บทที่ 323: การต่อสู้ระหว่างความเป็นและความตาย

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 323: การต่อสู้ระหว่างความเป็นและความตาย

อ๊ากกกก !!! ซ่ากกกก !!! เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชของวิญญาณร้ายดังก้องไปทั่ว ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกของเศษฝุ่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายตัวออกไปจากจุดศูนย์กลางของความตาย สะท้อนเม็ดฝนทั้งหมดที่ตกลงมาออกไปภายในทันที

ฉินเย่พยุงร่างของหวังเฉิงห่าวขึ้นมาอย่างเบามือและใช้พลังหยินของตนในการทำให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่ออีกนิด “เห็นไหม ? ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นจากไปอย่างสงบเถอะ เพราะอย่างไร เจ้าก็ไม่ได้มีญาติพี่น้องคนอื่นเหลืออยู่ในโลกนี้อีกแล้ว”

หวังเฉิงห่าวแย้มยิ้มบางขณะที่มองดูกลุ่มก้อนพลังหยินระเบิดออกมาจากร่างของวิญญาณร้าย จากนั้นก็ก่อตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง กลายเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินที่ไม่เสถียรและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงลูกไฟวิญญาณที่ลอยอยู่ในอากาศ

ฉินเย่จับมือที่เปื้อนเลือดของเด็กหนุ่มและวางไม้ขกสังปั๊งใส่มือของอีกฝ่าย “เอาล่ะ ข้าจะให้เจ้าปิดฉากเรื่องนี้เอง”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็จับมือของหวังเฉิงห่าวและฟันไม้ขกสังปั๊งผ่านลูกไฟวิญญาณที่ลอยอยู่ เปลวไฟตรงหน้าลุกโชนอย่างบ้าคลั่งก่อนจะดับไปในที่สุด เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วก่อนจะค่อย ๆ เบาลง ในขณะเดียวกัน ร่างของวิญญาณร้ายก็กลายเป็นเพียงฝุ่นผงและสลายไป

ชั้นดาดฟ้าถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง หวังเฉิงห่าวรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

“ดูไม่ได้เลย…” ไม่กี่วินาทีต่อมา หวังเฉิงห่าวรวบรวมแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่และเอ่ยด้วยำเสียงแผ่วเบา “พี่ฉิน… พี่ควรเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ได้แล้ว…”

ฉินเย่รีบเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ทันที เขายังคงพยุงร่างของหวังเฉิงห่าวเอาไว้ มันแปลกมาก เขารู้ดีว่าเขาสามารถจบชีวิตของเด็กหนุ่มได้ในตอนนี้เลย และมันก็ใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่พวกเขาจะไปเจอกันในยมโลกอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้ หวังเฉิงห่าวก็จะไม่ต้องผ่านความเจ็บปวดและความทรมานทั้งหมดนี้เช่นกัน แต่ถึงกระนั้น เขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ชีวิตนั้นเป็นอิสระ ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะกำหนดว่าผู้อื่นควรมีชีวิตหรือตายในลักษณะใด

“ฉัน… ฉัน… แค่ก แค่ก… กำลังจะ… ตายใช่ไหม ?” หวังเฉิงห่าวกระอักเลือดออกมาขณะที่พยายามพูด มันเป็นภาพที่น่าเกลียดและน่าขัน แต่ฉินเย่กลับไม่สามารถแย้มยิ้มออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

กลับกัน ฉินเย่เพียงพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้าเบา ๆ “ฉันสามารถรักษาอาการของนายให้คงที่ได้อีกแค่สิบนาทีเท่านั้น หลังจากนั้น นายจะตาย แต่ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานพวกเราจะได้พบกันอีก”

“พี่… แค่ก… ไม่ได้โกหกใช่ไหม ?” แววตาของหวังเฉิงห่าวเป็นประกายขึ้น

ฉินเย่ส่ายหน้า

“แต่… ฉันยังอยากมีชีวิต…” คำพูดที่ได้รับจากฉินเย่จุดประกายความมุ่งมั่นในการที่จะมีชีวิตของเด็กหนุ่ม และจิตวิญญาณของเขาก็สดใสขึ้น อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ถอนหายใจของมาเบา ๆ และวางมือลงบนหน้าผากของหวังเฉิงห่าว “ฉันขอโทษ เป็นฉันเองที่เห็นแก่ตัว”

โดยไม่เว้นช่วง เขาเอ่ยต่อ “จริง ๆ แล้วฉันมีโอกาสที่จะช่วยนายก่อนที่มันจะสายเกินไป แต่ฉันไม่อยากเปิดเผยตัวเอง และในมุมมองของฉัน ความเป็นกับความตายนั้นไม่ได้แตกต่างกัน ดังนั้น… ฉันก็เลยลังเล และมาช้าไป”

หวังเฉิงห่าวยิ้ม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นแผ่วเบา “พี่… ติดอยู่กึ่งกลางระหว่างมิตรภาพ… แค่ก แค่ก… และหน้าที่… ฉันไม่โทษพี่…”

“ฉันแค่คิดไม่ถึง…” เขาเหลือบตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ เมืองที่เย็นยะเยือกและกลุ่มเมฆสีดำบนท้องฟ้าดูน่าสนใจขึ้นมาทันที

“ฉันไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้… มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ฉันอยากทำ… แต่ฉัน กลับต้องมาตายลงที่นี่…” เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “ฉันยังเล่นเกมไม่จบเลยด้วยซ้ำ…”

“เจ้าโง่” ฉินเย่หัวเราะออกมาอย่างไม่เต็มใจและดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “พักเถอะ…”

“เมื่อนายลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างจะดีขึ้น”

เขาปิดตาของเด็กหนุ่ม

ถึงเวลาต้องไปแล้ว

แต่ดวงตาของหวังเฉิงห่าวยังคงลืมอยู่

นายไม่ควรตายทั้ง ๆ ที่ลืมตาแบบนี้… ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและพยายามปิดตาของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรลงไป หวังเฉิงห่าวก็เอ่ยขึ้น “พี่ฉิน… ฉันยังทนได้… พี่บังวิวฉันอยู่…”

ให้ตายเถอะ…

ฉินเย่กัดฟันแน่นและลดมือลง เกิดอะไรขึ้นกับความกลัวตาย ?! ทำไมนายถึงดูไม่กลัวสิ่งที่กำลังจะมาถึงเลยสักนิด ?

“นายไม่กลัวตายเลยหรือไง ?” ฉินเย่ถาม

“กลัวสิ…” หวังเฉิงห่าวไอและยิ้มออกมา “แต่พี่ไม่โกหกฉันหรอก… แค่ก แค่ก… ฉันไว้ใจพี่…”

นายไม่คิดบ้างหรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันหลอกนาย ? ริมฝีปากของฉินเย่สั่นระริก แต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา

“ที่จริง… ฉันรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวมาทั้งชีวิต…” หวังเฉิงห่าวพึมพำเสียงเบา “พอมาลองคิดดู ฉันใช้ชีวิตอยู่ด้วยมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้มาตลอด… และฉันก็ไม่สามารถสร้างชื่อให้ตัวเองหลังจากที่พวกเขาตายไปได้ด้วยซ้ำ… พี่รู้ไหม… มันมีช่วงนึงนะที่ฉันคิดอยากที่จะแข็งแกร่งแบบพี่…”

“ไม่ นายทำได้ดีมากแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถขยับขาได้ด้วยซ้ำเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณ”

เลือดยังคงไหลออกมาจากบาดแผล ในขณะที่หวังเฉิงห่าวกำมือฉินเย่แน่น “พี่ฉิน… ผู้ชายที่มาจากอัลบาทรอสเคยถามฉันเรื่องพี่…”

“แต่ฉัน… ไม่ได้บอกอะไรออกไป…”

“ฉันรู้” ฉินเย่ตบไหล่อีกฝ่าย “จะว่าไป ร่างกายของนายเริ่มไม่ไหวแล้ว นายจะต้องอยากจากไปอย่างสงบแน่ ฉันไม่ได้โกหก เราจะได้เจอกันอีกครั้งในนรกภายในชั่วพริบตา ฉันจะแต่งตั้งตำแหน่งให้นาย และนายก็จะสามารถกลับมาที่นี่และกำจัดวิญญาณร้ายได้จนกว่านายจะพอใจ เป็นไง ?”

หวังเฉิงห่าวไม่ได้พอใจกับคำตอบของฉินเย่เลยสักนิด แต่เขาก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “ไม่มีทาง ฮ่า ๆๆ …ฉันรู้สึกมีกำลังเหลือล้นมากตอนนี้… แค่ก !”

พร้อมกับเลือดที่กระอักออกมา ใบหน้าของเขาเริ่มซีดลงเรื่อย ๆ

ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็พบว่าตะเกียงไฟดวงที่สามบนร่างของหวังเฉิงห่าวเริ่มหรี่ลงเต็มที

“หยิบโทรศัพท์ของพี่ออกมา…” หวังเฉิงห่าวพึมพำด้วยกำลังที่เหลืออยู่และเอ่ยต่ออย่างอ่อนแรง “เปิดแอปบันทึกเสียง….”

ฉินเย่ทำตามที่อีกฝ่ายบอก

“ผม… หวังเฉิงห่าว… ตายด้วยฝีมือของวิญญาณร้าย… ขอยกมรดกที่เหลือของทั้งหมดของตัวเอง…”

ดวงตาของฉินเย่ไหววูบ เขามองหวังเฉิงห่าวด้วยแววตาตกตะลึง

นี่นาย… ยังมีกะจิตกะใจมาคิดถึงฉันในเวลาแบบนี้อีกเนี่ยนะ ?!

หวังเฉิงห่าวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ และเอ่ยต่อ “มูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวน… ทั้งหมด…”

เขากำมือของฉินเย่แน่นกว่าเดิม ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องห่วง ฉันจะใช้มันอย่างดี…”

“… จะถูกนำไปบริจาคให้มูลนิธิกาชาด…”

กรี๊งงงงง !

มาตรวัดความโกรธของฉินเย่พุ่งทะลุเพดานทันที

ไอ้บ้าเอ้ย ! นายช่วยตายไปดี ๆ ได้ไหม ?!

นี่จะตายอยู่แล้วยังต้องขี้งกขนาดนี้เลยเหรอ ? มันเป็นสิทธิ์ของนายก็จริง แต่ทำไมต้องแกล้งฉันแบบนี้ด้วย ?!

คอยดูเถอะ ฉันจะส่งนายไปเป็นของขวัญให้กับซูตงเซวี่ย !! ฉันมั่นใจว่านายจะต้องเป็นแบบที่นางชอบแน่นอน !

เขาแทบจะไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ทุบอีกฝ่ายจนตายได้ แต่โชคดีที่เขายังสามารถทนมันไหว เห้อ… ช่างเถอะ แต่… บ้าเอ้ย – นี่มันเงิน 10 ล้านเลยนะ ! แถมฉันยังพยุงนายอยู่ด้วย ! นายไม่เคยถูกสอนให้รักและเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่าเลยหรือไง ? ทำไมไม่นึกถึงความรู้สึกของฉันบ้าง ?!

แต่ถึงอย่างนั้น ฉินเย่ก็ตอบออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “อืม” จากนั้น รูม่านตาของหวังเฉิงห่าวก็เริ่มขยายออก “พี่ฉิน… พี่จำ… เพลงที่เราได้ฟังตอนที่เราหนีออกมาจากเมืองชิงซีได้หรือเปล่า ?”

ฉินเย่นึกอยู่ครู่หนึ่ง “เพลงผิงฝานจือลู่น่ะเหรอ ?”[1]

“พี่ช่วย… ร้อง… ให้ฉันฟังสักนิดได้ไหม ?”

“ฉันเคยเหมือนกับเธอ เหมือนกับเขา เหมือนต้นไม้ใบหญ้าพวกนั้น เคยสิ้นหวัง เคยคาดหวัง หัวเราะ ร้องไห้ ไม่ต่างกับคนทั่วไป…” ทักษะการร้องเพลงฉินเย่ไม่ได้ดีเลยสักนิด แต่ขณะที่เขายังคงประคองร่างของหวังเฉิงห่าวเอาไว้และร้องออกมา ร่างของอีกฝ่ายก็เริ่มอ่อนแรงและแน่นิ่งไปในที่สุด

จมูกของเด็กหนุ่มเย็นชืด ในขณะที่ริมฝีปากซีดเผือด

ในที่สุดเขาก็จางไป

“คนบางคนบอกว่าชีวิตของพวกเขานั้นไม่คุ้มค่า” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและค่อย ๆ วางร่างของหวังเฉิงห่าวลงอย่างเบามือ “แต่นายได้ใช้มันอย่างดีมากแล้วจริง ๆ”

“ระยะเวลาของนายในแดนมนุษย์อาจจะสั้น แต่สิ่งที่นายได้เห็นและได้ประสบนั้นมากเกินกว่าครึ่งชีวิตของคนส่วนใหญ่เสียอีก นายได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วจีน นั่นทำให้นายสามารถนับได้ว่าตัวเองดีกว่าพวกที่ต้องตายไปโดยไม่แม้แต่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเสียอีก…”

ฉินเย่ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น จากนั้น ด้วยการสะบัดข้อมือเบา ๆ ไม้ขกสังปั๊งก็หลุดออกจากรอยแตกบนพื้นและลอยเข้ามาอยู่ในมือ เขาหันหน้าไปมองยังมุมหนึ่งของดาดฟ้า “ออกมา ข้าเห็นพวกเจ้ายืนดูอยู่มาสักพักแล้ว สนุกหรือไม่ ?”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

ฉินเย่ส่ายศีรษะ จากนั้นก็กระดิกนิ้ว ส่งผลให้ยันต์แผ่นหนึ่งที่ห้อยอยู่บนไม้ขกสังปั๊งพุ่งตรงไปที่ประตู และในเสี้ยววินาทีถัดมา ร่างสองร่างก็พุ่งทะลุประตูและหลบขึ้นไปด้านบน

ขั้นยมทูตขาวดำ !

ฉินเย่รับรู้ระดับพลังของอีกฝ่ายตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

ผู้หญิงสวมเสื้อคลุมยาวสีกรมท่าและรองเท้าปักสีแดง มือของนางยาวสองเมตรและผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง สีผิดซีดขาวและดวงตาแดงก่ำที่จ้องออกมาจากผมที่ปรกหน้า พลังหยินที่หลั่งไหลออกมาจากร่างของนางหนาจนแทบจะก่อตัวเป็นรูปร่าง

ร่างของนางดูเหมือนจะบิดเบี้ยวจนไม่เป็นรูปร่าง มันแทบจะเหมือนกับว่านางถูกทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนตาย นางคลานอยู่ที่พื้นราวกับแมงมุม ในขณะที่ด้านข้างของนางคือเด็กที่ไว้ผมทรงเดรดล็อคและสวมเพียงกางเกงชั้นใน เด็กน้อยอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันแหลมคมที่มีน้ำศพสีดำไหลออกมา

พลังหยินที่ทั้งคู่แผ่ออกมานั้นรุนแรงกว่าวิญญาณร้ายที่ฉินเย่เพิ่งกำจัดไป มากถึงขนาดที่ว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของทั้งสองสามารถทำให้เกิดเสียงกรีดร้องที่โหยหวนและน่าสะพรึงกลัวขึ้นรอบตัว

กร๊อบ…. กร๊อบ… ศีรษะของผู้หญิงตรงหน้าเริ่มบิดไปรอบ ๆ อย่างน่าสยองขวัญขณะที่นางหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า “ช่างน่าประทับใจจริง ๆ …ที่ยมทูตตนหนึ่งจะมีความรู้สึกผูกพันกับแดนมนุษย์เช่นนี้… หึหึหึ… ข้าแทบจะร้องไห้ออกมาแล้วเชียว…”

“เจ้าจะไปรู้อะไร” ฉินเย่ตอบกลับเสียงเรียบ

“เมื่อตอนที่ยังมีชีวิต ข้าคือหมอผี หนึ่งในยอดฝีมือแห่งโลกใต้พิภพทั้งเจ็ด… หึหึหึ… ยมทูตตัวน้อยเอ๋ย เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับมัจจุราชแห่งยมโลกบ้างหรือไม่ ?” หมอผีผู้หญิงตรงหน้าหัวเราะ จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นว่า “อ้อ ! ข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วย”

เมื่อพูดจบ นางก็ยกเสื้อคลุมของตนขึ้นเล็กน้อย และก้อนเนื้อก้อนหนึ่งก็กระเด็นมาตกอยู่ที่ตรงหน้าของฉินเย่เสียงดัง

มันคือหลี่จีสี่

และอีกฝ่ายก็ยังไม่ตาย !

แขนและขาของเขาถูกฉีกออกจากร่าง แต่เขาก็ยังสามารถรอดชีวิตมาได้แม้ว่าจะประสบกับความทรมานอย่างแสนสาหัส

“ยมทูตขาวดำ… คุณอยู่ขั้นยมทูตขาวดำจริง ๆ” แววตาของเขาอ่อนลง เพราะเขารู้ดีว่าชะตากรรมของเขาถูกปิดผนึกลงทันทีที่ฉินเย่ปรากฏตัวขึ้น

“ชู่ววว…” ฉินเย่ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองและสำรวจร่างของหลี่จีสี่ก่อนจะตบหน้าอีกฝ่ายเบา ๆ “คุณรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ตัวเองเพิ่งฆ่าคนไป ?”

หลี่จีสี่ยิ้มเย็น เขายังคงจ้องมองฉินเย่เขม็งราวกับนักล่าที่กำลังมองเหยื่อ

“ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานคุณก็จะได้ตามเขาไปแล้ว เพราะต่อให้วิญญาณร้ายพวกนี้จะไว้ชีวิตของคุณ แต่ผมไม่” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ “คุณคงยังสงสัยอยู่ใช่ไหมว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ช่องแคบสึชิมะหรือเปล่า ?”

ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ พลังหยินที่อยู่รอบตัวของฉินเย่ก็ระเบิดออกมาและกลายเป็นกระแสน้ำวงพลังหยินขนาดใหญ่ เส้นผมสีเขียวหยกสยายไปในอากาศอย่างน่ากลัว ม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และรูม่านตาเปลี่ยนเป็นสีขาว เสื้อคลุมยาวสีขาวที่ปักดิ้นเป็นรูปของเซี่ยจื้อของขั้นยมทูตขาวดำปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลี่จีสี่ในขณะลิ้นสีแดงเข้มยื่นยาวออกมาและเลียไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ฉินเย่แย้มยิ้มบาง “ใช่ เจ้าคิดถูกแล้ว”

หัวใจของหลี่จีสี่เต้นเร็วขึ้น และเขาก็พยายามดิ้นรนราวกับมีอะไรหลายอย่างที่ต้องการจะพูด แต่น่าเสียดาย เขาไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว

เราคิดถูก ! เราตามมาถูกคนแล้ว !

เขา… มันเป็นเขาจริง ๆ!

ตอนนี้ปากของเขาถูกปิดกั้นด้วยพลังหยินจนไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้

“ข้านับถือเจ้าจริง ๆ สมชื่อของหน่วยอัลบาทรอสจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะสามารถแกะรอยข้ามาได้ถึงขนาดนี้” ฉินเย่ยืดหลังตรงและเอ่ยต่อด้วยเสียงเย็นยะเยือก “แต่น่าเสียดาย เพราะความอยากอยากรู้อยากเห็นนั่นเองที่ฆ่าคนตาย”

ด้วยการสะบัดข้อมือเบา ๆ เขาตัดผ่านหลอดเลือดแดงของหลี่จีสี่ด้วยไม้ขกสังปั๊งในมือ เลือดสีแดงเข้มพุ่งออกมาราวกับน้ำพุทันที

“ต่อให้ข้าไม่ฆ่าเจ้า ยังไงเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี ร่างกายของเจ้าได้รับพลังหยินมามากเกินไป และความตายก็เป็นจุดจบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ให้ข้า… ได้ปลดปล่อยเจ้าเอง เจ้าควรจะดีใจนะที่ข้าตอบแทนความชั่วของเจ้าด้วยความดี”

เลือดสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากเส้นเลือดของเขาราวกับน้ำพุ จากนั้น ขณะที่ฟันของหลี่จีสี่กระทบกันในลมหายใจสุดท้ายของเขา วิญญาณผู้หญิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ปรบมือเสียงดัง “ใช่แล้ว… แบบนี้สิถึงสมกับเป็นยมทูต… ชีวิตของพวกมนุษย์จะไปมีประโยชน์อะไร ?”

“เจ้าไม่กลัวข้าเลยอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่หันไปมองนาง

“ท่านแม่ เขาหัวเราะท่าน” เด็กน้อยทำหน้ายุ่ง

“ลูกรัก อีกไม่นานเขาก็จะหัวเราะไม่ออกอีกต่อไป มันผ่านมานานกว่า 50 ปีแล้วที่เราตายมา และเราก็ได้สังหารผู้ฝึกตนไปจำนวนมาก” นางเอ่ยตอบผู้เป็นลูกด้วยเสียงแหบพร่า “ถึงแม้ว่าราชาผีจะสั่งให้พวกเรามาลาดตระเวนเท่านั้น แต่มันก็คงไม่แย่นักหากเรา… สามารถจับตัวเป้าหมายไปได้ทั้งเป็น…”

ฉินเย่แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย ครู่ต่อมา เขาเงยหน้าขึ้นและเริ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง

เมื่อหัวเราะเสร็จ เขาก็ก้มหน้าลงมาและเหวี่ยงไม้ขกสังปั๊งในมือ “เป็นอย่างที่ที่อาร์ทิสพูดเอาไว้จริง ๆ”

“วิญญาณร้ายที่อายุ 50 ปีพวกนี้ไม่รู้จักขอบเขตของตัวเองเลยสักนิด”

[1] ปรากฏขึ้นครั้งแรกในตอนที่ 36