ภาคที่ 2 บทที่ 31 เนินเมฆาแดง (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 31 เนินเมฆาแดง (2)

ริ้วดาบพุ่งเข้ามาราวกับม้าป่าตัวผู้ ทิ้งร่องรอยเป็นทางยาวไว้บนพื้น

แม้ผู้ใช้ดาบจะเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่ตัวดาบกลับมีกลิ่นอายดุดันราวกับผ่านสมรภูมิมาก่อน การเคลื่อนไหวเป็นเลิศยิ่ง

ซูเฉินที่เพิ่งเข้าสถาบันมาได้เพียง 1 ปีไม่อาจเทียบกับศิษย์ปี 6 ได้ เพราะศิษย์ปี 6 แต่ละคนต่างก็ได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ส่วนตัวมานานหลายปี และมีโอกาสเดินทางมายังเขาอินทรีโรยหลายครั้ง ดังนั้นประสบการณ์การต่อสู้จึงน่าประทับใจยิ่งนัก

ตวัดดาบเพียงครั้งเดียวก็สร้างบรรยากาศการต่อสู้ขึ้นมาได้

แต่ถึงกระนั้น ซูเฉินกลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง ทั้งยังเผยรอยยิ้มบางออกมา

ในตอนที่พลังซัดเข้ามานั้นเอง ร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเด็กหนุ่ม

คือกังเหยียน

ชายร่างใหญ่ปรากฏตัวขึ้นในชุดเกราะหลอมทอง ราวกับเยื้องย่างออกมาจากความว่างเปล่า ก้าวเท้าคราวเดียวก็มายืนอยู่เบื้องหน้าซูเฉิน

ราวกับมีประตูยักษ์มาบังซูเฉินไว้จนมิด กังเหยียนยกซ้ายมือขึ้น สร้างเกราะจากพลังต้นกำเนิดขึ้นมา

เกราะภูผาเหล็ก !

ฟ้าว !

คลื่นดาบฟาดลงกับเกราะ

พลังดาบที่สามารถแยกหินศิลายักษ์กระจายตัวออกเมื่อเผชิญเข้ากับเกราะภูผาเหล็ก

ตัวเกราะไม่มีรอยแม้แต่นิด กังเหยียนเปล่งเสียงคำรามไปยังทางจางจ้งเยว่

เสียงคำรามนี้ดังกระหึ่มราวกับเสียงระฆังยักษ์

ในเวลาเดียวกันนั้น กังเหยียนก็ยกเกราะภูผาเหล็กในมือซ้าย ใช้มือขวาดึงมีดสั้นริ้วดำออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่จางจ้งเยว่ ยามฝีเท้าหนักหน่วงก้าวไปบนผืนดิน พื้นดินก็สั่นสะเทือน แม้เขาจะเป็นคนเดียวที่วิ่งพุ่งเข้าไป หากแต่แรงสะเทือนนั้นก็รุนแรงราวกับทหารทั้งกองทัพกำลังยกทัพเข้าตีข้าศึก

กังเหยียนตวัดมีดในมือ พุ่งเข้าใส่ศัตรู

เห็นภาพดังนั้น จางจ้งเยว่ก็ไม่แตกตื่น แต่กลับหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “รนหาที่ตาย !”

ลำแสงสีหิมะสะท้อนวาบออกมาจากตัวดาบ พริบตาเดียวเขาก็ทิ่มดาบออกมาถึง 13 ครั้ง ริ้วปราณดาบผสมผสานพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาด มุ่งหน้าเข้าหากังเหยียน

แสงสว่างแสบตาระเบิดออกมา ประกายแสงตกลงมาราวสายฝน กังเหยียนร้องคำราม ใช้เกราะภูผาเหล็กไว้เบื้องหน้าแล้วพุ่งตัวเข้าไป เขาสามารถใช้เกราะนี่สกัดปราณดาบทั้ง 13 สายไว้ได้ ฉวยเอาจังหวะนี้เข้าใกล้ศัตรูและจ้วงมีดเข้าไป

ชายร่างใหญ่ไม่อาจใช้ปราณดาบในการโจมตีได้อย่างจางจ้งเยว่ แนวทางการต่อสู้ของเขาทั้งเรียบง่ายไม่ซับซ้อน หากแต่แรงจ้วงที่ส่งออกไปยังจางจ้งเยว่นั้นก็ผสมไปด้วยแรงกดดันไม่น้อย

ทำให้ในใจเริ่มมีความตกใจวาดผ่าน บีบให้จางจ้งเยว่รีบถอยออกมาก่อนยกดาบในมือขึ้นต้าน

ตูม !

เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น ดาบของจางจ้งเยว่ถูกดันไปด้านข้าง แต่เขาเองก็เคลื่อนไหวเร็วดั่งลม แม้จะไม่สามารถสกัดการโจมตีนี้ได้ แต่ก็ยังสามารถหลบและกระโดดลอยไปด้านหลังได้

หลังจากถูกบีบให้ถอยไปด้วยการโจมตีเรียบง่ายครั้งหนึ่ง จางจ้งเยว่ก็เริ่มไม่พอใจ เขาคำรามต่ำ “เจ้าหนู ฝีมือไม่เลว ท่านปู่ผู้นี้จะเล่นกับเจ้าเอง”

กังเหยียนขมวดคิ้ว กำลังคิดจะพุ่งเข้าไปอีกคราหากแต่ซูเฉินกลับตะโกนขึ้น “กังเหยียนถอยออกไป เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

กังเหยียนเชี่ยวชาญด้านการแลกการปะทะ วิถีการต่อสู้คือการพุ่งเข้าโจมตีแบบเรียบง่าย หากไม่สามารถบีบศัตรูให้ถอยไปได้ เช่นนั้นส่งเขาไปสู้ก็ไม่มีความหมาย แต่การบีบให้ถอยได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับชัยชนะ หากเทียบเรื่องฝีมือแล้ว กังเหยียนไม่อาจเอาชนะได้แม้กระทั่งซูเฉิน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงศิษย์ปี 6 ที่มีประสบการณ์โชกโชน แม้จะดูเหมือนจางจ้งเยว่ถูกบีบให้ล่าถอย แต่ความจริงเหมือนอีกฝ่ายยังไม่สำแดงพลังที่แท้จริงต่างหาก

เห็นได้ชัดว่าจางจ้งเยว่จะเริ่มเอาจริง ซูเฉินจะปล่อยให้กังเหยียนสู้ต่อได้อย่างไร ?

เมื่อจางจ้งเยว่ได้ยินก็หัวเราะชั่วร้ายออกมา “เจ้าจะหนีพ้นหรือ ?”

ดาบในมือซัดลงมาอีกครั้ง สร้างคลื่นแสงจากดาบพุ่งออกมาใส่กังเหยียน คลื่นพลังพุ่งเข้ามาอย่างไร้การต้านทาน ในขณะที่มือซ้ายก็ซัดพลังออกมา “ดาบฝนโปรยฤดูสารท ฝ่ามือทลายมืด !”

ซูเฉินส่ายหัว “คู่ต่อสู้ของเจ้าไม่ใช่เขา”

พูดจบก็มีแสงจากคลื่นดาบพุ่งออกมาจากภายในป่า มันพุ่งเข้าสกัดพลังดาบของจางจ้งเยว่ เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น

คนอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าซูเฉิน

คืออาหลุน

ชายหนุ่มสกุลอวี๋สีหน้าเปลี่ยนไปในพลันเมื่อเห็นคนอีกคนปรากฏตัวขึ้น “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง !”

พูดจบก็ดึงดาบออกมาแล้วแทงไปตรงหน้า คลื่นดาบก่อร่างเป็นเส้นบาง ๆ หากแต่มีพละกำลังเข้มข้นสูงส่ง

หมอกกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในอากาศ กลืนคลื่นดาบนั้นหายไป ยามหมอกจางลง คนอีกสี่คนก็ก้าวเท้าออกมาจากความมืดมิด

“ไม่ดีแล้ว !” ชายหนุ่มสวมชุดประณีตอีกคนร้องขึ้น “เจ้าเด็กนี่ซุ่มโจมตีเรา เราติดกับดักมัน”

“หลิวหัว จ้งเยว่ ไปเถอะ !” ชายหนุ่มสกุลอวี๋ไม่รอช้า เขาหันหลังกลับในทันที

ในเมื่ออีกฝ่ายเตรียมตัวมาดีเช่นนี้ ผู้มาใหม่ย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้ชายหนุ่มสกุลอวี๋จะมั่นใจในฝีมือตนเอง แต่ก็ไม่ต้องการต่อสู้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

แต่แม้อยากจะจากไป หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยินยอม

1 ใน 4 คนที่ปรากฏกายจากความมืดหัวเราะออกมา “ในเมื่ออยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดจึงรีบร้อนจากไปนักเล่า ? หยุดอยู่กับที่เสียดี ๆ เถอะ !”

เขาพูดแล้วร่างก็กลายเป็นเปลวเพลิงลุกโชนแล้วพุ่งออกไป ลดระยะห่างระหว่างตนเองและอีกฝ่าย ยื่นแขนออกไปคว้าคอชายหนุ่มสกุลอวี๋ไว้

เยียนหั่ว !

ชายหนุ่มไม่หันหลังหนี ตวัดดาบไปด้านหลัง สร้างจุดแสงจากพลังดาบ ซัดเข้าใส่ฝ่ามือของอีกฝ่าย แม้จะเป็นเพียงจุดแสง แต่ก็สามารถบีบเยี่ยนหั่วให้เก็บมือกลับไปได้ชั่วคราว

หากแต่พริบตาต่อมา เยียนหั่วก็ส่งลูกไฟยักษ์ 5 ลูกเข้าใส่ศัตรู

ลูกไฟยักษ์ 5 ลูกในคราเดียว !

“ด่านกลั่นโลหิต ?” ชายหนุ่มสกุลอวี๋ร้องขึ้น ยิ่งรีบล่าถอยในเร็วพลัน

“มีมากกว่านั้นอีก” เสียงชายชราแหบ ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น

ถงลู่ !

พูดจบ ต้นไม้ 2 ต้นที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มส่งรากไม้นับไม่ถ้วนออกมา ราวกับหนวดนับพันที่พุ่งเข้าหาศัตรูหมายจะจับกุมตัวไว้

ชายหนุ่มสกุลอวี๋ตกตะลึง เขากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ หากแต่รากไม้กลับไล่ตามเขามาติด ๆ เขารีบหมุนตัวกลางอากาศ เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวโดยพลัน แต่กลับพบว่ามีคนขวางทางเขาไว้แล้ว คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ “ขออภัยด้วย ทางนี้ปิดแล้ว”

ชิงไป๋

เงาร่างสี่คนกระโจนเข้าจู่โจมไป๋โอว

เยี่ยเม่ย

กลุ่มคนที่เอาชนะกองกำลังหุบเขาเงาได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่นี่

ชายหนุ่มสกุลอวี๋รู้ในทันทีว่าสถานการณ์ตนตกเป็นรอง ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ซูเฉิน เจ้ากับข้าไร้ความแค้นต่อกัน เจ้าคิดจะกำจัดพวกข้าทั้งหมดเลยหรือไร ?”

ซูเฉินตอบด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “ฝ่ายที่คิดกำจัดคน ดูท่าจะเป็นพวกเจ้า”

“หากเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าสัญญาว่าต่อไปจะไม่ยื่นมือเข้ายุ่งเรื่องระหว่างเจ้ากับตระกูลไป๋อีก”

ซูเฉินตอบพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ “ข้าว่าจัดการเจ้าไปตอนนี้น่าจะทำให้ข้าสบายใจมากกว่า”

ชายหนุ่มสกุลอวี๋รู้สึกเย็นวาบในใจ เขาร้องเสียงเหี้ยม “อย่าคิดว่าตนเองไร้ใครเทียมเพียงเพราะมีคนขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตช่วยเหลือไม่กี่คน คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่ถูกรังแกง่าย ๆ เช่นนี้หรอก ! เปิดใช้เหยี่ยวปีกเงิน !

ยามเขาร้องตะโกนออกมา ภาพของเหยี่ยวขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มสกุลอวี๋ แสงสีหิมะส่องเรืองออกมาจากร่างเขาในพลัน

“หมาป่าปีศาจมายา !”

“เปิดใช้มังกรวาโยสยบ !”

หลิวหัวและจางจ้งเยว่เองก็เปิดใช้สายเลือดตนเองเช่นกัน คลื่นพลังมหาศาลพลันปะทุออกจากร่างของแต่ละคน

“อินทรีปีกเพลิงทะยาน !”

“หมัดมายาปีศาจ !”

“วายุพันสาย !”

ท่ามกลางเสียงตะโกนลั่นทั้งหลาย เนินเมฆาแดงพลันถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควัน ควันกลุ่มนี้ต้านพลังไฟของเยียนหั่วและรากไม้ของถงลู่ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันขึ้นทั่วพื้นที่

กระทั่งไป๋อี่หงและไป๋โอวเองก็เริ่มเปิดใช้ความสามารถทางสายเลือดตน

เมื่อเปิดใช้สายเลือดจิตวิญญาณอัสนีบาตแล้ว เสียงฟ้าคำรามก็ดังขึ้นราวกับพายุลูกหนึ่งเคลื่อนตัวมากลางป่า

ทุกคนเริ่มดึงท่าและวิชาอันทรงพลังที่สุดของตนออกมาใช้ เมื่อต้องประมือกับพลังมหาศาลจากสมาชิกตระกูลสายเลือดชั้นสูงห้าคน กระทั่งถงลู่และเยียนหั่วที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตยังต้องเผยฝีมือที่แท้จริง

มีเพียงซูเฉินที่จ้องไป๋โอวผู้ซึ่งกำลังใช้ดาบอัสนีบาตครั้งแล้วครั้งเล่าตาไม่กะพริบ สายตาของเขาจ้องลึก ทะลวงผ่านเสื้อผ้าและผิวหนังของไป๋โอว มองลึกลงไปถึงการไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดภายในร่างของอีกฝ่าย……