บทที่ 27 อวิ๋นเป้า
ทันทีที่อวิ๋นเป้าได้สติขึ้น เขาก็กระโดดพลิกตัวขึ้นไปในอากาศ หลบลงไปอยู่ที่มุมห้องและซ่อนตัวเข้าไปในเงามืดในทันใด ก่อนจะสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ พร้อมกับเตรียมใช้ทักษะต้นกำเนิด
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนซูเฉินเห็นเพียงภาพเลือน ๆ จากนั้นเขาก็พบว่าผู้ป่วยที่เมื่อครู่ยังคงนอนหมดสติอยู่บนเตียง ตอนนี้กลับทำตัวราวกับเสือดาว ที่กำลังรอจังหวะเหมาะสมเพื่อเตรียมที่จะล่าเหยื่อของมันอยู่ที่มุมห้อง
ซูเฉินถึงกับผงะไป เขาหัวเราะและพูดว่า “เจ้าตื่นแล้วหรือ ? ไม่ต้องกังวลที่นี่ไม่มีอันตรายอะไร”
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นซูเฉิน สายตาที่ดูระมัดระวังของเขาก็สงบลง
หลังจากที่ท่าทีของอวิ๋นเป้าผ่อนคลายลง ความเจ็บปวดในร่างกายของเขาก็ถาโถมกลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้เขาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
ซูเฉินกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บถึง 32 จุดและ 3 ในนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าใช้เวลานานมากในการรักษาบาดแผลพวกนั้น แต่ตอนนี้การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของเจ้าทำให้แผลเปิดขึ้นอีกครั้งเสียแล้ว”
อวิ๋นเป้าก้มศีรษะลงมองร่างกายของตน มันเต็มไปด้วยบาดแผล และมีผ้าพันแผลบางส่วนที่เริ่มจะมีเลือดไหลซึมผ่านออกมาแล้ว
“ขอบคุณ” อวิ๋นเป้าตอบกลับด้วยเสียงที่แหบแห้ง เสียงของเขาฟังดูแผ่วเบาเพราะที่คอของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
“เจ้าไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณข้าหรอก ถ้าหากเจ้าไม่อยากให้ความพยายามอย่างหนักทั้งหมดของข้าต้องสูญเปล่า ก็กลับมานอนลงบนเตียงดี ๆ เถอะ”
อวิ๋นเป้ากลับไปมานอนลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง
“ดื่มนี่สิ” ซูเฉินส่งยาที่เขาเตรียมมาให้อวิ๋นเป้า “ยานี่ให้เจ้าดื่มตอนที่ตื่นแล้ว หลังจากดื่มเสร็จให้เปิดใช้งานทักษะวิชาดูดซับตัวยาเข้าไปและปล่อยให้มันกระจายไปทั่วร่างกาย … มันจะทำให้เจ้ารู้สึกร้อนนิดหน่อยนะ”
อวิ๋นเป้าดื่มมันลงไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนในร่างกายของเขาที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และแผ่กระจายไปทั่วทุกที่ มันร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ร้อนมากจนอวิ๋นเป้าแทบจะกรีดร้องออกมา
“เปิดใช้งานทักษะวิชาดูดซับของเจ้า เพื่อดูดซับยาเข้าไป !” ซูเฉินกล่าวย้ำ
อวิ๋นเป้าเริ่มดูดซับตัวยาอย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้คลื่นความร้อนค่อย ๆ สลายไป
ผลกระทบที่รุนแรงของตัวยายังคงส่งผลอย่างต่อเนื่องเสียจนอวิ๋นเป้าเจ็บเจียนตาย อย่างไรก็ตามจิตใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ช่างแข็งแกร่ง เขายังคงกัดฟันทนดูดซับยาภายใต้คำแนะนำของซูเฉินโดยไม่คร่ำครวญเลยแม้แต่น้อย
สถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปเกือบ 1 ก้านธูป ก่อนที่ในที่สุดอวิ๋นเป้าจะถอนหายใจออกมา ร่างกายของเขาไม่สั่นอีกต่อไป ความร้อนลดลงเองก็ได้ลดลง ทำให้ซูเฉินรู้ได้ทันทีว่าอวิ๋นเป้าดูดซับยาทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ?” ซูเฉินถาม
อวิ๋นเป้าตรวจสอบตัวเองแล้วตอบว่า “อาการบาดเจ็บภายในของข้าเกือบครึ่งหายแล้ว แต่อาการบาดเจ็บภายนอกไม่ได้รับผลจากตัวยามากนัก และบางจุดก็ดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิม”
“แค่นั้นก็ถือว่าดีแล้ว” ซูเฉินพอใจมาก อาการบาดเจ็บภายในของอวิ๋นเป้านั้นรุนแรงมาก การที่สามารถฟื้นตัวได้มากขนาดนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงเท่านี้เรียกได้ว่าน่าประทับใจ
ซูเฉินตอบกลับไปว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างไรเสียยาศิลาขาวก็มีไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายในแต่แรกแล้ว”
“ยาศิลาขาว ?” อวิ๋นเป้ารู้สึกสนใจ “มันคือยาอะไร ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับยาที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้มาก่อนเลย ?”
ซูเฉินยิ้ม “นั่นก็เพราะยาตัวนี้ไม่มีอยู่ที่ไหนอีกแล้วน่ะสิ”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาก็พูดเสริมว่า “มันเป็นของที่ข้าคิดค้นขึ้นมา”
“เจ้าเป็นคนคิดมันขึ้นมา ?” ดวงตาของอวิ๋นเป้าแทบจะถล่นออกจากเบ้า
“อืม … หากจะกล่าวให้ถูกคือมีคนคิดค้นมันทิ้งไว้ครึ่งทาง ส่วนข้าก็เพียงมาสานต่ออีกครึ่งหนึ่งจนสำเร็จเท่านั้นเอง” ซูเฉินกล่าว
ผู้สร้างที่แท้จริงของยาศิลาขาวคือปรมาจารย์เฟิง หลังจากฆ่าเขาแล้ว ซูเฉินก็ได้รับข้อมูลทั้งหมดที่เขาทิ้งเอาไว้มาซึ่งรวมไปถึงสูตรยานี้ด้วย
เดิมทียานี้ไม่ได้มีชื่อเรียกว่ายาศิลาขาว และมันก็ไม่ได้ใช้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายในเช่นกัน
มันเป็นยาชนิดหนึ่งที่มีไว้เพื่อกระตุ้นให้พลังต้นกำเนิดเพิ่มสูงและรุนแรงขึ้นในช่วงสั้น ๆ ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มพลังของทักษะต้นกำเนิดของผู้ที่ดื่มยาตัวนี้เข้าไปอย่างมาก
แต่นี่ก็ถือเป็นงานที่ล้มเหลวเช่นกัน ปรมาจารย์เฟิงมีประสบการณ์เพียงแค่ในเรื่องการปรุงยาเท่านั้น ไม่ได้เก่งเรื่องการควบคุมพลังต้นกำเนิด เขาค้นพบว่าพลังต้นกำเนิดที่สับสนวุ่นวายนั้นยากเกินกว่าจะควบคุมได้ ดังนั้นจึงได้ยอมแพ้ไป
หลังจากได้รับบันทึกของปรมาจารย์เฟิงแล้ว ซูเฉินก็ตระหนักได้ว่าความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดของเขานั้นดีกว่าปรมาจารย์เฟิงมาก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงอยากที่จะลองทำยานี้ขึ้นมาดู แถมเขายังสามารถฝึกฝนและเรียนรู้เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุนี้ไปพร้อมกับเพิ่มความแข็งแกร่งได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในบันทึกนั่นมีเพียงแค่รายละเอียดเกี่ยวกับส่วนผสมเท่านั้น ไม่ได้มีขั้นตอนการปรุงเขียนเอาไว้ ทำให้ซูเฉินล้มเหลวไปหลายครั้ง
ท่ามกลางความล้มเหลวซูเฉินได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า ผลข้างเคียงจากส่วนผสมอย่างหนึ่งในยาพลังต้นกำเนิดเดือดพล่านมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้
ดังนั้นเขาจึงเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถปรุงยาพลังต้นกำเนิดเดือดพล่านขึ้นมาได้ หากแต่การปรับปรุงของเขากลับส่งผลให้เกิดยาตัวใหม่ที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในขึ้นมาแทน
ในตอนนี้ซูเฉินก็ยังคงถือว่ายาศิลาขาวเป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากโชคช่วย และไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่า บนเส้นทางแห่งการค้นคว้าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเสียเวลามากมายไปโดยเปล่าประโยชน์และไม่เคยได้ผลตามที่ต้องการ ในขณะที่ความบังเอิญมักจะมอบผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงมาให้
เมื่อความบังเอิญเกิดขึ้นบ่อยขึ้น มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ยาศิลาขาวเป็นความสำเร็จโดยบังเอิญครั้งแรก ในระหว่างการวิจัยของเขา แต่มันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเด็กหนุ่มแน่นอน
“งั้นเป้าหมายหลักของเจ้าคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุ ส่วนการฝึกฝนก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านสินะ” อวิ๋นเป้ากล่าวด้วยสีหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
ซูเฉินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลก ๆ “ไม่ เป้าหมายของข้าคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่แข็งแกร่ง … ส่วนการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุมันเป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น”
“……”
ซูเฉินที่เป็นเพียงศิษย์ชั้นปีที่ 2 ของสถาบันมังกรซ่อนเร้นและสามารถในการคิดค้นยาตัวใหม่ออกมาได้ แต่เขากลับบอกว่าสิ่งที่เขาทำไป มันเป็นเพียงแค่ ‘ทางผ่าน’
อวิ๋นเป้าตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาและพูดว่า “เจ้ายังไม่เคยถามเลยว่าข้าบาดเจ็บได้อย่างไร … เจ้ารู้อยู่แล้ว ใช่ไหม ?”
“เจ้าได้รับบาดเจ็บมา 32 จุด เห็นได้ชัดเลยว่า 7 แห่งในนั้นเกิดจากการโจมตีประเภทสายฟ้า การโจมตีเหล่านี้ทะลุผิวหนังและทำร้ายอวัยวะภายในของเจ้า แม้ว่าจะมีคนอยู่มากมายที่ใช้ทักษะวิชาที่มีพลังของสายฟ้า แต่ก็มีไม่มากนักที่มีพลังทะลุทะลวงเช่นนี้ … จิตวิญญาณอัสนีบาตรไป๋โอว ?”
อวิ๋นเป้าแสดงสีหน้าราวกับกำลังกล่าวว่า ‘งั้นเจ้าก็รู้แล้ว’
เขาพึมพำเสียงต่ำ “พวกมัน 6 คนรุมทำร้ายข้า ถ้ามีเพียงแค่เจ้าไป๋โอว ข้าก็คงจะฆ่ามันไปแล้ว !”
“ข้าเชื่อ แต่เจ้าก็ยังสามารถหลบหนีมาได้ทั้งที่พวกมัน 6 ทั้งคนจะไล่ล่าเจ้า ?”
อวิ๋นเป้าส่ายหัว “ข้าไม่ได้หนี”
ซูเฉินตกตะลึงเขาจ้องไปที่เด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บ “เจ้าสู้กับพวกมันตรง ๆ ?”
อวิ๋นเป้าตอบอย่างจริงจัง “พวกมันได้ทำพลาดครั้งใหญ่ พวกมันไม่ควรจะมาสู้กับข้าในป่า”
ซูเฉินมองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “อย่าบอกนะว่า เจ้าทำให้พวกมันบางคนได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ 6 ต่อ 1 ได้ ?”
อวิ๋นเป้าตอบว่า “ข้าฆ่าพวกมันไป 2 และทำให้เจ็บสาหัสไปอีกคนหนึ่ง”
“……”
คราวนี้เป็นตาของซูเฉินที่ต้องตะลึงจนพูดไม่ออก
——————————————
หลังจากที่ได้พูดคุยกัน ในที่สุดซูเฉินก็ยืนยันได้ว่าอวิ๋นเป้าตกเป็นเป้าหมายก็เพราะวิชาดาบอัสนีบาต
หลังจากการสอบมณฑลสามเทือกเขาสิ้นสุดลงได้ไม่นานนัก ซูเฉินก็พบว่าไป๋ฟานมาจากจิตวิญญาณอัสนีบาตรตระกูลไป๋ เพราะดาบอัสนีบาตรเป็นทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดของพวกเขา นอกจากนี้ไป๋โอวยังเป็นน้องชายของไป๋ฟานด้วย
ถึงทั้งคู่จะเป็นสมาชิกของตระกูลไป๋ แต่ไป๋ฟานกับไป๋โอวกลับมีสถานะที่แตกต่างกันมาก แม้ว่าไป๋ฟานจะเป็นลูกชายคนโต แต่สถานะของเขาก็ยังด้อยกว่าน้องชายของเขามาก เพราะไป๋ฟานเป็นเพียงผลผลิตจากการแสวงหาช่วงเวลาอันแสนโรแมนติกในวัยหนุ่มของไป๋จิ้งไถเท่านั้น
เนื่องจากแม่ของเขาเป็นคนไร้สายเลือด ดังนั้นระดับสายเลือดของไป๋ฟานจึงต่ำกว่าไป๋โอวมาก เมื่อยามที่เขาถูกซูเฉินฆ่า สายเลือดของเขายังไม่ตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ ไป๋จิ้งไถไม่เคยยอมรับไป๋ฟานเข้าสู่ตระกูล แต่เลือกที่จะเก็บเขาไว้ห่าง ๆ และบังคับให้ไป๋ฟานเรียนรู้จากเพื่อนของเขาแทน
ดังนั้นถึงแม้ว่าไป๋ฟานจะเป็นลูกของตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่เขาก็ไม่เคยได้รับการดูแลหรือเอาใจใส่ใด ๆ เลย
ไป๋ฟานมีสายเลือดที่อ่อนแอ และไม่ได้มีความสัมพันธ์กับไป๋จิ้งไถมากนัก ดังนั้นไป๋จิ้งไถจึงไม่ได้สนใจลูกชายคนนี้มากนัก
เหตุผลที่เขาโกรธและต้องการตามล่าซูเฉินกับอวิ๋นเป้า มันเป็นเพราะดาบอัสนีบาต
ดาบอัสนีบาตก็เหมือนกับกับฝ่ามือดอกไม้บิน ทั้งคู่ต่างก็เป็นทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด และมีศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาได้อย่างไม่จำกัด กล่าวได้ว่าสายเลือดนั้นมีความสำคัญมากกว่าตัวทักษะเอง แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋จิ้งไถไม่ได้คิดแบบนั้น จากมุมมองของเขาแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ทักษะ แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดไปให้บุคคลภายนอกได้อยู่ดี !
ใครก็ตามที่เรียนรู้ทักษะวิชาลับของตระกูลไป๋จะต้องตาย !
นี่อาจเป็นการประชดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ซูเฉินได้มุ่งมั่นที่จะหาทางหลีกเลี่ยงและก้าวข้ามขีดจำกัดจากสายเลือดทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ทุกคนสามารถเติบโตไปบนเส้นทางของการฝึกฝนได้ไกลยิ่งขึ้น แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงหัวโบราณเหล่านั้น กลับไม่เต็มใจแม้กระทั่งการแบ่งปันทักษะต้นกำเนิดง่าย ๆ ให้บุคคลภายนอก