บทที่ 28 เรือนไม้กฤษณา
แม้ว่าอวิ๋นเป้าจะดีขึ้นมากหลังจากดูดซับยาไป แต่เพราะการใช้พลังงานมากเกินไปจึงทำให้เขาหลับไปอีกครั้ง
หลังจากที่คนเจ็บหลับไปแล้ว ซูเฉินก็นั่งครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ
หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่โต๊ะทำงานที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วเริ่มลงมือปรับปรุงส่วนประกอบของยา
ซูเฉินปรุงยาขึ้นมาอีกขวดอย่างรวดเร็ว
เขาเทยาลงในฝ่ามือของเขาแล้วทามันลงบนใบหน้าเบา ๆ ทีละน้อย
เมื่อยาซึมลงบนใบหน้า ผิวของเด็กหนุ่มก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างช้า ๆ
จากนั้นซูเฉินก็หยิบปากกาขึ้นมาลากเส้นคิ้วของเขาเป็นเลข 8 แบบกลับหัว(1) และปิดท้ายด้วยการหนวดปลอมบนใบหน้า รูปร่างหน้าตาของซูเฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนไม่มีใครสามารถจำเขาได้
ซูเฉินเปลี่ยนเป็นชุดที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบแล้วออกจากห้องไป
เมื่อเขามาถึงห้องโถงหลัก ซูเฉินก็เห็นฉือไคฮวงนั่งอยู่ตรงกลางค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดที่กำลังทำงานอยู่ ชายชราถูกห้อมล้อมไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วนที่หมุนวนและเคลื่อนตัวอยู่เหนือศีรษะของเขา ฉือไคฮวงกำลังใช้ค่ายกลคำนวณหาโอกาสของการผสมผสานที่สามารถพัฒนาเป็นไปต่อได้อยู่
เมื่อซูเฉินปรากฏตัวขึ้น เหล่าดวงดาวที่กำลังโคจรอยู่ก็หยุดเคลื่อนไหวลง
ฉือไคฮวงลืมตาขึ้น ชายชราไม่ได้แปลกใจกับรูปลักษณ์ในปัจจุบันของซูเฉินที่เขาเห็นเลยสักนิด ทั้งหมดที่เขาพูดขึ้นก็มีเพียงแค่ “เจ้าจะออกไปข้างนอก ?”
“อืม” ซูเฉินพยักหน้า “มีบางอย่างที่ข้าต้องจัดการเล็กน้อย”
“ต้องให้ข้าเข้าไปจัดการไหม ?” ฉือไคฮวงถาม
แม้ว่าชายชราจะไม่เคยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรในหอพลังต้นกำเนิดนี้ที่เขาไม่ได้รับรู้
ซูเฉินยิ้ม “ข้าจัดการมันได้”
ฉือไคฮวงมองซูเฉินอย่างมีความหมาย เขาครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเดินไปตามเส้นทางนี้ ท้ายที่สุดเจ้าก็ต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง การเอาแต่พึ่งพาความเข้มแข็งของผู้อาวุโสอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ทางออก แต่หากเจ้าพบเจอปัญหาที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขมันได้จริง ๆ สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ว่าเมื่อใดที่ควรขอความช่วยเหลือ”
“ขอรับ !” ซูเฉินตอบอย่างเคารพ “เช่นนั้นศิษย์ขอตัว”
ฉือไคฮวงพยักหน้า “ไปเถอะ”
ในขณะที่เขากำลังจะจากไป ชายชราก็พูดขึ้นเสียงดัง “ซูเฉิน !”
“ศิษย์อยู่ที่นี่แล้ว ! ท่านอาจารย์มีคำแนะนำอะไรจะกล่าวเพิ่มหรือขอรับ ?”
ฉือไคฮวงกล่าวว่า “จำเอาไว้ สมาธิ !”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว !” ซูเฉินตอบอย่างจริงจัง
หลังจากออกจากหอคอยแล้ว ซูเฉินก็มุ่งหน้าออกไปนอกสถาบัน
ท้องฟ้าในตอนนี้มืดลงแล้ว แสงไฟจากบรรดาร้านรวงที่อยู่ตรงข้ามสถาบันมังกรซ่อนเร้นต่างก็เริ่มสว่างไสว
ทุก ๆ วันเหล่าศิษย์ของสถาบันจำนวนมากมายมุ่งมาที่นี่ในช่วงเวลาว่างเพื่อหาความเพลิดเพลินหลังจากการฝึกซ้อม ความบันเทิงทุกรูปแบบที่หาไม่ได้ในสถาบันสามารถพบได้ที่นี่
นอกจากนี้ นี่ยังนับเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าผู้ที่มีเจตนาร้ายอีกด้วย
หากพวกเขาต้องการที่จะเล็งเป้าไปที่ศิษย์คนใด สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือการจ่ายเงินจ้างคนในร้านเหล่านั้น
แล้วคนวงในเหล่านั้นจะคอยจับตาดูเป้าหมายของพวกเขาให้อย่างใกล้ชิด ทันทีที่พวกเขาค้นพบเป้าหมาย พวกเขาจะรายงานสถานที่ของเป้าหมายให้นายจ้างทราบทันที
นี่คือวิธีที่ฝ่ายตรงข้ามให้ตามหาซูเฉิน เมื่อตอนที่เขาออกจากสถาบันครั้งสุดท้าย
แต่คราวนี้ไม่มีใครจำเขาได้
ซูเฉินมุ่งตรงไปยังเมืองฉางผานในทันทีหลังจากที่เขาออกมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น
เมืองหลินเป่ยที่เป็นเมืองชายแดนเทียบกับเมืองฉางผานที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหลงซางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่พื้นที่ของเมืองยักษ์ใหญ่แห่งนี้อย่างเดียวก็เทียบได้กับเมืองหลินเป่ยถึง 20 แห่งรวมกันแล้ว กำแพงสูงตระหง่านน่าเกรงขามที่สูงเกือบ 20 จั้ง ที่ถูกสร้างขึ้นโดยหินดินดอนจากสามเหลี่ยมปากแม่น้ำดำ มันถูกปกคลุมไปด้วยอักขระค่ายกลรูปแบบต่าง ๆ รวมกันเป็นค่ายกลพลังต้นกำเนิดขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่เมืองทั้งหมด
กำแพงที่คดเคี้ยวที่ดูราวกับมังกรยักษ์ขดตัวอยู่รอบเมืองทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่าฉางผาน หัวและหางมังกรถูกสร้างขึ้นบนกำแพงเมือง เชื่อมต่อกันที่ประตูหลักทางเหนือ ‘ประตูปราบคนเถื่อน’
ตามชื่อของมัน ความสำคัญของประตูนี้คือการป้องกันและปราบปรามเผ่าคนเถื่อน !
โอรสแห่งสวรรค์ได้ยืนเฝ้าประตูหลักแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
เมืองฉางผานตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักร ไกลออกไปทางเหนือคือลุ่มแม่น้ำทองคำ ณ ที่แห่งนั้นชาวหลงซางได้สร้างป้อมปราการเอาไว้นามว่า ‘ปราการลุ่มน้ำทอง’ ถัดจากลุ่มแม่น้ำทองคำและปราการลุ่มน้ำทองไปก็จะเป็นทุ่งหญ้าฮาเหวย และลึกเข้าไปในทุ่งหญ้าฮาเหวยคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน โหดร้าย และรุนแรง ของเผ่าคนเถื่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากปราการลุ่มน้ำทองแตกพ่ายลง เมืองฉางผานก็จะต้องแบกรับภาระหนัก ในการป้องกันศัตรูจากเผ่าคนเถื่อนเอาไว้ที่ด้านนอกอาณาจักรทันที
ประตูทางเข้าที่ซูเฉินผู้มาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น เดินผ่านเข้าไปคือประตูทางทิศใต้ของเมือง
เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่และสง่างามของประตูทิศเหนือ ประตูทางทิศใต้นั้นเรียบง่ายกว่ามาก แม้แต่กำแพงเองก็ยังเตี้ยกว่ามาก
นั่นเป็นเพราะทางทิศใต้ของเมืองฉางผานเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ หากวันหนึ่งเผ่ามนุษย์ได้สูญเสียเมืองฉางผานไป เมื่อถึงเวลานั้นการป้องกันที่อ่อนแอนั้นย่อมจะง่ายต่อการยึดคืนยิ่งกว่า
ด้วยฐานะศิษย์ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น หลังจากการซักถามสั้น ๆ เพียงไม่กี่ข้อ ซูเฉินก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองโดยง่ายดาย
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้วแต่เมืองฉางผานก็ยังคงคึกคัก ท้องถนนสว่างไสวไปด้วยตะเกียงไฟและมีผู้คนสัญจรไปมากันขวักไขว่ ตะเกียงผลึกแก้วที่ทำงานด้วยหินพลังต้นกำเนิดถูกแขวนไว้ที่หน้าร้านทุกแห่ง ในเมืองหลินเป่ยมีเพียงร้านค้าที่ร่ำรวยที่สุดเท่านั้นที่จะใช้ตะเกียงผลึกแก้วเหล่านี้ แต่ที่นี่มันกลับใช้เป็นของทั่วไป
ขณะที่เขาเดินไปตามถนนที่มีแสงสว่างจ้า ฝีเท้าของซูเฉินได้เริ่มเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ซูเฉินก็มาถึงหน้าร้านมีชื่อว่า ‘เรือนไม้กฤษณา(2)’
ร้านค้ายังคงเปิดทำการอยู่ ซูเฉินจึงก้าวตรงเข้าไปข้างใน
คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารับรองเขา “นายท่านเชิญทางนี้เลยขอรับ ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เชี่ยวชาญในวัตถุดิบยาหายากทุกชนิดและยังจำหน่ายยาขั้นสูงด้วย ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะรับสิ่งใดดีขอรับ ?”
ซูเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่หยิบแผ่นกระดาษออกมาและยื่นส่งให้อีกฝ่าย
คนรับใช้รับกระดาษมาดูทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงไป ก่อนจะรีบกล่าวขึ้นด้วยความเคารพว่า “นายท่าน ได้โปรดรอสักครู่”
เขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องด้านในเพื่อรายงานบางอย่าง
ครู่ต่อมาเขากลับออกมาและนำทางซูเฉินเข้าไปยังห้องด้านใน รูปแบบโครงสร้างด้านหลังห้องโถงด้านหน้านั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดินที่คดเคี้ยวไปมาสักพักก่อนจะมาถึงหน้าห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง
ด้านในห้องนี้ได้มีคนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นซูเฉินเข้ามาคนที่อยู่ด้านในก็โบกมือให้คนรับใช้ถอยออกไป ก่อนจะโค้งคำนับให้ซูเฉินอย่างเคารพและกล่าวว่า “หลี่ชู่คารวะนายน้อย !”
“ลุกขึ้น” ซูเฉินกล่าว
ปรากฏว่าเรือนไม้กฤษณาแห่งนี้มีหลี่ชู่เป็นผู้ดูแล
กล่าวให้ถูกต้องกว่าคือ หลังจากที่เด็กหนุ่มได้เข้าเรียนที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น หลี่ชู่ก็ได้รับคำสั่งให้มาเปิดร้านในเมืองฉางผานแห่งนี้
วิธีการนี้สามารถช่วยซูเฉินได้หลายอย่าง ประการแรกหลี่ชู่ หมิงชูและโจวหงก็จะสามารถหาที่ปักหลักได้ อย่างไรเสียซูเฉินเองก็ไม่ได้ออกมาจากสถาบันบ่อยนักและไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้พวกเขาทั้ง 3 หาทางดูแลกันเอาเองแบบตามมีตามเกิดอย่างแน่นอน
ประการที่ 2 มันยังสามารถทำเงินให้แก่ซูเฉินไปได้ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่มันสามารถจัดการกับธุรกิจระหว่างเขากับอารามนิรันดร์ได้
ในทุก ๆ เดือนอารามนิรันดร์จะส่งวัตถุดิบมายังสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหลี่ชู่และคนอื่น ๆ ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของซูเฉินกับอารามนิรันดร์ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าเยี่ยเม่ยและคนอื่น ๆ เป็นเพื่อนของซูเฉินก็เท่านั้น
ประการที่ 3 ยังมียาที่เสร็จสมบูรณ์ในระหว่างที่ซูเฉินศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุ ยาที่ถูกเขาปรุงขึ้นได้สำเร็จแล้วเหล่านี้บางส่วนจะถูกส่งไปยังอารามนิรันดร์เพื่อชำระหนี้และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าของตัวเขา ส่วนที่เหลือจะมอบให้ร้านนี้เพื่อทำกำไร
เนื่องจากดวงตาของเขามีความสามารถในการมองเห็นพลังต้นกำเนิด อัตราความสำเร็จในการปรุงยาของซูเฉินจึงค่อนข้างสูง ดังนั้นธุรกิจนี้จึงสามารถทำเงินให้เขาได้ แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับเงินที่เขาได้รับมาจากการรีดไถผู้คนในหุบเขามรกต แต่ธุรกิจที่นี่ก็ถือว่ามั่นคงกว่ามาก
แต่เพื่อความปลอดภัย ความสัมพันธ์ของซูเฉินกับเรือนไม้กฤษณาจึงถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นฐานลับสำหรับการติดต่อกับภายนอกของเขา
เมื่อเข้ามาซูเฉินนั่งลงบนที่นั่งหลักและถามว่า “เร็ว ๆ นี้เจ้าได้เจอกับเยี่ยเม่ยบ้างหรือไม่ ?”
หลี่ชู่ตอบว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยได้มาที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน นางยังคงบ่นเรื่องที่ไม่ได้เจอนายน้อย นางกล่าวว่าท่านรู้เพียงแค่ว่าจะใช้เวลาให้หมดไปกับการเรียนอยู่แต่ในสถาบันอย่างไร และคงจะไม่มีวันออกมาอีกแล้ว”
สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับคฤหาสน์ซู มังกรซ่อนและเสือหมอบจำนวนมากมายหลบอยู่ที่ด้านในนั้น ผู้เชี่ยวชาญและผู้แข็งแกร่งทั้งหลายมีอยู่เป็นโหล
ความสามารถในการซ่อนตัวของเยี่ยเม่ยนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะแอบเข้าไปในสถาบันมังกรซ่อนเร้น การทำเช่นนั้นเปรียบได้กับการแส่หาความตาย ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานางจึงไม่เคยไปปรากฏตัวที่สถาบันเลย แต่มาพร่ำบ่นที่เรือนไม้กฤษณาแทน
พูดถึงเรื่องนี้ มันก็เป็นเพราะซูเฉินได้ขอให้เยี่ยเม่ยมาเป็นผู้ประสานงานของเขา ด้วยเหตุนี้เมื่อซูเฉินมาที่เมืองฉางผานเยี่ยเม่ยเองก็จึงต้องตามมาด้วยกันกับเขา
แต่ทันทีที่ซูเฉินเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นและหมกมุ่นอยู่กับการเรียน มันจึงกลายเป็นว่าเขาโยนผู้หญิงคนนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง และเนื่องจากนางไม่มีเพื่อนที่จะเล่นด้วย นางจึงเฝ้าบ่นมาเช่นนี้อยู่หลายวันแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซูเฉินก็หัวเราะ “ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้าก็อยู่นี่แล้วหรอกหรือ ? ไปบอกนางว่าข้าอยากพบนางที”
“ท่านแค่ต้องการพบนาง ?” หลี่ชู่รู้จักซูเฉินค่อนข้างดี
“เรามีธุรกิจต้องคุยกัน” ซูเฉินกล่าว
*****
(1) อักษรจีนเลขแปดคือตัว 八
(2) เป็นการเล่นคำว่า 沉香ที่แปลได้ว่าไม้กฤษณา
โดยใช้อักขระ沉 ซู แบบเดียวกับที่ใช้ในชื่อของ 苏沉ซูเฉิน