บทที่ 216.1 ลงมือ โดย ProjectZyphon
จางซานมองส่งบัณฑิตสองคนที่เดินไปยังห้องตรงข้าม เขายืนอยู่กลางระเบียง ยื่นมือออกไปข้างนอก รองรับน้ำฝนไว้เกือบครึ่งฝ่ามือ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็พลิกมือเทน้ำทิ้ง เดินกลับเข้าไปในห้อง พอปิดประตูแล้วก็ใช้มือข้างที่แห้งสนิทหยิบยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาใบหนึ่งออกมา จางซานเอ่ยเบาๆ ว่า “สถานที่แห่งนี้มีปัญหาจริงๆ น้ำฝนค่อนข้าง ‘หนักและอึมครึม’ มีความเป็นไปได้มากว่าจะซุกซ่อนปราณชั่วร้ายเอาไว้ ยันต์แผ่นนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตมีชื่อว่ายันต์จุดไฟเผาความชั่วร้าย ธรรมดามาก แต่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะว่ามันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายได้ดีที่สุด…”
นักพรตหนุ่มใช้สองนิ้วคีบกระดาษยันต์ ปากท่องคาถาเบาๆ จากนั้นก็พลันใช้ฝ่ามือของมือข้างที่เปียกโชกแนบติดกับยันต์อย่างรวดเร็ว ยันต์สีเหลืองติดไฟลุกไหม้ขึ้นกลางฝ่ามือของจางซาน เพียงไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นักพรตหนุ่มสีหน้าหนักอึ้ง ปัดขี้เถ้าทิ้งลงไปในกระถางไฟ
เฉินผิงอันเอยถาม “ยันต์แผ่นนี้ ราคาเท่าไหร่?”
จางซานตอบคำถามอย่างจริงจังโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาดตรงไหน “ยันต์ประเภทนี้ไม่เข้าขั้นมาตรฐานอะไรทั้งนั้น หลักการเดียวกับขุนนางผู้น้อยในวงการขุนนางที่ไม่มีระดับขั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีราคาถูกมาก ต้นทุนก็มีแค่กระดาษเหลืองแผ่นเดียว บวกกับลายมือเขียนของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งเท่านั้น เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อยันต์เผาความชั่วร้ายได้เกือบสามสิบแผ่น หากคิดเป็นเงินก้อนก็แผ่นล่ะประมาณสามตำลึง ไม่ถือว่าแพงจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สำหรับเรื่องการเขียนยันต์นี้ เขาเคยเห็นความลี้ลับของยันต์ทำลายอาคมมากับตาตัวเอง ตอนนั้นพวกเขาที่เดินทางอยู่บนทางภูเขาถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานกลั่นแกล้ง ทุกคนจึงเดินกันอยู่บน ‘เส้นทางสู่น้ำพุเหลือง’ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายคล้ายถูกผีบังตา หลินโส่วอีจึงควบคุมยันต์ทำลายอาคมแผ่นหนึ่งซึ่งถือเป็นยันต์ภูเขาและแม่น้ำชักนำให้ทุกคนเดินทาง
หลังจากนั้นตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว หลี่ซีเซิ่งก็วาดยันต์ ‘ตัวอักษร’ ไว้บนผนังของเรือนไม้ไผ่ เมื่อเขียนตัวอักษรสำเร็จก็กลายเป็นยันต์ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือว่าต้องใช้ความรู้ความสามารถและขอบเขตที่สูงอย่างถึงที่สุด สุดท้ายเขาไหว้วานให้ชุยชื่อเด็กรับใช้นำตำราพื้นฐานการเขียนยันต์ของลัทธิเต๋าเล่มหนึ่ง รวมถึงกระดาษยันต์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอีกปึกใหญ่มามอบให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่ายังมีพู่กัน ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ เล่มนั้นด้วย และหากเฉินผิงอันรีบร้อนต้องการเขียนยันต์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หมึก เพียงแค่เป่าลมใส่ปลายพู่กันก็สามารถทำให้พู่กันชุ่มชื้นได้แล้ว
แต่เฉินผิงอันพลิกอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มบางๆ นั้นอย่างละเอียดอยู่หลายรอบ พอจะเรียนรู้การเขียนยันต์แบบที่ตื้นเขินที่สุดห้าหกชนิดซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ อีกอย่างตามที่ในตำราบอกไว้ ยันต์ที่คนในโลกนี้วาดก็คือการ ‘เขียนตำราสีชาด’ แบ่งออกเป็นเก้าชนิด ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนจะเขียนตำราสีชาด ‘สามชนิดบน’ อย่างหนึ่งสองสาม ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็จะเขียนตำราสีชาดสามชนิดกลางอย่างสี่ห้าหก ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างเขียนตำราสีชาดสามชนิดล่างอย่างเจ็ดแปดเก้า แม้เฉินผิงอันจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็สามารถอาศัย ‘ลมปราณหนึ่งเฮือก’ จากการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเขียนยันต์พื้นฐานใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ได้ หากเป็นยันต์ระดับสูงยิ่งกว่านั้น สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ถือเป็นการเพ้อฝันเกินไป
หลี่ซีเซิ่งเคยบอกว่า การเขียนยันต์ก็คือการฝึกกระบี่ นี่ก็คือเจตนาเดิมที่หลี่ซีเซิ่งไม่ได้สอนความรู้เรื่องการตกปลา แต่สอนวิธีตกปลาให้กับเฉินผิงอัน
ทว่าตลอดเส้นทางการเดินทางลงใต้ของเฉินผิงอัน เขาก็ยังหวังว่าจะทุ่มเทสมาธิให้กับการฝึกหมัด จึงทำเพียงแค่ใช้เวลาว่างหัดเขียนยันต์สามชนิด ได้แก่ยันต์ย่อพื้นที่ ยันต์ปราณหยางส่องไฟและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้อย่างละสองสามแผ่น เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด
ยันต์ย่อพื้นที่สามารถช่วยให้เฉินผิงอันย่อพื้นที่ให้เล็กลงได้ในชั่วพริบตา เพียงก้าวเดียวก็สามารถออกไปยังพื้นที่ใดก็ได้ในรัศมีสิบจั้งรอบด้าน ยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คือยันต์ภูเขาและแม่น้ำทำลายอาคมชนิดหนึ่ง หากไปอยู่ในสุสานรกร้างหรือโบราณสถานแห่งต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์ผีบังตาอีกครั้งก็สามารถเดินตามยันต์ส่องไฟออกไปจากเวทพรางตาได้อย่างราบรื่น ส่วนยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจนั้นคือยันต์ชนิดที่มีพลังการทำลายล้างค่อนข้างสูง เมื่อนำยันต์ชนิดนี้ออกมาใช้ก็จะมีเจดีย์วิเศษขนาดจิ๋วแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ จับปีศาจขังไว้ข้างใน ด้านในมีอานุภาพจากสายฟ้าคอยโบยตีจิตวิญญาณของปีศาจ
ทั้งสามชนิดนี้ต่างก็มีบันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อยู่ในขอบเขตที่ธรรมดามากที่สุด คำประเมินเกี่ยวกับมันไม่สูงมากนัก เพียงแต่เพราะพวกมันเป็นต้นฉบับดั้งเดิมของยันต์บางประเภทถึงได้ถูกบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้
นักพรตจางซานดื่มเหล้าเข้าไป เดิมทีเขาก็กินเหล้าไม่เก่งอยู่แล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องการประหยัดยาหยางกลับคืนจึงถูกน้ำฝนที่หนาหนักอึมครึมกระทบร่างมาตลอดทาง เหนื่อยล้ามานานแล้ว แม้ว่าใจคิดอยากจะช่วยเฉินผิงอันเฝ้ายาม แต่กลับสะลึมสะลือหลับสนิทไปซะแล้ว
เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการเฝ้ายามดียิ่ง เขาจิบเหล้าคำเล็กๆ ขณะที่จางซานหลับสนิทไปแล้ว เขาพลันหันขวับไปมองมุมกำแพงข้างประตู
ตรงนั้นวางร่มกันฝนที่ถูกวางเอียงๆ ซึ่งเจ้าของลืมเอาไว้
ร่มกระดาษน้ำมันคันนี้ ตอนแรกถืออยู่ในมือของบัณฑิตแซ่หลิว พอเข้ามาในเรือนแห่งนี้ บัณฑิตแซ่ฉู่เป็นคนถือเอาไว้
ร่มวางพิงอยู่ตรงมุมกำแพงนิ่งๆ ปลายร่มทิ่มลงพื้น ด้ามร่มหงายขึ้นด้านบน
ต่อให้จะวางร่มไว้อย่างนี้ แต่บนพื้นกลับไม่มีคราบน้ำเลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ปกติ
อีกอย่างเฉินผิงอันยังสัมผัสได้ถึงปราณที่เยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งซึ่งทำให้คนเสียวสันหลังวาบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปมาคล้ายคนที่ดื่มเหล้าจนเมามาย เดินไปด้วยบ่นไปด้วย “มีใครเขาวางร่มหัวทิ่มแบบนี้บ้าง หากอยู่ที่บ้านเกิด กล้าทำแบบนี้ต้องถูกพวกผู้ใหญ่ด่าตายแน่…”
เดินมาถึงมุมกำแพง เฉินผิงอันยังเรอดังเอิ้กหนึ่งที ยื่นมือไปคว้าด้ามร่มเตรียมจะวางสลับกลับด้าน เพียงแต่ว่าในเสี้ยววินาทีนั้นยันต์แผ่นหนึ่งกลับไหลพรวดออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา สีหน้าของเฉินเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ไหนเลยจะเหลือความเมามายอยู่อีก นิ้วทั้งสองคีบยันต์กระดาษเหลืองซึ่งก็คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตบลงบนด้ามร่ม เจดีย์แก้วเจ็ดสีหลังหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ รัศมีศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่มกระดาษน้ำมันอย่างพอดิบพอดี ลวดลายบนผิวร่มบิดเบือน ส่งเสียงดังฉี่ๆ เป็นระลอกราวกับเสียงเนื้อที่ผัดอยู่ในกระทะ
แสงสว่างของเจดีย์วิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันหม่นมัว เพียงไม่นานก็สลายหายไป
เฉินผิงอันไม่ยอมเลิกรา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดโอกาสอันดีเนื่องจากฝีมือของตนไม่แกร่งกล้ามากพอหรือระดับของยันต์ต่ำเกินไป จึงเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจอีกสองแผ่นที่เหลือออกมาพร้อมกัน แล้วแปะติดลงบนผิวร่มกระดาษน้ำมันด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นไม่จำเป็นต้องรวบรวมลมปราณ เฉินผิงอันที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตสามขั้นสูงสุดก็สามารถโคจรลมปราณได้ตามใจปรารถนา ปณิธานหมัดระเบิดตูมออกมา ปล่อยหมัดรัวติดกันบนยันต์สยบปีศาจสามแผ่นในระยะประชิดด้วยพลังการทำลายล้างสูงสุด พายุหมัดไม่สามารถทำลายตัวร่มได้ แต่ปณิธานแห่งหมัดกลับไหลกรากแทรกซึมเข้าไปด้านในของร่มทั้งหมด
นี่ก็คือความต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไปกับขอบเขตสามที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนสอน
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ยื่นมือไปกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะเรียกชูอีกับสืออู่ออกมารับมือศัตรูทุกเมื่อ
ทว่าหลังจากที่ร่มคันนั้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก็มีควันดำเหม็นคาวลอยขึ้นมา แล้วค่อยๆ สลายหายไปโดยสิ้นเชิงอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันมึนงงเล็กน้อย แค่นี้เองหรือ?
ร่มกระดาษน้ำมันประหลาดที่ต้องซุกซ่อนความลับเอาไว้คันนี้จะไม่มีกระบวนท่าสังหารตามมาเลยหรือ?
ยกตัวอย่างเช่นควันดำซัดตลบอบอวล เสียงคำรามเดือดดาลดังสะเทือนฟ้า จากนั้นก็ตามมาด้วยสิ่งชั่วร้ายท่าทางดุดันน่าหวาดกลัว?
ผีสวมชุดเจ้าสาวที่เจอระหว่างทางสายเล็กบนภูเขาตอนนั้นสร้างความทรงจำอันลึกล้ำให้แก่เฉินผิงอัน นางคอยจูงจมูกพวกเขาเดิน ขนาดนักพรตเต๋าตาบอดที่เชี่ยวชาญเวทลับสายฟ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากไม่เป็นเพราะเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้หนึ่งกระบี่ทำลายม่านอาคม เผยฝีมือของเซียนกระบี่ให้เห็น เกรงว่าตอนนั้นเฉินผิงอันคงถูกบีบให้ต้องใช้ปราณกระบี่สองกลุ่ม แล้วก็คงไม่มีโอกาสคุมเชิงกับเด็กหนุ่มชุยฉานบนปากบ่อน้ำในภายหลังแล้ว
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น จ้องมองร่มกระดาษน้ำมันเขม็ง หลังจากดื่มเหล้าอีกหนึ่งคำก็ไม่ลืมหยิบร่มขึ้นมาสลัดสองสามที ด้านในร่มเกิดเสียงแผ่วเบาเหมือนมีกองขี้เถ้าร่วงพรูลงมา
เฉินผิงอันนั่งเกาหัวอยู่ตรงนั้น ดื่มเหล้าไปพลางรู้สึกว่าใจวูบโหวงแปลกๆ ตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วเคยชินกับการฝึกฝนแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกวัน ตอนนี้กลับเหมือนคนที่…ดื่มเหล้าจนชินแล้วกลับไปดื่มน้ำเปล่าอีกครั้ง?
เฉินผิงอันบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าร่มกระดาษน้ำมันคันนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับบัณฑิตคนไหน หรือเพิ่งจะถูกวัตถุชั่วร้ายสิงสู่หลังจากเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้ว แต่ความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ในร่มคันนี้ต้องเป็นแค่ขุนพลข้ามแม่น้ำที่ถูกส่งมาหยั่งเชิงเส้นทางเท่านั้น ดังนั้นเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ อาศัยแสงไฟเรียกเหล็กหมาดลมหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เป่าลมใส่ปลายพู่กันหนึ่งครั้งแล้วเริ่มวาดยันต์ ยันต์ที่วาดยังคงเป็นยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ แต่กระดาษยันต์ไม่ใช่กระดาษสีเหลืองแล้ว คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นกระดาษยันต์เนื้อสีทองแผ่นหนึ่งแทน
วาดเสร็จหนึ่งแผ่น เฉินผิงอันก็ยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่วางไว้ข้างมือกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ด้วยความเคยชิน หยุดพักไปชั่วขณะ รอจนลมหายใจกลับมามั่นคงดีแล้วถึงได้กล้ายกพู่กันขึ้นเขียนอีกครั้ง
ท่ามกลางราตรีที่มีลมพายุฝน เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าจนกรึ่มๆ เล็กน้อยตวัดพู่กันลมหิมะว่องไวดุจมีเทพช่วย
ข้างมือมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดหนึ่งลูก และกำจัดปีศาจปราบมารสองกระบี่ในกล่องไม้
แน่นอนว่ายังมีเสียงกรนของนักพรตจางซานที่นอนอยู่บนเตียงอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย
……
ลมฝนพัดกระโชก บางครั้งม่านราตรีก็ถูกฉีกกระชากด้วยประกายสายฟ้า บนเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างจากบ้านโบราณออกมา มีนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สีหน้ามืดทะมึนถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ พอแบมืออกดู เหรียญทองสัมฤทธิ์ลักษณะโบราณเรียบง่ายเหรียญหนึ่งพลันแตกหัก สีหน้าของนักพรตวัยกลางคนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ข่มกลั้นความเสียดายในใจ โยนมันทิ้งไปด้วยท่าทางราวกับว่าไม่สนใจ แค่นเสียงกล่าวว่า “คู่สุนัขชายหญิงที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง แม้จะอาศัยชัยภูมิอันได้เปรียบต่อต้านอย่างเหนียวแน่น ก็มีแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเองเท่านั้น”
ข้างกายของนักพรตวัยกลางคนคือชายร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้มตาโต สวมเสื้อผ้าบางๆ คนหนึ่ง เขาปล่อยให้น้ำฝนกระทบทั่วร่างตัวเอง บางครั้งในดวงตาก็มีประกายแสงสีทองเป็นเส้นๆ พุ่งผ่าน ตรงเอวห้อยกล่องตราประทับขนาดเท่ากำปั้นไว้หนึ่งกล่อง เมื่อเห็นว่านักพรตเต๋าขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ สูญเสียขุนพลที่รักตัวหนึ่งไปอย่างเสียเปล่าก็หัวเราะหยันอย่างหงุดหงิด “หากยังจะฝืนบุกเข้าไป หลังจบเรื่องก็คงไม่ได้แบ่งกันคนละห้าสิบห้าสิบแล้ว!”
นักพรตเต๋าไม่คิดจะถกเถียงเรื่องนี้ จึงหันหน้ามาถามว่า “มือดาบเครายาวคนนั้นเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด ทำไมถึงมาเยี่ยมเยือนบ้านโบราณในคืนนี้พอดี?”
บุรุษร่างสูงใหญ่หัวเราะพรืด “ได้ยินว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรต่างถิ่นที่มาเยือนแคว้นไฉ่อีเมื่อปลายปีก่อน อาศัยว่าตัวเองมีดาบที่ดีจัดการกับพวกสิ่งชั่วร้ายไร้ฝีมือแถบชายป่าไปแค่ไม่กี่ตัว ชื่อเสียงก็โด่งดัง ดูจากสีหน้าท่าทางที่เขาแสดงออกมาขณะเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝนคืนนี้ อย่างมากสุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ หากไปอยู่ที่อื่นอาจจะน่ากริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มาอยู่ในถิ่นของข้าก็ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าช่วยกันจัดการ เจ้าสามารถเอาตัวเขาไปทำเป็นหุ่นเชิดได้ ข้าจะไม่ขัดขวาง แต่ดาบของเขาต้องเป็นของข้า”
นักพรตวัยกลางคนสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไอหมอกก็ลอยขึ้นมาจากทั่วร่าง ชุดคลุมเต๋าที่เปียกน้ำฝนแห้งสนิทในเสี้ยววินาที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
บุรุษร่างสูงใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังถามว่า “ที่พึ่งของเจ้าของบ้านโบราณหลังนั้น สูญเสียอำนาจในสำนักโองการเทพไปแล้วจริงๆ หรือ?”
นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “การข่าวของเทพภูเขาอย่างเจ้าล่าช้าไปหน่อยไหม”
สีหน้าชายร่างสูงใหญ่ดำคล้ำ พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ก็เพราะการปรากฏตัวของบ้านหลังนั้นไม่ใช่หรือไง เพราะมันใช้ค่ายกลเฮงซวยที่ไม่แพร่งพรายของสำนักโองการเทพมากลืนกินปราณวิญญาณในรัศมีร้อยลี้ไปทีละนิด ทำให้ตลอดร้อยปีมานี้ร่างทองของข้าค่อยๆ ผุพัง ตอนนี้ใครจะยังเต็มใจมองข้าเป็นเทพภูเขา สภาพการณ์ของข้ายังสู้เทพเจ้าที่ของสถานที่แห่งอื่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากแค้นนี้ไม่ชำระก็ยากจะคลายความอาฆาตในใจของข้าได้!”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนพยักหน้าเอ่ยว่าเห็นด้วย จากนั้นก็เอ่ยปลอบใจเขาอีกพักหนึ่ง
—–