิด!”

โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ สั่งให้สาวใช้เด็กเปลี่ยนน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนใหม่อีกครั้งแล้วถึงได้ออกจากห้องรับแขกไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก้มหน้าลง

เสาจิ่นไม่เหมาะกับจวนสี่แล้วจริงๆ

เมื่อก่อนหากมีคนว่านางเช่นนี้ นางได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นไรแล้วถอยออกไปอย่างยิ้มๆ ทว่าตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกกับมันจริงๆ แล้ว

มีเพียงคนที่มั่นใจในตัวเองเท่านั้น ถึงจะไม่กลัวว่าจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ

นางถอนหายใจเบาๆ ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไรท่านน่าจะทราบกระมัง นางมีพี่น้องกี่คน มารดาเป็นสตรีจากตระกูลใด…”

***

ความจริงแล้วโจวเสาจิ่นอยากจะแอบฟังยิ่งนัก

นางทราบจากปากของปี้อวี้ว่ามีคนทาบทามคู่ครองให้เฉิงอี้

จวนสี่มาหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องงานแต่งของเฉิงอี้เป็นแน่

ท่านน้าฉือเคยรับปากนางเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้นางแต่งกับเฉิงอี้

นางมิได้สงสัยในเรื่องนี้เลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกังวลใจ นางเพียงอยากจะรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร อยากรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าสาวคนใหม่ของพี่ชายอี้คือผู้ใด จะเข้ากันได้ดีหรือไม่

สำหรับนางแล้วจวนสี่เป็นเสมือนบ้านตระกูลมารดาหลังที่สองของนาง

นางปรารถนาให้จวนสี่เจริญรุ่งเรือง ปรารถนาให้มีคนมานำเฉิงอี้ได้ อย่าให้เฉิงอี้มีจุดจบเหมือนกับชาติก่อนอีก

แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยปากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจไปแอบฟังได้

นางไปถามปี้อวี้ “หลังจากนั้นเจ้าไม่ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอะไรเพิ่มอีกแล้วหรือ”

“ไม่เจ้าค่ะ!” ปี้อวี้ใกล้จะออกเรือนแล้ว ระยะนี้เวลาไม่มีเรื่องอะไรจึงมักจะทำงานเย็บปักอยู่ในห้อง

ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะช่วยจัดการสินเจ้าสาวให้นาง แต่สิ่งของอย่างพวกรองเท้าถุงเท้าที่ใช้ตอนไปทำความรู้จักญาติๆ นั้นก็ต้องทำด้วยตัวเองถึงจะจริงใจกว่า แล้วก็จะได้ทำให้คนอื่นได้เห็นว่าสาวใช้ใหญ่จากเรือนหานปี้ซานมีความสามารถและความดีงาม

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าปี้อวี้เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก จึงวาดลาย แล้วลองเอาไปให้คนที่โรงเย็บปักช่วยตัดชุดเพ่ยจื่อสีแดงให้ปี้อวี้เอาไว้สวมใส่ตอนไปเยี่ยมญาติตัวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าหวังเหนียงจื่อไม่เพียงตอบตกลงเท่านั้น ยังเสนอตัวจะตัดชุดสำหรับใส่กลับมาเยี่ยมบ้านให้ปี้อวี้อีกหนึ่งตัวอย่างกระตือรือร้นด้วย ให้นางได้แต่งออกไปอย่างมีหน้ามีตา

ได้ยินปี้อวี้กล่าวเช่นนี้ นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะรู้เรื่องหรือไม่”

ปี้อวี้ยิ้มพลางหยิบกรรไกรมาตัดด้าย จากนั้นสนเข็มด้วยด้ายอีกสีหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านรออีกสักประเดี๋ยวแล้วค่อยไปดีกว่าเจ้าค่ะ! เมื่อครู่ข้าได้ยินสาวใช้เด็กคุยกันว่า ที่เรือนหลีอินเงียบเชียบ บรรยากาศเช่นนั้น บดขยี้คนให้ตายได้ แม้แต่ชิงเฟิงหลั่งเย่ว์ที่รับใช้อยู่ข้างกายนายท่านสี่เป็นประจำ ยังหลบไปยืนไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ห้องหนังสือเลยสักนิด เกรงว่าคงเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำให้นายท่านสี่อารมณ์ไม่ดีเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจ

มีเสียงเห่า บ็อกๆๆ ของเสวี่ยฉิวดังเข้ามาจากด้านนอก

โจวเสาจิ่นและปี้อวี้ออกไปดู เห็นจี๋อิ๋งกำลังถือลูกซิ่ว[1]เล่นกับเสวี่ยฉิวอยู่!

“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ” โจวเสาจิ่นดีใจอย่างเหลือล้น

ปี้อวี้รีบไปชงน้ำชาและยกของว่างมารับรองจี๋อิ๋ง

จี๋อิ๋งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ กล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว นี่สิถึงจะเรียกว่าการมีชีวิตอยู่”

“เจ้าอยู่ข้างนอกลำบากมากหรือ” โจวเสาจิ่นมองสำรวจจี๋อิ๋ง

เห็นนางผ่ายผอมลงกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย แล้วก็คล้ำขึ้นเล็กน้อยด้วย แต่สีหน้าดูอิ่มเอิบ แววตาสุกใสยิ่งขึ้น ทั้งร่างประหนึ่งดาบที่ถอดออกมาจากฝัก เปล่งแสงจรัสไปรอบด้านทว่าก็ทำให้คนรู้สึกเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ได้ด้วย

จี๋อิ๋งเห็นว่ารอบๆ ไม่มีคน กดเสียงลงต่ำกระซิบกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือของเจ้าผู้นั้น ใช้งานสตรีอย่างกับใช้บุรุษ ใช้งานบุรุษอย่างกับใช้ม้าวัวควาย มิใช่คนแล้วจริงๆ!”

โจวเสาจิ่นรีบปิดปากของนางเอาไว้

ปี้อว้แสร้งเดินไปเทน้ำชา ทำเป็นไม่ได้ยิน

จี๋อิ๋งหัวเราะคิก กล่าวขึ้นว่า “อยู่กับพวกเจ้าแล้วสนุกกว่าจริงๆ!”

โจวเสาจิ่นถลึงตาใส่จี๋อิ๋งครั้งหนึ่ง

จี๋อิ๋งกล่าวปลอบโยนนางอย่างไม่จริงใจสักนิดว่า “เอาล่ะๆ ท่านน้าฉือของเจ้าไม่ได้ยินหรอก ตอนนี้เขากำลังโมโหอยู่ ไม่มีเวลามาสนใจพวกเราหรอก”

“ท่านน้าฉือโมโหเรื่องอะไรหรือ” โจวเสาจิ่นถาม

ตอนนี้แม้แต่ปี้อวี้ก็เงี่ยหูฟังด้วยเช่นกัน

จี๋อิ๋งหยิบลูกกวาดมาชิ้นหนึ่ง กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “คาดว่าฮูหยินหยวนผู้นั้นคงทำเรื่องอะไรโง่ๆ ขึ้นมาอีก ทำให้เขาโกรธจนเส้นเลือดตรงขมับปูดนูน แล้วก็เรียกตงถิงเข้ามาหาด้วย จะต้องเตรียมไปคิดบัญชีกับใครแน่ๆ” กล่าวอีกว่า “เจ้าน่าจะรู้จักตงถิงแล้วกระมัง เว่ยตงถิง เขาบอกว่าเคยเห็นเจ้า ท่านน้าฉือของเจ้ามีงานสกปรกอะไรก็มักจะมอบหมายให้เขาทำ เขาปรากฏตัวเมื่อไร มักจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก!”

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่านั่นเป็นเพราะจี๋อิ๋งมีอคติกับท่านน้าฉือ

เรื่องดีๆ ล้วนถูกนางพูดเสียจนกลายเป็นเรื่องไม่ดีได้ หากไม่เป็นดั่งใจนาง ปากของนางจะพูดถึงผู้อื่นในแง่ร้ายเหมือนกับคนที่มีบาดแผลที่ศีรษะแต่น้ำหนองไหลออกมาทางฝ่าเท้า

“ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” โจวเสาจิ่นกระทุ้งนาง

………………………………………………………….

[1] ลูกซิ่ว ลูกบอลทำจากผ้าหลากสี