บทที่ 215.2 เขียนคิ้วแต่งหน้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 215.2 เขียนคิ้วแต่งหน้า โดย ProjectZyphon

สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมา

สิงโตหินขนาดเล็กที่ตั้งอยู่หน้าประตูบ้านส่งเสียงปริแตกเบาๆ อยู่เป็นระยะ

หญิงชรายืนอยู่ด้านนอกห้องหลักของเรือนชั้นที่สาม นางเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก เอาโคมดวงนั้นแขวนไว้บนตะขอของเสาระเบียง แสงโคมไฟรุบรู่ ส่ายไหวไปตามสายลมอยู่ตลอดเวลา

เสียงฟุบดังหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงก็มอดดับ ที่แท้ก็เป็นเพราะเทียนไขที่อยู่ข้างในมอดไหม้จนหมดแล้ว

หญิงชราไอพลางขึ้นไปเหยียบบนม้านั่งอีกครั้ง ปลดโคมไฟลงมา ดึงเทียนไขใหม่เอี่ยมสีแดงสดเหมือนเลือดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเทียนไขนั่นไม่มีไส้เทียน หญิงชราหมุนตัวหันหลังให้กับลานบ้าน ดึงเส้นผมสีขาวเส้นหนึ่งมาจากบนศีรษะแล้วเสียบลงไปกลางเทียนไข ราวกับว่าใช้มันเป็นไส้เทียน จากนั้นหญิงชราก็หันไปเป่าลมเบาๆ ใส่เทียนไข เทียนไขติดไฟในชั่วพริบตา พอใส่ไว้ในโคมไฟอีกครั้ง นางก็เอาโคมไฟแขวนไว้บนเสาตรงระเบียง

โคมไฟดวงนี้ส่ายไหวเบาๆ แสงไฟเปล่งวูบวาบอยู่ท่ามกลางเรือนหลังใหญ่

หากเป็นค่ำคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งต้องชักนำให้แมงเม่ากระโจนเข้าหาอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตกในป่าเงียบสงัดแห่งนี้ การดำรงอยู่ของมันจะมีความหมายใด

นักพรตหนุ่มไม่รู้สึกง่วงนอน เฉินผิงอันจิบเหล้าร้อนแรงจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดคำเล็กๆ ฟังจางซานเล่าถึงประสบการณ์เสี่ยงอันตรายขณะที่พบเจอกับปีศาจหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่แล้วเฉินผิงอันก็ทำท่ามือบอกให้เงียบ นักพรตหนุ่มหันไปมองทางกระบี่ไม้ท้อที่แขวนไว้ตรงหน้าต่างตามจิตใต้สำนึก กระดิ่งยังคงหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรผิดปกติ

เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะดังมาจากหน้าประตู ที่แท้บัณฑิตสองคนนั้นก็จับมือกันมาเยี่ยมเยียน เฉินผิงอันถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าในมือเดินไปเปิดประตู เสียงฝนด้านนอกยังคงดังสนั่นน่าตกใจ อีกทั้งลมที่พัดกระโชกยังพาให้เม็ดฝนสาดเข้ามา เป็นเหตุให้พื้นที่ตรงระเบียงข้างนอกไม่มีส่วนใดที่แห้งสนิท บัณฑิตแซ่ฉู่ร่างสูงเพรียวถือร่มไว้ในมือ อีกมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ บัณฑิตแซ่หลิวยกสองมือทาบติดข้างริมฝีปาก เป่าลมหาใส่มือความอบอุ่น แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ออกจากบ้านมาคราวนี้ พี่ฉู่เอาเหล้ารสเลิศมาด้วยหลายไห ตอนนี้ยังเหลืออีกหนึ่งไห พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ คืนนี้ข้าไม่กล้านอน จึงอยากจะอาศัยสุราช่วยให้กลับไปนอนหลับได้สนิท พี่ฉู่บอกว่าสนุกเพียงลำพังไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน หากทั้งสองท่านเต็มใจจิบเหล้าสักสองสามคำ พวกเราก็มาดื่มร่วมกันสักครั้งดีไหม? บอกไว้ก่อนเลยนะว่า อย่างน้อยข้าก็ต้องดื่มเหล้าครึ่งจินถึงจะล้มได้ ดังนั้นพวกเจ้าคงดื่มได้แค่เล็กน้อย โปรดอภัยให้ด้วย”

เฉินผิงอันชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ในมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเอาเหล้ามาเอง พวกเจ้าสามคนสามารถแบ่งกันได้”

บัณฑิตแซ่หลิวที่ตอนนั้นช่วยกางร่มให้กับเฉินผิงอันและนักพรตหนุ่มเดินก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง หัวเราะเสียงดังกังวาน “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”

บัณฑิตแซ่ฉู่เดินยิ้มตามมาด้านหลัง วางร่มไว้ตรงมุมกำแพง คนทั้งสี่นั่งล้อมกระถางไฟ อุ่นเหล้าอยู่ชั่วครู่ บัณฑิตแซ่หลิวก็ยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง “ลืมเอาจอกเหล้ามาซะได้”

จากนั้นเขาก็หันไปมองสหายด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “พี่ฉู่ ข้าไม่กล้าไปเอาหรอก”

บัณฑิตแซ่ฉู่ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างระอาใจ “หากบนโลกนี้มีผีจริงๆ คนเราก็ไม่ต้องกลัวตายแล้วกระมัง? นี่ต้องเป็นเรื่องดีสิถึงจะถูก อีกอย่างในท้องของบัณฑิตต้องมีปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรม คิดดูแล้วทั้งเทพและผีก็ยังต้องหวาดกลัวอยู่หลายส่วน เจ้าจะกลัวอะไร”

เมื่อมีคนเพิ่มมากขึ้น บัณฑิตแซ่หลิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น เขาเอ่ยล้อเลียนว่า “ขนาดตำแหน่งจวี่เหรินเล็กๆ ข้าก็ยังสอบไม่ติด บอกว่าในท้องมีปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรมก็ไม่รู้ว่ามีสักกี่มากน้อย แน่นอนว่าต้องกลัว แต่พี่ฉู่กลับสอบติดเป็นจิ้นซื่อ เก่งกว่าข้ามากนัก ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัว”

บัณฑิตแซ่ฉู่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก้าวยาวๆ จากไป เพียงไม่นานร่างของเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ห้องฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ผลักประตูเปิด ผลักประตูปิด ก้าวเร็วๆ กลับมา ถือจอกเหล้ามาด้วยสี่ใบ ผนังด้านในจอกเหล้าวาดไก่ตัวผู้ห้าสีที่ลักษณะฮึกเหิมเอาไว้สองตัว นักพรตจางซานรับมาหนึ่งใบ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “พี่ฉู่ พี่หลิว นี่คงไม่ใช่แก้วไก่ชนที่มีเฉพาะในแคว้นไฉ่อีหรอกกระมัง?”

บัณฑิตหลิวดวงตาเป็นประกาย “ท่านนักพรตก็เคยได้ยินชื่อแก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อีพวกเราด้วยหรือ?”

แสงไฟบนโต๊ะไม่สว่างมากพอ นักพรตหนุ่มจึงใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้า จับมันเอียงลง อาศัยแสงสว่างจากกองเพลิงในกระถางไฟสังเกตไก่ตัวผู้ห้าสีสองตัวนั้นอย่างละเอียดแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “ชื่อเสียงเลื่องลือ ชื่อเสียงเลื่องลือมาก ย่อมต้องเคยได้ยินมานานแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตมาจากกุรุทวีปทางทิศเหนือ ตอนที่เดินทางอยู่ในยุทธภพเคยเห็นคนมีเงินในยุทธภพสองคนทุ่มเงินก้อนโตโดยอาศัยไก่ชนนี้มาเป็นเดิมพัน มหัศจรรย์มาก ได้ยินว่าขอแค่เทเหล้าเข้าไปในแก้วครึ่งจอก จากนั้นกรอกปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งใส่เข้าไปในผนังแก้วด้านใน ไก่ตัวผู้สองตัวก็จะต่อสู้กันเองโดยอัตโนมัติ ถ้าไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรา อีกอย่างต่อให้เป็นพวกอริยะขอบเขตสิบในกลุ่มเทพเซียนห้าขอบเขตกลางก็ไม่แน่เสมอไปที่จะรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นขอแค่แก้วไก่ชนมาโผล่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า ราคาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่าหรือมากกว่านั้น ตรงท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยน แก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อีก็คือหนึ่งในสินค้าสำคัญที่ต้องนำขึ้นเรือไป”

สีหน้าของบัณฑิตแซ่หลิวค่อนข้างจะลำพองใจ เขาพยักหน้ารับกล่าวว่า “ปราณวิญญาณอะไรพวกนั้น ข้าไม่เข้าใจหรอก รู้แค่ว่าปรมาจารย์ในยุทธภพของแคว้นไฉ่อีพวกเราชอบนำสิ่งนี้มาหาความบันเทิง หลังจากกรอกเหล้าเข้าไปแล้ว พวกเขาแค่ใช้สองนิ้วคีบก็สามารถทำให้แก้วไก่ชนมีชีวิต จากนั้นพวกมันก็จะต่อสู้กันไม่หยุด จนกระทั่งรู้แพ้รู้ชนะ ส่วนข้อที่ว่าทำไมมันถึงมหัศจรรย์เพียงนี้ ข้าเคยอ่านเจอบันทึกตอนหนึ่งจากในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น บอกว่าดินห้าสีที่นำมาเผาเป็นแก้วไก่ชนคือวัตถุที่น่าสนใจซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าหากดินนี้ออกไปจากพื้นที่ของแคว้นไฉ่อี ก็จะเปลี่ยนรสชาติในเวลาสั้นๆ กลายเป็นว่าไม่ต่างอะไรจากดินทั่วไป ดังนั้นถึงเป็นเหตุให้แก้วไก่ชนกลายมาเป็นเครื่องปั้นที่มีเฉพาะในแคว้นไฉ่อีของพวกเรา”

นักพรตจางซานจุ๊ปากชื่นชม ในใจคิดว่าหากใครสามารถผูกขาดดินที่ใช้ในการเผาแก้วไก่ชนก็ไม่เท่ากับว่ามีเงินมีทองไหลมาเทมา ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเลยหรอกหรือ?

เฉินผิงอันเชื่อในคำกล่าวนี้ เพราะว่าสำหรับธาตุของดินนั้น เนื่องจากเฉินผิงอันเคยเป็นช่างเผาเครื่องปั้นจึงมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง บรรพบุรุษช่างเผาเครื่องปั้นของเมืองหลงเฉวียนล้วนเป็นช่างเผาเครื่องปั้นกันมาทุกรุ่นทุกสมัย การเผาเครื่องปั้นจำเป็นต้องทำความรู้จักกับดิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้ยินความลับต่างๆ มาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่า เมื่อดินพ้นจากพื้น สุดท้ายถูกปั้นกลายมาเป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ คอยกินควันธูป ไม่ก็เผาเป็นเครื่องเคลือบส่งเข้าไปในวังหลวง หรือไม่ก็กลายมาเป็นขวดแตกไหผุในหมู่ชาวบ้าน หนีไม่พ้นต้องถูกไฟเผาถูกน้ำเซาะ ต่างก็มีรากเหง้า ต่างมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต่างจากคน

บัณฑิตแซ่หลิวดื่มเหล้าไปสองสามจอกก็หน้าแดงก่ำ กำลังเมากรึ่มได้ที่ เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ฮึกเหิมถึงขีดสุด เขาส่ายหน้าน้อยๆ ถามยิ้มๆ ว่า “ท่านนักพรตสะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นกลุ่มคนในบรรดาเทพเซียน สามารถทำให้แก้วไก่ชน ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาได้หรือไม่? หากทำได้ ไม่สู้พวกเรามาวางเดิมพันกัน หาเรื่องสนุกให้ทำ แค่เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ เท่ากัน พวกเราจะเดิมพันอะไรกันดี?”

บนใบหน้าของบัณฑิตคนนี้มีประกายสดชื่นแตกต่างไปจากยามปกติ เห็นได้ชัดว่าดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มจะเป็นสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังชอบเล่นพนันไม่มากก็น้อย

บัณฑิตแซ่ฉู่ถอนหายใจ เอ่ยเกลี้ยกล่อมเบาๆ “พี่หลิว ดื่มเหล้าไปครึ่งจินแล้วก็รีบไปพักผ่อนเถอะ”

นักพรตจางซานเองก็รีบกล่าวว่า “แก้วไก่ชนใบหนึ่งมีค่าไม่น้อย เหตุใดต้องเอามาใช้สิ้นเปลืองให้เสียเปล่าด้วย”

บัณฑิตแซ่หลิวดื่มเหล้าในจอกรวดเดียวหมด แล้วโบกมือขว้างแก้วเหล้าที่อยู่ในมือไปกระแทกผนังอย่างแรงจนมันแตกละเอียด หัวเราะเสียงดัง “นับแต่โบราณกาลมาปราชญ์เมธีล้วนมีชีวิตเงียบเหงา มีเพียงอาศัยสุราแต่งกลอนถึงจะทิ้งชื่อเสียงงดงามเอาไว้ได้บ้าง ทว่าผู้ที่ทิ้งชื่อเสียงเอาไว้สุดท้ายก็ล้วนตายสิ้น มีเพียงวัตถุที่คงอยู่นับร้อยนับพันปี เหลวไหลสิ้นดี แก้วไก่ชนใบเดียว ในแคว้นไฉ่อีจะมีค่าสักกี่แดงกันเชียว? ก็แค่หนึ่งถึงสองตำลึงเท่านั้น จิ้นซื่อคนหนึ่งมีค่ากี่แดงกันเชียว? นั่นน่ะแพงนักล่ะ ถึงอย่างไรข้าหลิวเจินก็ซื้อไม่ไหว…”

สีหน้าของบัณฑิตแซ่ฉู่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เอ่ยอธิบายว่า “พอดื่มเหล้าเมา พี่หลิวชอบพูดเหลวไหล ขอท่านนักพรตและคุณชายโปรดให้อภัยด้วย”

เฉินผิงอันส่งยิ้มไปให้แล้วดื่มเหล้าของตัวเองเงียบๆ

สุดท้ายหลิวเจินที่เมาแล้วพูดไม่หยุดปากก็ถูกสหายประคองกลับไป จางซานเดินไปส่งถึงหน้าประตู

เฉินผิงอันชำเลืองมองไปทางหน้าประตู ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นขยับตัว

……

ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ มือดาบที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราคนหนึ่งเดินผ่านม่านฝนหนาหนักก้าวยาวๆ มาถึงหน้าจวน แล้วเคาะประตูใหญ่

หญิงชรายืนอยู่ตรงธรณีประตูด้านใน ถามเสียงแหบ “มีธุระอะไร?”

ชายฉกรรจ์ตะโกน “หลบฝน!”

หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาด “บุรุษอย่างเจ้าพูดจาเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องหลบฝน”

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม จวนใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้จะไม่มีแม้แต่ที่ให้พักเท้าเลยหรือ?!”

หญิงชราหัวเราะหึหึ “ที่พักเท้าน่ะมี เพียงแต่ว่าลมปราณของชายฉกรรจ์อย่างเจ้าอุดมสมบูรณ์เกินไป เกรงว่าเจ้านายของข้าคงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก หากทำให้เจ้านายข้าที่เป็นคนเจ้าอารมณ์โมโห อย่าว่าแต่ที่พักเท้าเลย ต่อให้เป็นที่เก็บเนื้อสดๆ หนึ่งร้อยเจ็ดแปดจินก็มีให้วางเหมือนกัน”

หนวดเคราที่รกรุงรังเต็มใบหน้าของมือดาบคนนั้นแข็งกระด้างดุจง้าวดุจทวน มือข้างหนึ่งของเขากำไว้ที่ด้ามดาบ เบิกตาถลึงมองประตูใหญ่ “หยุดพูดเหลวไหลเสียที! รีบเปิดประตู ฝนนี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ข้าจะไม่หลบได้อย่างไร วันหน้าจะยังไปเที่ยวหอโคมเขียวอีกได้อย่างไร จะไม่ถูกปีศาจน้อยเชี่ยวชาญการทรมานคนเหล่านั้นหัวเราะเยาะตายหรือ?”

ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ หญิงชราถอนหายใจเบาๆ “ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายอย่างไรก็ดีกว่าต้องตายจริงๆ”

มือดาบหน้าหนวดตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เรือนกายนี้ของข้าผู้อาวุโสสั่งสมปราณหยางมาแล้วสามสิบกว่าปี จะกลัวอะไร! อย่าว่าแต่ภูตผีปีศาจเลย ต่อให้บรรพบุรุษของพวกมันพบข้าก็ยังต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้”

ชายฉกรรจ์ท่าทางหยาบกระด้างเดินเข้าไปในบ้าน พอเห็นกำแพงบังตาตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว

หญิงชราปิดประตูบานใหญ่ลงอีกครั้ง

เสียงเพล้งดังขึ้นหนึ่งครั้ง ที่แท้ศีรษะของสิงโตหินตัวหนึ่งที่อยู่นอกประตูก็หล่นลงพื้น แตกกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพียงเท่านี้ถูกเสียงฝนที่ดังกระหน่ำกลบทับไปนานแล้ว

……

ในตระกูลใหญ่ของบางแคว้นทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป หญิงสาวส่วนใหญ่ต้องอยู่อาศัยในหอซิ่วโหลว (สถานที่ที่มีไว้ให้ผู้หญิงเรียนงานฝีมือโดยเฉพาะของประเทศจีนในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเรียนงานเย็บปักถักร้อย พักผ่อนหย่อนใจ หรือเรียนศิลปะต่างๆ ก็ล้วนอยู่ในซิ่วโหลว) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ชนเผ่าที่ประเพณีนิยมในตระกูลมีเงื่อนไขเข้มงวดถึงขั้นถอดบันไดสำหรับเดินขึ้นลงออก สตรีที่อยู่ในห้องถูก ‘พันธนาการกลางหอสูง’ ไม่ต่างจากหนังสือเล่มหนึ่ง รอวันที่จะได้ออกเรือน

ลานบ้านชั้นสุดท้ายนี้ก็มีหอซิ่วโหลวอยู่แห่งหนึ่ง ท่ามกลางม่านราตรีหนาหนัก บนระเบียงสาวงาม (ระเบียงที่ยื่นออกมารอบหอสูง มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปด้านหลังเพื่อสะดวกแก่การนั่งพิง) ชั้นสองกลับมีบุรุษกำลังเขียนคิ้วแต่งหน้าให้กับสตรี เขาตวัดพู่กันเขียวคิ้วในมือวาดลงบนใบหน้าของสตรีเบาๆ ผิวหนังของสตรีผู้นั้นเน่าเปื่อยผุพังจนแยกไม่ออกว่าไหนเลือดไหนเนื้อ พื้นที่ส่วนใหญ่บนใบหน้าเผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน บางจุดถึงขั้นมีหนอนไต่ยุบยับ แต่กลับพอจะมองเห็นใบหน้าแต้มยิ้มของนางได้เลือนราง

—–