บทที่ 29 การลอบสังหาร
“ในที่สุดเจ้าก็รู้ตัวว่าต้องมาหาข้า ?”
เยี่ยเม่ยรีบตรงมาที่เรือนไม้กฤษณาในทันทีหลังจากได้รับข่าวของซูเฉิน นางจ้องดูเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เพื่อยืนยันว่านี่คือซูเฉินจริง ๆ อยู่พักใหญ่
เยี่ยเม่ยไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าสีดำและไม่ได้พยายามจะแอบส่องซูเฉินอีกต่อไป
ใบหน้าที่บอบบางน่าดึงดูดและผิวขาวซีดเล็กน้อย ดวงตากลมโต คางแหลม จมูกที่เชิดขึ้นนิด ๆ และใบหน้ารูปไข่ ในยุคนี้รูปหน้าแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ใบหน้าของนางเป็นใบหน้าที่ล้าสมัยไปแล้ว แต่มันก็ตรงกับรสนิยมของซูเฉินอย่างมาก
ราวกับเป็นการประชดกัน เมื่อเยี่ยเม่ยปลดผ้าคลุมของนางออก กลับเป็นซูเฉินเสียเองที่ปลอมตัว
ซูเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขา และเพลิดเพลินไปกับรูปลักษณ์ที่สวยงามยามโกรธของอีกฝ่าย “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นเล่า ? เจ้าอย่างกับว่าข้าไปติดหนี้เจ้าเอาไว้ก้อนใหญ่เสียอย่างนั้น”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ติดหนี้พวกข้าก้อนใหญ่งั้นหรือ ? อย่าลืมสิว่าในปีที่ผ่านมาพวกข้าจัดหาวัสดุมาให้เจ้ามากมายแค่ไหน” เยี่ยเม่ยเท้าสะเอวพลางส่งเสียงฮึดฮัด
“นั่นไม่ใช่หนี้ พวกมันเป็นของรางวัลของข้า” ซูเฉินตอบ
“แต่เจ้าก็สัญญาว่าจะยกระดับทักษะการเล่นแร่แปรธาตุของเจ้าให้เร็วที่สุด แต่เมื่อพิจารณาจากยาที่เจ้าส่งมาครั้งที่แล้ว ระดับของเจ้าก็ไม่ได้พัฒนาไปเร็วขนาดนั้น” เยี่ยเม่ยตอบกลับห้วน ๆ
“เอาล่ะ เจ้าเอาคำกล่าวเหล่านั้นไปหลอกล่อคนอื่นเถอะ ในเวลาเพียงปีเดียวข้าปรุงยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และยาเพิ่มความเหนียวขึ้นมาได้ นี่นับว่าช้าแล้วจริงหรือ ?”
หลังจากการพยายามอย่างหนักมาระยะหนึ่ง ในที่สุดซูเฉินก็ได้เชี่ยวชาญในยาเพิ่มความเหนียว การที่สามารถฟันฝ่าผ่านมาถึงระดับนี้ได้ บ่งชี้ว่าตอนนี้ซูเฉินถือเป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการแล้ว เพียงแค่เขายังไม่ได้ไปรับการประเมินอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น
บอกตามตรงว่าระดับการพัฒนาที่เร็วเช่นนี้ ไม่สามารถเรียกว่าช้าได้อย่างแน่นอน
เยี่ยเม่ยทำเสียงฮึดฮัด “มันช้ากว่าความเร็วในการพัฒนาก่อนหน้านี้ของเจ้ามาก”
นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน ซูเฉินเริ่มฝึกฝนการปรุงยาเพิ่มความเหนียวเมื่อ 6 เดือนก่อน และเขาเพิ่งจะฝ่าผ่านอุปสรรคนั้นมาได้ กล่าวได้ว่าความเร็วในการพัฒนาของซูเฉินเร็วที่สุดในช่วงเริ่มต้น แต่ในช่วงหลังกลับเริ่มช้าลงแทน
หากเป็นคนอื่นมันก็อาจจะถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องใช้เวลาครึ่งปีในการปรุงยาเพิ่มความเหนียว แต่หลังจากที่อารามนิรันดร์ยืนยันว่าซูเฉินมีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปรธาตุอย่างแท้จริง พวกเขาจึงรู้สึกว่าครึ่งปีตามมาตรฐานเหล่านั้นเรียกได้ว่าช้าเกินไป
นั่นหมายความว่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ความสนใจของซูเฉินได้มุ่งไปที่เรื่องอื่น ส่งผลให้ความเร็วในการพัฒนาทางด้านนี้ลดลง
ซึ่งพวกเขาก็คาดเดาได้ถูกต้อง เนื่องจากซูเฉินมุ่งเน้นไปที่การศึกษาตำราเปิดพลังไคฮวงเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงได้ลดเวลาฝึกฝนการเล่นแร่แปรธาตุลงครึ่งหนึ่ง
อารามนิรันดร์ตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงได้ส่งเยี่ยเม่ยมาเพื่อกระตุ้นให้เขาเร่งพัฒนาให้เร็วขึ้น
ยาและส่วนผสมนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ธรรมดา พิเศษ หายาก ตำนาน และศักดิ์สิทธิ์
ในส่วนระดับของนักปรุงยานั้น ได้มีการจัดระดับให้สอดคล้องกับส่วนผสมที่พวกเขาสามารถใช้ได้
นักปรุงยาในระดับเดียวกันก็มีระดับทักษะที่แตกต่างกัน ระดับเริ่มต้น ฝึกหัด ชำนาญ ปรมาจารย์ และตำนาน
โอสถปลุกวิญญาณเป็นยาระดับหายาก ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติจึงมีเพียงนักปรุงยาระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่สามารถปรุงมันได้ หากนักปรุงยามุ่งเน้นไปที่การปรุงยานั้นเพียงอย่างเดียว ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในยานั้นสูงอาจสามารถปรุงมันขึ้นมาได้เช่นกัน
ดอกซากวิญญาณเป็นวัตถุดิบระดับตำนาน การใช้ส่วนผสมในตำนานเพื่อปรุงยาหายากนั้นนับได้ว่าค่อนข้างสิ้นเปลือง ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่า ทำไมปรมาจารย์เฟิงถึงได้ต่อต้านความคิดนี้
เด็กหนุ่มใช้เวลาหนึ่งปีในการกลายเป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการ ความเร็วของเขาไม่ได้ช้า แต่เขาก็ยังคงห่างจากการเป็นนักปรุงยาผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญสูงอยู่อย่างน้อยขั้นครึ่ง
ระดับขั้นครึ่งนี้ไม่สามารถข้ามไปได้ในปีสองปี เขาจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนอีกมากเพื่อพัฒนาตัวเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ทั้ง ๆ ที่มีเวลาไม่เพียงพอ ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมอารามนิรันดร์ถึงได้รีบเร่งเขา
ซูเฉินจิบชาแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพบปัญหาที่รบกวนการฝึกฝนของข้าอยู่เล็กน้อย นั่นคือเหตุผลหลักที่ข้ามาที่นี่ หลังจากที่แก้ปัญหานี้ได้แล้ว ข้าก็คงจะมีเวลาศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุมากขึ้นกว่านี้”
เยี่ยเม่ยกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่ซูเฉิน เจ้าอย่าได้มาลองอะไรไร้สาระเช่นนี้อีก เรื่องเหล่านี้มันไม่ได้เกี่ยวกัน ไม่ว่าพวกข้าจะกังวลมากแค่ไหน แต่พวกข้าก็จะไม่ทำอะไรให้เจ้าโดยเปล่าประโยชน์”
“หือ ? นี่เจ้าฉลาดขึ้นแล้ว ?” ซูเฉินแสร้งทำทีเป็นตกใจ
“แน่นอน !” เยี่ยเม่ยเชิดคางของนางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตามประโยคต่อมาของนางกลับเปิดเผยความจริงออกมาสิ้น “ผู้อาวุโสซางทราบดีว่าหากเจ้ามาตามหาข้ามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร เป็นไปได้ว่าเจ้าอาจจะเอาปัญหาบางอย่างที่ต้องการให้พวกข้าช่วยแก้ไขติดมือมาด้วย โชคดีจริง ๆ ที่ท่านเตือนเรื่องนี้ข้าเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”
“……” ซูเฉินพูดไม่ออก
บางทีอาจเป็นเพราะนางรู้ตัวแล้วว่านางเผลอพูดมากเกินไป เยี่ยเม่ยจึงแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารัก จากนั้นนางก็ถามว่า “เอาล่ะ แล้วเจ้าต้องการจะให้เราช่วยอะไรเจ้ากัน ? ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าพอก็ช่วยเจ้าได้อยู่”
ซูเฉินรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเยี่ยเม่ยให้ความสนใจกับปัญหาของเขาจริง ๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่มีพวกอวดดีบางคนต้องการจะสร้างปัญหาให้ข้า”
“พวกมันทรงพลังแค่ไหน ?”
“พอ ๆ กับข้า ด่านก่อเกิดลมปราณขั้นต้น”
“เจ้าจัดการเองไม่ได้หรือ ?”
“พวกมันมีกันมากเกินไป เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกมันก็รวมตัวกันมาทุบตีเพื่อนคนหนึ่งของข้าแบบ 6 ต่อ 1 โชคยังดีที่เพื่อนข้าหลบหนีมาได้และยังฆ่าไป 2 ทำเจ็บสาหัสไป 1 ข้าเดาว่าหลังจากประสบความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไปแล้ว จะทำให้พวกมันพาผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมากกว่านี้มาอีกแน่ ข้าไม่อยากจะตกเป็นเหยื่อของแผนการนั้นหรอกนะ หากเป็นไปได้ ข้าก็เต็มใจที่จะมอบประสบการณ์แห่งความล้มเหลวให้พวกมันอีก เผื่อจะได้เป็นบทเรียนให้พวกมันสักเล็กน้อย”
“ข้าสามารถหาผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณขั้นปลายสัก 2 คนมาช่วยเจ้าได้”
“นั่นยังไม่พอ” ซูเฉินส่ายหัว “ข้าต้องการผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณขั้นปลายอย่างน้อย 3 คน และผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตอีกสัก 2 คน”
เยี่ยเม่ยตกใจ “เจ้าไม่ประเมินพวกมันสูงเกินไปหน่อยหรือ ?”
“พวกมันเป็นสมาชิกของตระกูลสายเลือดชั้นสูง และยังเป็นพวกหัวกะทิของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันหรอก เว้นแต่อารามนิรันดร์จะมั่นใจว่าระดับหัวกะทิของพวกเจ้า แข็งแกร่งกว่าของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ไม่อย่างนั้น มันคงจะเป็นการดีที่สุดที่จะปราบพวกมันด้วยระดับขั้นที่เหนือกว่า”
เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้รวบรวมผู้มีความสามารถระดับสูงจากทั่วอาณาจักรเอาไว้ ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณทั้งหมด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมได้เข้าเรียนที่สถาบัน ดังนั้นแม้แต่ศิษย์ชั้นปีแรกก็ไม่สามารถจะมองข้ามไปได้
เยี่ยเม่ยกระซิบประโยค 2-3 ประโยคลงในสร้อยข้อมือสื่อสารของนางเบา ๆ จากนั้นนางก็ตอบกลับซูเฉินไปว่า “10 เท่าของราคามาตรฐาน ทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้จากเป้าหมายตกเป็นของคนที่จัดการพวกมัน”
ราคาในครั้งนี้สูงกว่างานเกี่ยวกับกองกำลังหุบเขาเงาก่อนหน้ามาก ทว่ามันก็ยังสมเหตุสมผลอยู่
ซูเฉินพยักหน้า “ได้ แต่ข้าอยากให้พวกมันยังคงมีชีวิตอยู่”
เยี่ยเม่ยกระซิบเพิ่มลงกำไลไปอีก 2-3 ประโยคจากนั้นนางก็ตอบมาว่า “15 เท่าของราคามาตรฐาน”
เห็นได้ชัดว่าการจับเป็นนั้นยากกว่าการฆ่าพวกเขาไปเลยมาก อีกฝ่ายจึงได้ยกราคาขึ้น
ซูเฉินพยักหน้า “ตกลง”
ตราบใดที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ จะเสียเงินเท่าไหร่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
หลังจากที่สรุปการเจรจากันเรียบร้อยแล้ว ทั้ง 2 ก็คุยกันต่ออีกสักพักก่อนที่เยี่ยเม่ยจะทันได้กล่าวลา
ซูเฉินก็ถามขึ้น “จริงสิ ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ?”
“แถบชานเมืองทางใต้”
“ทางเดียวกับที่ข้ากำลังจะไป เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
“ได้” เยี่ยเม่ยตอบเขาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากออกจากเรือนไม้กฤษณา ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังรอบนอกของเมืองพร้อมกับพูดคุยและหัวเราะไปตลอดทาง
เมื่อออกจากเมืองมาแล้ว พวกเขาก็เดินไปด้วยกันอีกสักพักก่อนจะถึงถนนทางแยก ซูเฉินกล่าวว่า “เอาล่ะ เราแยกกันตรงนี้นะ แล้วพบกันใหม่”
“แล้วเจอกัน”
หลังกล่าวคำอำลาซูเฉินก็แยกตัวจากเยี่ยเม่ยและเริ่มมุ่งหน้ากลับไปยังสถาบันมังกรซ่อนเร้น เขาเดินจากมาได้เพียงแค่ชั่วครู่ จู่ ๆ เสียงของโลหะปะทะกันดังกระทบเข้ามาในหูของเขา
เสียงนั้นเบามาก หากซูเฉินไม่ได้ตาบอดมา 3 ปีและมีสัมผัสการได้ยินที่ละเอียดอ่อนจนน่ากลัว เขาก็คงจะไม่ได้ยินมันเลยแม้แต่น้อย
เสียงนี้ดังมาจากทิศทางที่เยี่ยเม่ยมุ่งหน้าไป …
“ไม่ดีแล้ว !” สีหน้าของซูเฉินเปลี่ยนไป เขาหันหลังกลับและเปิดใช้งานก้าวย่างหมอกอสรพิษเต็มขั้นวิ่งย้อนไปในทิศที่จากมากอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายลม
เมื่อซูเฉินมาถึง เขาก็เห็นคนสวมชุดดำปกปิดใบหน้า ใช้ฝ่ามือโจมตีส่งเยี่ยเม่ยกระเด็นออกไปแล้ว
ในขณะที่เยี่ยเม่ยผู้ถูกโยนขึ้นไปในอากาศกำลังกระอักเลือดออกมา คนชุดดำก็กระโจนตามขึ้นไปและแทงดาบสั้นในมือเข้าหานาง การโจมตีครั้งนี้มีครบทั้งความรวดเร็วและรุนแรง
ฟิ้ว !
ใบไม้ 2-3 ส่งเสียงหวีดผ่าอากาศพุ่งเข้าหาคนชุดดำ ซูเฉินใช้ฝ่ามือดอกไม้บินส่งใบไม้ไปป้องกันการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างทันท่วงที
คนสวมชุดดำถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนทิศดาบมารับการโจมตีจากใบไม้ทั้ง 3 ดาบสั้นถูกแทงสวนออกไป 3 ติดด้วยความแม่นยำที่หาที่เปรียบมิได้
ครู่ต่อมาระเบิดเพลิงปักษาขนาดใหญ่ก็ได้ทะยานออกไป
ซูเฉินใช้ระเบิดเพลิงปักษาออกมาอย่างเต็มกำลังเพื่อช่วยเหลือเยี่ยเม่ย
ตอนที่ระเบิดเพลิงปักษาเต็มกำลังเกือบจะกลืนคนชุดดำเข้าไปนั้นเอง จู่ ๆ ร่างของอีกฝ่ายก็สว่างวาบขึ้น บุคคลปริศนาผู้นี้ก็ได้สลายไปในแสงประหลาดนั้น ราวกับว่าเขาหายไปในแสงจันทร์เหลือทิ้งไว้แค่เพียงความว่างเปล่า อย่างกับไม่เคยมีอะไรอยู่ ณ ที่ตรงนั้น
นกไฟตัวอวบอ้วนบินผ่านร่างของคนในชุดดำ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ซูเฉินตกตะลึงกับเหตุการณ์พลิกผันเบื้องหน้านี้อย่างยิ่งแต่ท้ายที่สุดเขาก็ปล่อยมันไป เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้ช่วยยเยี่ยเม่ยให้พ้นจากอันตรายมาได้แล้ว ทันทีที่นางกลับลงมาถึงพื้น เยี่ยเม่ยก็ถอยกลับไปหาซูเฉินทันที
ทั้ง 2 ร่วมมือกันเผชิญหน้ากับคนชุดดำ
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาเสียโอกาสไปแล้ว บุคคลปริศนาชุดดำได้จ้องเขม็งไปยังซูเฉินที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเยี่ยเม่ย
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด
ร่างของคนชุดดำกะพริบและหายไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าซูเฉินเลย
เมื่อได้เห็นว่าบุคคลปริศนาชุดดำเลือกที่จะจากไป ซูเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาหันกลับมาและมองไปที่เยี่ยเม่ย ก่อนจะถามไปว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”
เยี่ยเม่ยผู้ยังคงตกใจอยู่ส่ายหัว “ข้าไม่รู้ หลังจากที่ข้าแยกกับเจ้าได้ไม่นานนัก จู่ ๆ คนผู้นั้นก็ออกมาจู่โจมข้า”
“เจ้าไม่รู้ ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูเฉินก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ
เยี่ยเม่ยรู้สึกงุนงงกับเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย “เจ้าหัวเราะทำไม ?”
ซูเฉินตอบว่า “ในฐานะมือสังหาร เจ้ากลับถูกลอบสังหารเสียได้ … ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว”
ใบหน้าของเยี่ยเม่ยเปลี่ยนเป็นสีดำในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น