ภาคที่ 2 บทที่ 30 เนินเมฆาแดง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 30 เนินเมฆาแดง (1)

แม้ว่าซูเฉินจะหัวเราะ แต่เขาก็รู้ดีว่าการลอบสังหารครั้งนี้คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว …

ดังนั้นเขาจึงเลือกถามเยี่ยเม่ย “ข้าขอถามอะไรหน่อย”

“ถามอะไร ?”

“ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคงจะไม่ใช่เจ้าหญิงของอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้วหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหม ?”

เยี่ยเม่ยรู้สึกสับสนกับคำถามของอีกฝ่าย “นั่นเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร ?”

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น” ซูเฉินตอบอย่างจริงจัง

เยี่ยเม่ยเริ่มกระวนกระวายเพราะความเอาจริงเอาจังของอีกฝ่ายเล็กน้อย “ข้าเปล่า ข้ามาจากเผ่าระดับเล็ก ๆ อย่างเผ่าจันทรา สถานะของข้าเองก็ต่ำมาก แล้วข้าจะไปเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้วอะไรนั่นได้อย่างไร ?”

เยี่ยเม่ยมาจากเผ่าจันทรา ซูเฉินรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

เผ่าจันทราเก่งเรื่องการซ่อนตัวผสมผสานเข้าไปกับความมืด และการเคลื่อนไหวได้รวดเร็วภายใต้แสงจันทร์ จึงกล่าวได้ว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นมือสังหารโดยธรรมชาติ

“ในเมื่อเจ้าไม่มีสถานะที่สูงส่งอะไรเป็นพิเศษ เช่นนั้นก็มีอยู่เพียงเหตุผลเดียวที่เจ้าจะถูกโจมตี … ” ซูเฉินกล่าวอย่างเคร่งเครียด “อารามนิรันดร์ !”

เยี่ยเม่ยเริ่มตื่นตัวมากขึ้น “เจ้าจะบอกว่าตัวตนของข้าถูกเปิดเผยแล้ว ?”

“อืม มีความเป็นไปได้ แต่ข้าคิดว่าบางทีอีกฝ่ายก็คงยังไม่มั่นใจเช่นกัน มิฉะนั้นผู้จู่โจมลึกลับผู้นี้คงจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานเจ้าหน้าที่และแอบคอยติดตามเจ้า แทนที่จะทำการเคลื่อนไหวเป็นการส่วนตัว ดูเหมือนว่ามันไม่ได้พยายามที่จะฆ่าเจ้า แต่ต้องการที่จะจับเจ้า นี่อาจเป็นการลงมือยืนยันตัวตน จะเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะรายงานไปยังเบื้องบนเมื่อเจ้ากลับไปแล้ว และเปลี่ยนสถานที่อยู่ใหม่เสีย”

“แล้วเจ้าล่ะ ?”

“ไม่มีปัญหา ตอนนี้ข้ากำลังปลอมตัวอยู่ ดังนั้นไม่มีทางที่มันจะจำข้าได้”

“ตกลง ระวังตัวด้วย”

หลังจากให้คำแนะนำแก่เยี่ยเม่ยไปอีก 2-3 ข้อ ซูเฉินก็ไปส่งนางยังฐานที่มั่นของอารามนิรันดร์ ก่อนจะออกแยกตัวจากไป

ซูเฉินกลับเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้อย่างปกติ โดยไม่มีเหตุการณ์ชวนตกใจอะไรเกิดขึ้นอีก เหล่าคนที่ได้รับมอบหมายให้จับตาดูซูเฉินต่างก็ไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่า เป้าหมายของพวกเขาได้เดินไปต่อหน้าต่อตาเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เด็กหนุ่มเข้าไปในสถาบันแล้ว ร่างสีดำร่างหนึ่งก็ได้ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากเงามืดที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นคนชุดดำที่พยายามลอบโจมตีเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้

เมื่อได้เห็นซูเฉินเข้าไปด้านในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ร่องรอยแห่งความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของบุคคลปริศนาผู้นี้ “มันเป็นนักเรียนของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ?”

บุคคลปริศนาผู้ลอบโจมตีได้ปลดผ้าคลุมสีดำออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เปล่งปลั่งราวกับดวงจันทร์ นางเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผิวขาวราวหิมะ หลังจากถอดเสื้อผ้าสีดำออกเรียบร้อยแล้ว นางก็มุ่งหน้าไปยังสถาบันมังกรซ่อนเร้นและหายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

——————————

วันรุ่งขึ้นซูเฉินก็ทำตัวกิจวัตรตามปกติของเขา เข้าชั้นเรียนในช่วงกลางวัน อ่านหนังสือ 2-3 เล่มในหอตำราตอนบ่าย กินอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่งในสถาบัน จากนั้นก็เริ่มมุ่งหน้าออกไปด้านนอกสถาบัน

ซูเฉินไม่ได้รีบเร่งเดินแต่อย่างใด เขากลับเดินเล่นไปตามทางอย่างสบาย ๆ ในบางครั้งเขาจะทักทายผู้คนที่เขาจำได้ และบางครั้งเด็กหนุ่มก็พูดคุยกับอีกฝ่ายเล็กน้อย มันจึงเป็นเรื่องยากที่เหล่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จับตาดูซูเฉินจะไม่สังเกตเห็นเขา

เมื่อเห็นซูเฉิน ผู้ถูกว่าจ้างก็ได้แจ้งให้นายจ้างของพวกเขาทราบด้วยวิธีการของตนเองโดยทันที

หลังจากออกจากสถาบัน ซูเฉินก็ได้มุ่งหน้าไปทางตะวันออก

ทางทิศตะวันออกของสถาบันมังกรซ่อนเร้นคือเขาอินทรีโรย มันเป็นเขาสูงชันและสัตว์อสูรคอยรังควานผู้สัญจรไปมาอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

เมื่อยามที่เผ่ามนุษย์ได้ก่อตั้งอาณาจักรหลงซางขึ้น เดิมทีพวกเขาตั้งใจที่จะกวาดล้างเขาอินทรีโรย เพื่อทำให้ภูเขาที่อันตรายได้กลายเป็นที่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์

ทว่าหลังจากที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ถูกก่อตั้งขึ้น อาจารย์ใหญ่คนแรกของสถาบันต้องการหาสถานที่ให้เหล่าศิษย์ได้ฝึกฝน แล้วเห็นว่ามีสัตว์อสูรในเขาอินทรีโรยมากมายที่ถูกแยกตัวออกมาจากเผ่าสัตว์อสูร อีกทั้งพื้นที่นี้ถือว่าอยู่ในการควบคุมของเผ่ามนุษย์ และค่อนข้างที่จะปลอดภัย มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะจะให้ศิษย์ของสถาบันมาฝึกฝน ดังนั้นแผนการที่จะกวาดล้างเขาอินทรีโรยจึงได้ถูกระงับไปโดยปริยาย

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาอินทรีโรยก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่อันตรายพิเศษของหลงซาง และถูกดัดแปลงให้เป็นสถานที่ฝึกฝนภาคปฏิบัติของเหล่าศิษย์จากสถาบันมังกรซ่อนเร้น ศิษย์ของสถาบันสามารถเข้าไปในเขาอินทรีโรยเพื่อไล่ล่าและฆ่าสัตว์อสูรได้ด้วยตัวเอง กฎก็คือพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งทีมเกิน 7 คนและไม่ได้รับอนุญาตให้ล่าลูกของสัตว์อสูร ในกรณีที่มีการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเกิดขึ้นสถาบันจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น พวกเขาต้องรับผิดชอบกันเอาเอง

เส้นทางแห่งการฝึกฝนเป็นสิ่งที่อันตราย แม้แต่ศิษย์ธรรมดาทั่วไปก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับความเสี่ยงและเผชิญกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

ในทุก ๆ ปีสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะมีการกำหนดตัวเลขของผู้เสียชีวิตเอาไว้ ตราบใดที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกินขีดจำกัดนั้นก็นับว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร

เนื่องจากกฎเหล่านี้ ศิษย์หลายคนในสถาบันจึงมักจะไปที่นั่นเพื่อสะสางเรื่องที่ค้างคาของพวกเขา

เขาอินทรีโรยเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมสำหรับใช้แก้ไขความเกลียดชังที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในสถาบัน ความไม่พอใจของพวกเขาจะยุติลงด้วยการต่อสู้แบบเอาชีวิตเป็นตาย โดยความตายของผู้แพ้นั้นจะถูกนับว่าเป็นฝีมือของสัตว์อสูร

อวิ๋นเป้าก็ถูกไป๋โอวกับพวกซุ่มโจมตีที่นี่

เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้และพวกเขาก็ไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นด้วย ‘ถ้าเจ้าไม่มีความสามารถพอก็อย่าเข้าไปในสถานที่อันตรายเช่นนั้นง่าย ๆ หากเจ้าทำไปเจ้าก็ต้องรับผลที่ตามมาทั้งหมดเอาเอง’ ตราบใดที่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายในกำแพงของสถาบัน นั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเขา

นี่คือโลกที่อยู่ภายใต้ศีลธรรมและหลักการ แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งตกเป็นเหยื่อของผู้อ่อนแอได้อยู่ดี

ซูเฉินเข้าไปในเขาอินทรีโรยและหายตัวไปในป่าอย่างรวดเร็ว

ป่าทึบและต้นไม้สูงตระหง่านราวกับจะเอื้อมไปถึงท้องฟ้า

เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ประกอบกับมีกิ่งก้านของต้นไม้ปกคลุมเต็มเหนือหัว เป็นผลให้ป่าที่เดิมก็มีแสงจำกัดอยู่แล้ว มืดลงยิ่งกว่าเก่า

ซูเฉินยังคงเดินลึกเข้าไปในป่า ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว ในที่สุดเขาก็หยุดเท้าลงที่ด้านหน้าเนินลาดชันที่ดูอันตราย

แผ่นศิลาจารึกแผ่นหนึ่งตั้งอยู่ที่ตีนทางลาดนั่น พร้อมกับอักขระขนาดใหญ่ 3 คำได้ถูกจารึกเอาไว้ที่ด้านบน ‘เนินเมฆาแดง’

เมื่อซูเฉินเขาไปถึงตีนทางลาด เขาก็มองหาหินปูนก้อนที่สามารถขึ้นไปนั่งได้ และเอนตัวลงนอนรอเวลา

ไม่นานนักเสียงของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้ามาทางทิศของซูเฉินก็ดังก้องขึ้นไปทั่วป่า

เมื่อได้ยินเสียงนั้น มุมปากของเด็กหนุ่มก็ยกขึ้น ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย

อวิ๋นเป้าพูดถูก พวกเขาทุกคนเป็นเพียงแค่มือใหม่ พวกเขาส่งเสียงดังไปทั่วขณะไล่ล่าโดยไม่ได้คิดที่จะปกปิดตัวตนจากเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย หากเป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์ก็ย่อมจะพบตัวผู้ไล่ล่าได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งนี่ยังทำให้เป้าหมายรู้ตัวก่อนจนสามารถอ้อมไปที่ด้านหลัง หรือเตรียมการล่วงหน้าไว้ได้อีกด้วย

อวิ๋นเป้าพบว่ามีคนไล่ตามเขาและทำการซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้ก็เพราะเหตุนี้ ไม่เพียงแต่จะเขารอดชีวิตมาได้ เขายังสังหารคู่ต่อสู้ของเขาไปได้ถึง 2 คน

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะเขาได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้ผู้ไล่ล่าของเขาเอาไว้ล่วงหน้าไปแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือรอให้อีกฝ่ายงับเหยื่อเท่านั้น

ครู่ต่อมากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าซูเฉิน

เป็นไป๋อี่หงกับไป๋โอวที่มาพร้อมกับศิษย์อีก 3 คนข้าง ๆ พวกเขา

จำนวนคนน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ แต่ซูเฉินไม่ได้ลดการป้องกันลงแต่อย่างใด หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ในการตามล่าอวิ๋นเป้าแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้เพิ่มกำลังคนเพื่อไล่ล่าแต่กลับเลือกที่จะลดจำนวนคนที่พามาด้วยลง หากพวกเขาไม่ได้โง่จนเกินเยี่ยวยา ความแข็งแกร่งขอ ‘ตัวช่วย’ ทั้ง 3 นี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จัดการ

เมื่อพิจารณาจากการปรากฏตัวของพวกเขา ซูเฉินเลือกที่จะเชื่อว่าเป็นอย่างหลัง

สีหน้าของผู้ช่วยรุ่นเยาว์ทั้ง 3 ล้วนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งที่มากเสียจนแทบจะจับต้องได้ พวกเขาทุกคนสวมเสื้อผ้าที่มีลายปักสวยงาม

ผู้นำกลุ่มที่ถือกระบี่สีเงินเอาไว้ในมือ มองไปที่ซูเฉินด้วยสายตาเย้ยหยันหัวเราะอย่างเย็นชา “เสี่ยวไป๋(1) นี่คือซูเฉินผู้ที่เจ้าต้องการจะฆ่า ? มันก็ไม่ได้ดูน่าประทับใจเท่าไหร่ แต่เจ้าก็ยังถึงกับต้องมาร้องเรียก ให้พวกข้าร่วมมือกันจัดการมันเชียวหรือ ?”

ไป๋โอวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หยู ผู้ที่นามว่าซูเฉินเป็นมันอย่างแน่แท้ ข้าก็เพียงแค่พยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเท่านั้น”

เด็กหนุ่มที่ถือดาบผู้ยืนอยู่ด้านข้างของเขาหัวเราะขึ้น “ก็ดีแล้วนี้ที่มันไม่ใช่คนที่น่าทึ่งอะไร ยิ่งจัดการมันเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียเวลาน้อยลงเท่านั้น แล้วเราก็จะได้กลับไปฝึกฝนกันต่อได้เร็วขึ้นไง”

ขณะที่เขาพูดเขาดึงดาบออกมาและพูดว่า “ซูเฉินใช่หรือไม่ ? วันนี้เจ้าช่างโชคไม่ดีเสียเลย จำชื่อของท่านปู่คนนี้เอาไว้ ! ผู้ที่สังหารเจ้าในวันนี้มีนามว่าจางจ้งเยว่ ศิษย์ปีที่ 6 ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น !”

ดาบในมือของเขาฟันออกไปเบื้องหน้าทันทีที่กล่าวจบ ปราณดาบที่แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พุ่งเข้าหาซูเฉินพร้อมกับจิตสังหารที่รุนแรงจนน่ากลัว