ภาคที่ 2 บทที่ 28 เรือนไม้กฤษณา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 28 เรือนไม้กฤษณา

 

 

แม้ว่าอวิ๋นเป้าจะดีขึ้นมากหลังจากดูดซับยาไป แต่เพราะการใช้พลังงานมากเกินไปจึงทำให้เขาหลับไปอีกครั้ง

 

 

หลังจากที่คนเจ็บหลับไปแล้ว ซูเฉินก็นั่งครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ

 

 

หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่โต๊ะทำงานที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วเริ่มลงมือปรับปรุงส่วนประกอบของยา

 

 

ซูเฉินปรุงยาขึ้นมาอีกขวดอย่างรวดเร็ว

 

 

เขาเทยาลงในฝ่ามือของเขาแล้วทามันลงบนใบหน้าเบา ๆ ทีละน้อย

 

 

เมื่อยาซึมลงบนใบหน้า ผิวของเด็กหนุ่มก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างช้า ๆ

 

 

จากนั้นซูเฉินก็หยิบปากกาขึ้นมาลากเส้นคิ้วของเขาเป็นเลข 8 แบบกลับหัว(1) และปิดท้ายด้วยการหนวดปลอมบนใบหน้า รูปร่างหน้าตาของซูเฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนไม่มีใครสามารถจำเขาได้

 

 

ซูเฉินเปลี่ยนเป็นชุดที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบแล้วออกจากห้องไป

 

 

เมื่อเขามาถึงห้องโถงหลัก ซูเฉินก็เห็นฉือไคฮวงนั่งอยู่ตรงกลางค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดที่กำลังทำงานอยู่ ชายชราถูกห้อมล้อมไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วนที่หมุนวนและเคลื่อนตัวอยู่เหนือศีรษะของเขา ฉือไคฮวงกำลังใช้ค่ายกลคำนวณหาโอกาสของการผสมผสานที่สามารถพัฒนาเป็นไปต่อได้อยู่

 

 

เมื่อซูเฉินปรากฏตัวขึ้น เหล่าดวงดาวที่กำลังโคจรอยู่ก็หยุดเคลื่อนไหวลง

 

 

ฉือไคฮวงลืมตาขึ้น ชายชราไม่ได้แปลกใจกับรูปลักษณ์ในปัจจุบันของซูเฉินที่เขาเห็นเลยสักนิด ทั้งหมดที่เขาพูดขึ้นก็มีเพียงแค่ “เจ้าจะออกไปข้างนอก ?”

 

 

“อืม” ซูเฉินพยักหน้า “มีบางอย่างที่ข้าต้องจัดการเล็กน้อย”

 

 

“ต้องให้ข้าเข้าไปจัดการไหม ?” ฉือไคฮวงถาม

 

 

แม้ว่าชายชราจะไม่เคยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรในหอพลังต้นกำเนิดนี้ที่เขาไม่ได้รับรู้

 

 

ซูเฉินยิ้ม “ข้าจัดการมันได้”

 

 

ฉือไคฮวงมองซูเฉินอย่างมีความหมาย เขาครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเดินไปตามเส้นทางนี้ ท้ายที่สุดเจ้าก็ต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง การเอาแต่พึ่งพาความเข้มแข็งของผู้อาวุโสอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ทางออก แต่หากเจ้าพบเจอปัญหาที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขมันได้จริง ๆ สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ว่าเมื่อใดที่ควรขอความช่วยเหลือ”

 

 

“ขอรับ !” ซูเฉินตอบอย่างเคารพ “เช่นนั้นศิษย์ขอตัว”

 

 

ฉือไคฮวงพยักหน้า “ไปเถอะ”

 

 

ในขณะที่เขากำลังจะจากไป ชายชราก็พูดขึ้นเสียงดัง “ซูเฉิน !”

 

 

“ศิษย์อยู่ที่นี่แล้ว ! ท่านอาจารย์มีคำแนะนำอะไรจะกล่าวเพิ่มหรือขอรับ ?”

 

 

ฉือไคฮวงกล่าวว่า “จำเอาไว้ สมาธิ !”

 

 

“ศิษย์เข้าใจแล้ว !” ซูเฉินตอบอย่างจริงจัง

 

 

หลังจากออกจากหอคอยแล้ว ซูเฉินก็มุ่งหน้าออกไปนอกสถาบัน

 

 

ท้องฟ้าในตอนนี้มืดลงแล้ว แสงไฟจากบรรดาร้านรวงที่อยู่ตรงข้ามสถาบันมังกรซ่อนเร้นต่างก็เริ่มสว่างไสว

 

 

ทุก ๆ วันเหล่าศิษย์ของสถาบันจำนวนมากมายมุ่งมาที่นี่ในช่วงเวลาว่างเพื่อหาความเพลิดเพลินหลังจากการฝึกซ้อม ความบันเทิงทุกรูปแบบที่หาไม่ได้ในสถาบันสามารถพบได้ที่นี่

 

 

นอกจากนี้ นี่ยังนับเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าผู้ที่มีเจตนาร้ายอีกด้วย

 

 

หากพวกเขาต้องการที่จะเล็งเป้าไปที่ศิษย์คนใด สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือการจ่ายเงินจ้างคนในร้านเหล่านั้น

 

 

แล้วคนวงในเหล่านั้นจะคอยจับตาดูเป้าหมายของพวกเขาให้อย่างใกล้ชิด ทันทีที่พวกเขาค้นพบเป้าหมาย พวกเขาจะรายงานสถานที่ของเป้าหมายให้นายจ้างทราบทันที

 

 

นี่คือวิธีที่ฝ่ายตรงข้ามให้ตามหาซูเฉิน เมื่อตอนที่เขาออกจากสถาบันครั้งสุดท้าย

 

 

แต่คราวนี้ไม่มีใครจำเขาได้

 

 

ซูเฉินมุ่งตรงไปยังเมืองฉางผานในทันทีหลังจากที่เขาออกมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น

 

 

เมืองหลินเป่ยที่เป็นเมืองชายแดนเทียบกับเมืองฉางผานที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหลงซางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

เพียงแค่พื้นที่ของเมืองยักษ์ใหญ่แห่งนี้อย่างเดียวก็เทียบได้กับเมืองหลินเป่ยถึง 20 แห่งรวมกันแล้ว กำแพงสูงตระหง่านน่าเกรงขามที่สูงเกือบ 20 จั้ง ที่ถูกสร้างขึ้นโดยหินดินดอนจากสามเหลี่ยมปากแม่น้ำดำ มันถูกปกคลุมไปด้วยอักขระค่ายกลรูปแบบต่าง ๆ รวมกันเป็นค่ายกลพลังต้นกำเนิดขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่เมืองทั้งหมด

 

 

กำแพงที่คดเคี้ยวที่ดูราวกับมังกรยักษ์ขดตัวอยู่รอบเมืองทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่าฉางผาน หัวและหางมังกรถูกสร้างขึ้นบนกำแพงเมือง เชื่อมต่อกันที่ประตูหลักทางเหนือ ‘ประตูปราบคนเถื่อน’

 

 

ตามชื่อของมัน ความสำคัญของประตูนี้คือการป้องกันและปราบปรามเผ่าคนเถื่อน !

 

 

โอรสแห่งสวรรค์ได้ยืนเฝ้าประตูหลักแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ

 

 

เมืองฉางผานตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักร ไกลออกไปทางเหนือคือลุ่มแม่น้ำทองคำ ณ ที่แห่งนั้นชาวหลงซางได้สร้างป้อมปราการเอาไว้นามว่า ‘ปราการลุ่มน้ำทอง’ ถัดจากลุ่มแม่น้ำทองคำและปราการลุ่มน้ำทองไปก็จะเป็นทุ่งหญ้าฮาเหวย และลึกเข้าไปในทุ่งหญ้าฮาเหวยคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน โหดร้าย และรุนแรง ของเผ่าคนเถื่อน

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากปราการลุ่มน้ำทองแตกพ่ายลง เมืองฉางผานก็จะต้องแบกรับภาระหนัก ในการป้องกันศัตรูจากเผ่าคนเถื่อนเอาไว้ที่ด้านนอกอาณาจักรทันที

 

 

ประตูทางเข้าที่ซูเฉินผู้มาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น เดินผ่านเข้าไปคือประตูทางทิศใต้ของเมือง

 

 

เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่และสง่างามของประตูทิศเหนือ ประตูทางทิศใต้นั้นเรียบง่ายกว่ามาก แม้แต่กำแพงเองก็ยังเตี้ยกว่ามาก

 

 

นั่นเป็นเพราะทางทิศใต้ของเมืองฉางผานเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ หากวันหนึ่งเผ่ามนุษย์ได้สูญเสียเมืองฉางผานไป เมื่อถึงเวลานั้นการป้องกันที่อ่อนแอนั้นย่อมจะง่ายต่อการยึดคืนยิ่งกว่า

 

 

ด้วยฐานะศิษย์ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น หลังจากการซักถามสั้น ๆ เพียงไม่กี่ข้อ ซูเฉินก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองโดยง่ายดาย

 

 

แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้วแต่เมืองฉางผานก็ยังคงคึกคัก ท้องถนนสว่างไสวไปด้วยตะเกียงไฟและมีผู้คนสัญจรไปมากันขวักไขว่ ตะเกียงผลึกแก้วที่ทำงานด้วยหินพลังต้นกำเนิดถูกแขวนไว้ที่หน้าร้านทุกแห่ง ในเมืองหลินเป่ยมีเพียงร้านค้าที่ร่ำรวยที่สุดเท่านั้นที่จะใช้ตะเกียงผลึกแก้วเหล่านี้ แต่ที่นี่มันกลับใช้เป็นของทั่วไป

 

 

ขณะที่เขาเดินไปตามถนนที่มีแสงสว่างจ้า ฝีเท้าของซูเฉินได้เริ่มเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

หลังจากเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ซูเฉินก็มาถึงหน้าร้านมีชื่อว่า ‘เรือนไม้กฤษณา(2)’

 

 

ร้านค้ายังคงเปิดทำการอยู่ ซูเฉินจึงก้าวตรงเข้าไปข้างใน

 

 

คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารับรองเขา “นายท่านเชิญทางนี้เลยขอรับ ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เชี่ยวชาญในวัตถุดิบยาหายากทุกชนิดและยังจำหน่ายยาขั้นสูงด้วย ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะรับสิ่งใดดีขอรับ ?”

 

 

ซูเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่หยิบแผ่นกระดาษออกมาและยื่นส่งให้อีกฝ่าย

 

 

คนรับใช้รับกระดาษมาดูทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงไป ก่อนจะรีบกล่าวขึ้นด้วยความเคารพว่า “นายท่าน ได้โปรดรอสักครู่”

 

 

เขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องด้านในเพื่อรายงานบางอย่าง

 

 

ครู่ต่อมาเขากลับออกมาและนำทางซูเฉินเข้าไปยังห้องด้านใน รูปแบบโครงสร้างด้านหลังห้องโถงด้านหน้านั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างซับซ้อน พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดินที่คดเคี้ยวไปมาสักพักก่อนจะมาถึงหน้าห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง

 

 

ด้านในห้องนี้ได้มีคนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นซูเฉินเข้ามาคนที่อยู่ด้านในก็โบกมือให้คนรับใช้ถอยออกไป ก่อนจะโค้งคำนับให้ซูเฉินอย่างเคารพและกล่าวว่า “หลี่ชู่คารวะนายน้อย !”

 

 

“ลุกขึ้น” ซูเฉินกล่าว

 

 

ปรากฏว่าเรือนไม้กฤษณาแห่งนี้มีหลี่ชู่เป็นผู้ดูแล

 

 

กล่าวให้ถูกต้องกว่าคือ หลังจากที่เด็กหนุ่มได้เข้าเรียนที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น หลี่ชู่ก็ได้รับคำสั่งให้มาเปิดร้านในเมืองฉางผานแห่งนี้

 

 

วิธีการนี้สามารถช่วยซูเฉินได้หลายอย่าง ประการแรกหลี่ชู่ หมิงชูและโจวหงก็จะสามารถหาที่ปักหลักได้ อย่างไรเสียซูเฉินเองก็ไม่ได้ออกมาจากสถาบันบ่อยนักและไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้พวกเขาทั้ง 3 หาทางดูแลกันเอาเองแบบตามมีตามเกิดอย่างแน่นอน

 

 

ประการที่ 2 มันยังสามารถทำเงินให้แก่ซูเฉินไปได้ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่มันสามารถจัดการกับธุรกิจระหว่างเขากับอารามนิรันดร์ได้

 

 

ในทุก ๆ เดือนอารามนิรันดร์จะส่งวัตถุดิบมายังสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหลี่ชู่และคนอื่น ๆ ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของซูเฉินกับอารามนิรันดร์ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าเยี่ยเม่ยและคนอื่น ๆ เป็นเพื่อนของซูเฉินก็เท่านั้น

 

 

ประการที่ 3 ยังมียาที่เสร็จสมบูรณ์ในระหว่างที่ซูเฉินศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุ ยาที่ถูกเขาปรุงขึ้นได้สำเร็จแล้วเหล่านี้บางส่วนจะถูกส่งไปยังอารามนิรันดร์เพื่อชำระหนี้และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าของตัวเขา ส่วนที่เหลือจะมอบให้ร้านนี้เพื่อทำกำไร

 

 

เนื่องจากดวงตาของเขามีความสามารถในการมองเห็นพลังต้นกำเนิด อัตราความสำเร็จในการปรุงยาของซูเฉินจึงค่อนข้างสูง ดังนั้นธุรกิจนี้จึงสามารถทำเงินให้เขาได้ แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับเงินที่เขาได้รับมาจากการรีดไถผู้คนในหุบเขามรกต แต่ธุรกิจที่นี่ก็ถือว่ามั่นคงกว่ามาก

 

 

แต่เพื่อความปลอดภัย ความสัมพันธ์ของซูเฉินกับเรือนไม้กฤษณาจึงถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นฐานลับสำหรับการติดต่อกับภายนอกของเขา

 

 

เมื่อเข้ามาซูเฉินนั่งลงบนที่นั่งหลักและถามว่า “เร็ว ๆ นี้เจ้าได้เจอกับเยี่ยเม่ยบ้างหรือไม่ ?”

 

 

หลี่ชู่ตอบว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยได้มาที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน นางยังคงบ่นเรื่องที่ไม่ได้เจอนายน้อย นางกล่าวว่าท่านรู้เพียงแค่ว่าจะใช้เวลาให้หมดไปกับการเรียนอยู่แต่ในสถาบันอย่างไร และคงจะไม่มีวันออกมาอีกแล้ว”

 

 

สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับคฤหาสน์ซู มังกรซ่อนและเสือหมอบจำนวนมากมายหลบอยู่ที่ด้านในนั้น ผู้เชี่ยวชาญและผู้แข็งแกร่งทั้งหลายมีอยู่เป็นโหล

 

 

ความสามารถในการซ่อนตัวของเยี่ยเม่ยนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะแอบเข้าไปในสถาบันมังกรซ่อนเร้น การทำเช่นนั้นเปรียบได้กับการแส่หาความตาย ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานางจึงไม่เคยไปปรากฏตัวที่สถาบันเลย แต่มาพร่ำบ่นที่เรือนไม้กฤษณาแทน

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ มันก็เป็นเพราะซูเฉินได้ขอให้เยี่ยเม่ยมาเป็นผู้ประสานงานของเขา ด้วยเหตุนี้เมื่อซูเฉินมาที่เมืองฉางผานเยี่ยเม่ยเองก็จึงต้องตามมาด้วยกันกับเขา

 

 

แต่ทันทีที่ซูเฉินเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นและหมกมุ่นอยู่กับการเรียน มันจึงกลายเป็นว่าเขาโยนผู้หญิงคนนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง และเนื่องจากนางไม่มีเพื่อนที่จะเล่นด้วย นางจึงเฝ้าบ่นมาเช่นนี้อยู่หลายวันแล้ว

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นซูเฉินก็หัวเราะ “ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้าก็อยู่นี่แล้วหรอกหรือ ? ไปบอกนางว่าข้าอยากพบนางที”

 

 

“ท่านแค่ต้องการพบนาง ?” หลี่ชู่รู้จักซูเฉินค่อนข้างดี

 

 

“เรามีธุรกิจต้องคุยกัน” ซูเฉินกล่าว

 

 

*****

 

(1) อักษรจีนเลขแปดคือตัว 八

 

(2) เป็นการเล่นคำว่า 沉香ที่แปลได้ว่าไม้กฤษณา

 

โดยใช้อักขระ沉 ซู แบบเดียวกับที่ใช้ในชื่อของ 苏沉ซูเฉิน