ภาคที่ 2 บทที่ 26 อยู่เฉย ๆ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 26 อยู่เฉย ๆ

ข่าวที่ว่าซูเฉินจะไม่เข้าร่วมการประลองสิ้นปีได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋อี่หง ไป๋โอว และคนอื่น ๆ อีกมากมายก็รู้สึกผิดหวังและไม่พอใจกับเรื่องนี้

กุ่ยเหรินผู้เคยพ่ายแพ้ให้กับซูเฉินในระหว่างการสอบของมณฑลสามเทือกเขา ได้กล่าวอ้างว่าซูเฉินหวาดกลัวจึงไม่กล้าที่จะเข้าร่วมในการประลองสิ้นปี ดังนั้นตัวเขาเองนี่แหละ ที่จะเป็นคนจัดการกับซูเฉินและยัดความอัปยศของผู้แพ้ใส่มืออีกฝ่ายเอง

ความสิ้นหวังอันเย็นเยือก กานเออร์ลี่ คืออีกหนึ่งคนที่ได้เคยพ่ายแพ้ต่อซูเฉิน คนผู้นี้ก็บอกว่าเขาจะสั่งสอนบทเรียนแก่ซูเฉินเช่นกัน

อย่างไรก็ตามคำพูดของพวกเขา กลับถูกหวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์ปฏิเสธทิ้งไป

หลังจากการสอบของมณฑลสามเทือกเขา ความสัมพันธ์ของจินหลิงเอ้อร์กับซูเฉินก็นับได้ว่าค่อนข้างดีอยู่ พวกเขามักจะติดต่อกันอยู่บ่อย ๆ และเมื่อนางพบว่าซูเฉินไม่ได้เข้าร่วมการประลองสิ้นปี จินหลิงเอ้อร์ก็ได้ไปหาเขาเป็นการส่วนตัวและถามว่าทำไม ซึ่งหลังจากได้รู้เหตุผลของเด็กหนุ่ม นางก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ

สำหรับพานเฮ่าและคนของเขา เนื่องจากซูเฉินได้กุมจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้อยู่ พวกเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรและได้แต่อดทนอย่างเงียบ ๆ

เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีการของจีหานเยี่ยนนั้นเรียบง่ายกว่ามาก นางไปหาซูเฉินตรง ๆ และพยายามท้าสู้กับเขา

นางได้แย้งไปว่า เนื่องจากนางจะไม่มีโอกาสได้สู้กับเขาในการประลองสิ้นปีนี้แล้ว พวกเขาก็ควรจะสู้กันเป็นการส่วนตัวสักตา

ซูเฉินหมดหนทางที่จะปฏิเสธ เขาเดินตามจีหานเยี่ยนไปที่สนามประลองเพื่อแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันสัก 2-3 ทีอย่างช่วยไม่ได้

พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ !

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะนับตั้งแต่การสอบของมณฑลสามเทือกเขาจบลงไป ตลอดปีที่ผ่านมานางได้ฝึกฝนมาอย่างหนัก ทำให้ความแข็งแกร่งของจีหานเยี่ยนเพิ่มขึ้นมาอีกขั้น

ส่วนซูเฉิน เขาใช้เวลา 3 เดือนแรกไปกับการค้นคว้าทักษะต้นกำเนิดอันใหม่ และเวลาที่เหลือหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ทำเพียงแค่ เรียน ค้นคว้า เรียน และก็ค้นคว้า ถ้าเขาสามารถชนะได้ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกแล้ว

ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย เน้นประสบการณ์และการฝึกฝน มันไม่ใช่แค่คำกล่าวลอย ๆ ที่เพียงแค่อ่านผ่าน ๆ ก็สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด

แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ

เป็นอย่างที่ฉือไคฮวงได้กล่าวไว้

ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เจ้าก็เป็นแค่เศษขยะไม่มีอะไรดี

หลังจากที่ประสบความสำเร็จ เจ้าถึงจะได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ทรงอำนาจ

ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ซูเฉินก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาและค้นคว้าของตน

หากฉือไคฮวงไม่ยอมให้เขาเรียนเกี่ยวกับพลังต้นกำเนิด เขาก็จะไปค้นคว้ามันหลังเลิกเรียนแทน

การใช้กฎแห่งบรูคเพื่อคำนวณหาว่าการเปลี่ยนแปลงพลังต้นกำเนิด จะส่งผลต่อผลลัพธ์ของทักษะอย่างไรบ้างกัน ?

แม้วิธีการทำให้ตำราเปิดพลังไคฮวงสมบูรณ์นั้นดูง่ายมาก แต่ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกลับมีความซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ มิฉะนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ที่มันจะสร้างปัญหาให้ฉือไคฮวงมานานขนาดนี้

แค่ตัวยันต์พลังต้นกำเนิดเองก็ค่อนข้างซับซ้อนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรูปแบบพลังต้นกำเนิดเลย ยิ่งเมื่อทั้ง 2 มารวมกันแล้ว รูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายนั่นเปรียบได้กับดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าเลยทีเดียว ทำเอาาสมองของซูเฉินรู้สึกราวกับกำลังจะระเบิดออกเพราะการคำนวณ

แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ยังคงสนุกไปกับมัน

เด็กหนุ่มทำการคำนวณต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เฝ้ามองหาคำตอบสุดท้ายที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ และในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มคุ้นเคยกับวิธีการใช้พลังต้นกำเนิดของตำราเปิดพลังไคฮวงมากยิ่งขึ้น ลึกยิ่งขึ้น …

——————————————

ในที่สุดวันแห่งการประลองสิ้นปีก็มาถึง

การแข่งขันถูกจัดขึ้นในรูปแบบของการแข่งขันแบบแพ้คัดออก

ศิษย์ทุกคนจะได้รับจัดอันดับ ตามอันดับที่พวกเขาได้เมื่อตอนที่พวกเขาเข้ามาในสถาบันครั้งแรก หลังจากที่ศิษย์ผู้เข้าร่วมถูกคัดออกจนเหลือเพียงผู้แข็งแกร่ง รายชื่อ 200 อันดับแรกก็จะถูกจัดเอาไว้บนการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน

ด้วยจำนวนของเหล่าศิษย์มากมาย การประลองสิ้นปีจึงได้กินเวลานานถึง 10 วัน

ในช่วงนี้ของปีถือเป็นช่วงเวลาที่เหล่าศิษย์ของสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะคึกคักและยุ่งกันมากที่สุดแล้ว

ศิษย์ที่อยู่บนลานประลองต่างก็พยายามที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของตน ในขณะที่ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างต่างก็เฝ้าดูอย่างตั้งใจ กระซิบกระซาบและพูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสามารถของศิษย์แต่ละคน จิตวิญญาณของพวกเขาล้วนกำลังลุกโชนเร่าร้อน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเริ่มการแข่งขันเดิมพันกันไปตามความสามารถในการรับรู้ ตามความแข็งแรงของศิษย์ และยังรวมไปถึงการเดิมพันทรัพยากรทางการเงินอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเฉินแต่อย่างใด

เขาเดินไปมาอย่างเงียบ ๆ ระหว่างห้องเรียนกับหอพลังต้นกำเนิด ซูเฉินได้ย้ายจากหอเมฆสงบมาอยู่ที่หอพลังต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้ว เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนและการค้นคว้าสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าโลกภายนอกจะวุ่นวายสักเพียงใดก็แทบจะไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลย

จนกระทั่ง 4 วันต่อมานับตั้งแต่ที่การประลองสิ้นปีได้จบลง ในที่สุดซูเฉินก็ได้รับแจ้งผลการแข่งขัน

จีหานเยี่ยนยังคงแข็งแกร่งเหมือนเช่นเคย นางได้รับอันดับที่ 4 จากการประลอง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านางจะไม่พอใจอย่างมากกับผลลัพธ์ที่นางได้ ในฐานะคนที่อยู่ในจุดสูงสุดมานานอย่างจีหานเยี่ยน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางจะยอมรับความจริงที่ว่ามีคนอื่นอยู่เหนือยิ่งกว่านางไม่ได้

ทว่านั่นก็คือความจริง สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้รวบรวมเหล่าผู้มีความสามารถจากทั่วดินแดนเอาไว้ ศิษย์ทุกคนถือเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในบ้านเกิดของพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาได้มารวมกลุ่มกัน ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็ต้องเผชิญกับการจัดอันดับแบ่งตามความแข็งแกร่งของพวกเขา

เมื่อเทียบกันแล้ว ชะตากรรมของจินหลิงเอ้อร์นั้นน่าเศร้ายิ่งกว่า

สายเลือดของนางไม่เหมาะกับการต่อสู้บนลานประลองแม้แต่น้อย และสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็ไม่มีทางจะอนุญาตให้นางควบคุมคนอื่นในการดวลอย่างแน่นอน

โชคยังดีที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของนางได้พัฒนาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ทักษะการควบคุมจิตของนางเองพัฒนาขึ้นก็เช่นกัน ด้วยทักษะดังกล่าวจึงทำให้จินหลิงเอ้อร์สามารถก้าวให้เข้าสู่ 1 ใน 200 อันดับแรกได้

ทว่าจินหลิงเอ้อร์ก็ยังคงรู้สึกผิดมากเสียจนนางแทบจะร้องไห้ออกมา !

อันดับของหวังโต้วซานนั้นดีขึ้นกว่าเดิม เขาไม่ได้อ่อนแอมาตั้งแต่แรกแล้ว และเขาก็ยังพัฒนาขึ้นอีกด้วย ในการประลองสิ้นปีเจ้าอ้วนสามารถคว้าอันดับที่ 98 มาครอง

ลี่ชิงอวิ๋นกับไป๋หลีเองก็ไม่ได้น้อยหน้า ทั้ง 2 เองก็ผ่านเข้าสู่ 200 อันดับแรกและได้รับตำแหน่งในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน ในอันดับที่ 148 และ 149 ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาทั้ง 2 ยังคงมีไม่มากนัก คราวนี้ไป๋หลีเป็นฝ่ายที่ได้อันดับสูงกว่าลี่ชิงอวิ๋น 1 อันดับ

สำหรับกุ่ยเหรินกับความสิ้นหวังอันเย็นเยือกกานเออร์ลี่ ที่บอกว่าจะสั่งสอนบทเรียนให้กับซูเฉินนั้น พวกเขาต่างก็ไม่อาจผ่านเข้า 200 อันดับแรกได้ทั้งคู่ เป็นเพราะกุ่ยเหรินถนัดในการปกปิดตัวตนและซุ่มโจมตีในเวลากลางคืนมากกว่า เช่นเดียวกับจินหลิงเอ้อร์ เขาเองก็ไม่เหมาะกับการต่อสู้บนลานประลอง

ส่วนกานเออร์ลี่เขาเป็นเพียงอัจฉริยะจากเมืองเล็ก ๆ แถบชนบท เมื่อเขาออกจากบ่อน้ำมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตนก็เป็นเพียงแค่กบก้นบ่อเท่านั้น การเอาชนะซูเฉินได้กลายเป็นเพียงเรื่องตลกไปโดยปริยาย เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่การจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนด้วยซ้ำ

หลินจิ้งซวนก็ไม่ติดอันดับมังกรผันเปลี่ยนเช่นกัน

แม้ว่าสมาชิกของตระกูลหลินจะสามารถเข้ามาสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ แต่ในสถานที่ที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ มันยังคงห่างชั้นเกินไปสำหรับพวกเขา

และในส่วนของซูเฉินนั้น … เนื่องจากเขาไม่ได้เข้าร่วมเขาจึงไม่ได้รับอะไรเลย

เด็กหนุ่มได้สูญเสียสถานะฐานะศิษย์หน่ออ่อนระดับ 2 ของเขาไป

ต้องขอบคุณการสนับสนุนของฉือไคฮวง สิทธิพิเศษภายในสถาบันของซูเฉินจึงยังคงได้รับการรักษาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียสถานะไปแล้วก็ตาม

เพราะเหตุนี้หลายคนจึงได้หัวเราะเยาะเขา

แม้แต่หัวหน้ากลุ่มเหมันต์เหินผู้ที่เคยให้ความสำคัญกับซูเฉินก็ยังอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

ความต้องการที่จะรับสมัครซูเฉินเข้ามาของพวกเขาลดหายไปอย่างช้า ๆ

เขาไม่ใช่ความภาคภูมิใจของผู้ไร้สายเลือดอีกต่อไป และได้กลายเป็นเพียงศิษย์ทั่วไปที่มีชื่อเสียงในช่วงสั้น ๆ

บางทีอีกไม่นานหลังจากนี้ เขาอาจจะไม่ใช่แม้กระทั่งศิษย์ธรรมดาทั่วไป

หลังจากปีแรกผ่านไป เหล่าศิษย์มือใหม่ก็มีประสบการณ์มากขึ้น ศิษย์ทุกคนได้รับการจัดอันดับเปรียบเทียบกัน ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็เริ่มปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ

ผู้ที่อยู่ในรายชื่อของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนถูกจัดเป็นศิษย์ระดับ 1 ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับอันดับได้ถูกพิจารณาให้เป็นระดับอื่น ๆ แทน การจัดอันดับที่แตกต่างกันยังแสดงให้เห็นถึงระดับความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน

แม้ว่าการแบ่งแยกเหล่านี้จะดูไม่สำคัญมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะฝังลงไปในจิตใจ ท้ายที่สุดมันก็จะผันเปลี่ยนมาเรื่องในกิจวัตร และกลายเป็นกฎที่ไม่ต้องพูดก็รับรู้กันได้ …

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้เช่นเดิม

เด็กหนุ่มนั้นกำลังดื่มด่ำไปกับการเรียนรู้ เขาทุ่มพลังและมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การศึกษาพลังต้นกำเนิด

วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน หลังจากจบจากการฟังบรรยายแล้ว ซูเฉินก็ตรงกลับไปที่หอพลังต้นกำเนิด

เมื่อมาถึงหอคอย ซูเฉินก็พบว่ามีคนหมดสติอยู่ที่ด้านหน้าประตู

หลังจากที่ได้ลองมองดูดี ๆ ซูเฉินก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นั้นเจ้าเหรอ ?”