บทที่ 345 ความแตก (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 345 ความแตก (1)

หลังจากสะบัดสะบิ้งอยู่ครู่หนึ่ง ตวนมู่หว่านก็สวมชุดของลู่เซิ่ง ทั้งสองนั่งลงในห้องหนังสือ ลู่เซิ่งหาอาหารและน้ำชาจำนวนหนึ่งมาให้นาง

ทั้งสองถือโอกาสคุยกันด้านในห้องหนังสือ

“ครั้งนี้โชคดีที่พบท่าน ความจริงตอนสุดท้ายข้านึกไม่ถึงเหมือนกันว่าข้าจะรอดมาได้” ตวนมู่หว่านประคองชาผลไม้ไว้ถ้วยหนึ่ง ให้กระแสความร้อนล้างคอของตัวเอง

“ข้าจะไม่ถามท่านว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแต่เรื่องราวมาถึงตอนนี้ท่านมีแผนการอะไรต่ออีก” ลู่เซิ่งจ้องมองนางอย่างสงบนิ่ง

“นับว่าข้าติดค้างทองคำมารท่าน ต่อจากนี้ข้าจะหาโอกาสใช้คืน แต่ว่าข้าไม่อาจลบค่ายกลในสมองทิ้งได้ พวกนางเอาไขสมองส่วนหนึ่งของข้าออกไป แล้วใส่ค่ายกลเข้าไปแทน ถ้าหากทำลายเข็มควบคุมจิตใจ ชีวิตข้าคงไม่เหลือ” ตวนมู่หว่านเยือกเย็น

“ดูเหมือนท่านจะไม่กังวลแม้แต่น้อย?” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ

“เหตุใดต้องกังวลเล่า การตกอยู่ในมือท่านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ด้วยความเข้าใจของข้าต่อท่าน ท่านไม่เหมือนกับคนประเภทถมหินลงบ่อหรอกกระมัง” ตวนมู่หว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ก็ใช่” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ตอนนี้ข้าไปจากท่านไม่ได้ หนำซ้ำดูท่านมีชีวิตไม่เลว ต่อจากนี้ต้องขออยู่กับท่านแล้ว” ตวนมู่หว่านกลับมองออก

ความจริงทั้งสองไม่ได้พูดหมด ตวนมู่หว่านในตอนนี้ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์กับลู่เซิ่งอย่างไร ล้วนได้แต่พึ่งพาเขาเพราะเข็มควบคุมจิตใจ

หากจะบอกว่าเข็มควบคุมจิตใจบนมือลู่เซิ่งเป็นเครื่องมือควบคุมนาง บอกว่าเป็นวิธีปกป้องนางจะถูกกว่า

“จะว่าไป เหตุใดอยู่ๆ ท่านจึงมาต้าอินเล่า” ตวนมู่หว่านถามต่อ “ที่นี่สู้รบกับพิภพมารเป็นประจำ ไม่ใช่ที่ที่ดี เทียบกับต้าซ่งแล้ว เป็นคนละระดับโดยสิ้นเชิง ต่อให้เป็นบิดาข้าก็ไม่อยากย่างเท้าเข้ามาที่นี่”

“บิดาท่านหรือ”

“หลายๆ คนในต้าซ่งเรียกเขาว่าราชาจิ้งจอกน้ำแข็ง” ตอนที่ตวนมู่หว่านพูดถึงชื่อนี้ ดวงตานางเฉยชา คล้ายกับพูดถึงคนแปลกหน้า

“ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงว่าตวนมู่หว่านจะเป็นลูกของราชาจิ้งจอกน้ำแข็ง

“เขามีลูกสาวทั้งหมดสามร้อยหกสิบห้าคน ข้าเป็นแค่คนหนึ่งในนี้ ดังนั้นสำหรับเขาและข้าแล้ว ชื่อนี้ล้วนเป็นแค่สัญลักษณ์ ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ข้าปวดใจหรอก” ตวนมู่หว่านเอ่ยอย่างสงบ

“ตกลง สาเหตุที่ข้ามาต้าอินก็เพื่อค้นหาความไปได้ที่จะมีการพัฒนาขึ้นอีกก้าว ขณะเดียวกันก็หลบเลี่ยงภัยพิบัติมารในต้าซ่งไปด้วย สภาพการณ์ทางด้านนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ต้าอินต่างออกไป” ลู่เซิ่งตอบตามจริง

“ดี ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่ค่อยรู้จักที่นี่ดีเท่าไหร่ แต่ข้ามีพี่น้องหลายคนที่เคยอยู่ที่นี่ ท่านต้องระวังเอาไว้ ที่นี่มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย” ตวนมู่หว่านพูดพลางขมวดคิ้ว “ปกติแล้วเจ้าแห่งอาวุธทั้งหลายจะไม่ออกหน้า ผู้ปกครองขุมกำลังต่างๆ ล้วนเป็นอริยะเจ้า”

“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” ลู่เซิ่งยิ้ม

“ท่าน…อย่าประมาท ตอนที่พลังอ่อนแอก็ควรซ่อนอยู่ใต้ดิน รอคอยเวลาออกจากรังไหมค่อยจัดการทุกสิ่งก็ไม่ใช่เรื่องไร้เกียรติแต่อย่างไร” ตวนมู่หว่านนึกว่าลู่เซิ่งยังคงเป็นระดับพันธนาการธรรมดา นางเคยได้ยินชื่อเสียงของลู่เซิ่งในแดนเหนือมาก่อน รู้ว่าอย่างน้อยเขาในตอนนี้คงอยู่ในขอบเขตพันธนาการระดับฉลักษณ์ แต่ว่าระดับนี้ในต้าอินเพียงถือว่าแข็งแกร่งพอประมาณเท่านั้น

“ข้ารู้” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ต่อจากนี้ข้ายังมีครอบครัวและข้ารับใช้ที่จะอพยพมาจากต้าซ่งมาอีก ช่วงนี้ข้าอาจจะไปฝึกที่สำนักระดับบน ที่นี่ต้องการคนคอยจับตาดูให้ ท่าน…”

“ข้าจะจัดการให้ดี โปรดมอบรายชื่อคนที่ต้องการจับตาดูและรอคอยให้แก่ข้าด้วย” ตวนมู่หว่านตอบอย่างสงบ

“ผ่อนคลายหน่อยเถอะ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่จะไม่มีใครส่งผลคุกคามต่อท่านอีกแล้ว” เขาไม่ได้ถามตวนมู่หว่านว่านางตกต่ำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร แต่ในเมื่อพึ่งพาเขาแล้ว เรื่องที่มันแล้วไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ

“ข้า…เข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามฟื้นฟูพลังขึ้นมาในระดับหนึ่งเพื่อจะได้จัดการภารกิจได้สะดวก” ตวนมู่หว่านพยักหน้า นางแตกต่างกับซั่งหยางจิ่วหลี่ ในฐานะองค์หญิงสารทกระจ่างซึ่งเลื่องชื่อในเรื่องมีนายบำเรอถึงสามพัน ต่อให้ปัจจุบันสู้ศึกพ่ายแพ้ ความสามารถและความฉลาดก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง จะติดก็แค่ตรงที่พลังฝึกปรือแย่ไปบ้าง ทว่าพลังฝึกปรือย่ำแย่เป็นเรื่องชั่วคราว ด้วยรากฐานในอดีตของนาง สามารถฝึกฝนกลับมาได้ในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร้ปัญหา

“ท่านมีแผนการทางต้าซ่งอย่างไร” ลู่เซิ่งถาม

“ข้ายังเหลือเส้นสายไม่น้อย ขุมกำลังที่ใช้ได้ก็มีอยู่มากเช่นกัน แต่คงไม่มีผลอะไรกับที่นี่มากนัก ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว” ตวนมู่หว่านเข้าสู่บทบาทคนรับใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ผิดจากที่คาด” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “เอาล่ะ ท่านวางแผนดู ในห้องหนังสือมีตำราข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ อ่านตัวหนังสือต้าอินออกหรือไม่”

“อ่านได้ เคยเรียนมาก่อนสมัยยังฝึกฝน” พอนึกถึงเนื้อหาการฝึกฝน ตวนมู่หว่านก็หน้าแดงอย่างควบคุมไม่ได้ วิธีการฝึกฝนที่ไม่เห็นคนเป็นคนนั้น คล้ายกับต้องมองว่าร่างกายและจิตใจเป็นเครื่องมือมอบความสุขให้แก่ผู้เป็นนายโดยสิ้นเชิง ถ้าหากลู่เซิ่งสั่งให้นางทำแบบนั้นจริงๆ อย่างนั้น…

นางไม่กล้าคิดต่อ ความทะนงตน ความเย็นชา ศักดิ์ศรี ของพวกนี้โดนทำลายป่นปี้ไปหมดแล้วในสมัยที่ยังฝึกฝนอยู่

ปัจจุบันชีวิตของตนผูกติดอยู่กับลู่เซิ่ง นางอดนึกภาพหลากหลายรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้

แม้จะรู้ว่าลู่เซิ่งคงไม่ทำแบบนั้น ทว่า…

“เอาล่ะ ต่อจากนี้ข้าจะกักตนระยะหนึ่ง หลังท่านคุ้นเคยแล้ว ค่อยออกไปปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม นี่เป็นป้ายแขวนเอวของข้า” ลู่เซิ่งโยนป้ายแขวนเอวของศิษย์จริงแท้ให้นาง “อีกประเดี๋ยวท่านเอาไป ขอให้ผู้อาวุโสจางซื่อหลงที่อยู่คฤหาสน์ด้านข้าง ช่วยจัดทำป้ายแขวนเอวสำหรับข้ารับใช้ให้”

“ข้าเข้าใจแล้ว นายท่านกักตนอย่างวางใจเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง” ตวนมู่หว่านพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ดี” ลู่เซิ่งเข้าใจสาเหตุที่นางเปลี่ยนคำเรียกเช่นกัน นี่หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเปลี่ยนจากสหายเมื่อก่อนหน้า เป็นนายบ่าวโดยสมบูรณ์ แม้ลู่เซิ่งจะไม่มีทางทำหยาบคายกับตวนมู่หว่านเพราะเป็นสหายกัน แต่นายบ่าวคือนายบ่าว เทียบกับการค่อยๆ ปรับตัวในภายหลังแล้ว สู้กำหนดคำเรียกตั้งแต่เริ่มแรกเลยดีกว่า

“ถ้าหากว่าข้าทำความผิดใดๆ ขอให้นายท่านอย่าสงสารหรือเกรงใจ ไม่ว่าจะเป็นโทษใด ข้าล้วนรับได้” ตวนมู่หว่านพยักหน้าอย่างจริงจัง กล่าวพลางโค้งตัว

“แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า

หลังจากกินข้าวเสร็จ ตวนมู่หว่านก็เข้าสู่บทบาททันที เริ่มจัดเก็บห้อง ขณะเดียวกันก็ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบเรือนด้วย

ลู่เซิ่งให้ทองเหลืองแก่นางไปส่วนหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปฝึกฝนในห้องพิเศษ ปิดประตูแล้วเริ่มเชื่อมต่อกับเขตถ่ายทอดความลับ

หลังจากเข้าไปในเขตถ่ายทอดความลับครั้งหนึ่ง จะได้รับการอนุญาตจากผู้เร้นกายด้านใน สามารถเชื่อมต่อและเข้าไปได้ตลอด วิธีการเชื่อมต่อคือท่องชื่อของผู้เร้นกายในเขตถ่ายทอดความลับในใจ พร้อมทั้งกระตุ้นปราณจริงแท้ หลังจากได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายแล้ว ก็จะได้รับการชักนำโดยตรงจากเขตถ่ายทอดความลับ

ลู่เซิ่งท่องชื่อของอาจารย์เป็นครั้งที่สิบห้าในใจ

ในที่สุด เขาก็รู้สึกสึกได้ถึงแรงฉุดอันมหาศาลที่ส่งมาอย่างเลือนรางจากในอากาศตรงหน้า

เขาสังเกตเห็นว่าร่างกายของตนกำลังค่อยๆ โปร่งแสงไปพร้อมกับแรงฉุดนี้

……

ซู่…!

ตรงหน้าลู่เซิ่งพร่ามัว ทิวทัศน์เบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นป่าเขียวชอุ่มที่มีหมอกขาวครอบคลุม

“มาสายไปหน่อย” เสียงสตรีที่เย็นชาดังมาจากด้านหลังเขา

“ขออภัยด้วยขอรับอาจารย์ ช่วงนี้เกิดเรื่อง…” ลู่เซิ่งหันกลับมา ยังกล่าววาจาไม่จบ ก็เห็นทวนวงเดือนสีดำสนิทพุ่งแวบมาจากที่ไกล แล้วฟันใส่เขาอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับสายฟ้าแลบ

ลู่เซิ่งรีบโคจรปราณจริงแท้ พลังระดับพันธนาการทะลักออกมา เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีตรงหน้า

แต่เพิ่งจะสัมผัส เขาก็รู้สึกผิดปกติทันที พลังของทวนวงเดือนเหนือกว่าระดับของเขาในปัจจุบัน ไปถึงระดับสูงสุดขอบสัตตะลักษณ์อันน่าตกตะลึง!

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งเพิ่งจะยกสองแขนขึ้น ก็ถูกทวนวงเดือนยาวฟันใส่ ร่างกายปลิวกระเด็นออกไป ทั้งยังหมุนคว้างกลางอากาศอยู่หลายสิบรอบ จึงค่อยทิ้งตัวลงพื้นอย่างมั่นคงได้อย่างยากเย็น

“อาจารย์!?” เขาเป่าลมหายใจคำโต ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า

เชียนตู้ลอยอยู่กลางอากาศ ร่างสวมเกราะดำ สองมือควงทวนวงเดือนยาวเบาๆ แล้วฟันไปด้านหน้าอย่างฉับพลัน

ฟ้าว!

จันทร์เสี้ยวสีดำสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะฟันใส่ร่างลู่เซิ่งที่หลบไม่พ้นอย่างดุดัน

“ขับไล่อาทิตย์!” ลู่เซิ่งพลิกมือชักกระบี่ กระตุ้นปราณจริงแท้ด้วยพลังทั้งหมดพร้อมกับใช้ท่ากระบี่ที่เพิ่งเรียนมาออกมากั้นด้านบน

เคร้ง!

จันทร์เสี้ยวฟันใส่คมกระบี่อย่างแม่นยำ เสียงดังเปรี้ยงเมื่อคมกระบี่ระเบิดแหลก ลู่เซิ่งโซเซถอยหลัง ยังไม่ทันตอบสนอง ก็รู้สึกได้ว่าเชียนตู้ปรากฏแวบขึ้นด้านหลังเขา

“ค้อนสวรรค์”

ฝ่ามือสีดำอมม่วงกระแทกใส่กลางหลังลู่เซิ่งอย่างรุนแรง

เปรี้ยง!

สีหน้าลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลง พลังของเชียนตู้เพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือนี้กลายเป็นระดับปฐมปฐพีโดยสมบูรณ์! หนำซ้ำยังปล่อยพลังฝ่ามือที่เหมือนกับท่าไม้ตายออกมาอย่างไร้ความปรานี

เขาไม่ทันคิดมากความ รู้ตัวว่าถ้าหากซ่อนพลังอีก จะต้องตายโดยไร้ที่กลบฝังแน่

ชั่วพริบตานั้นเขารีบใช้วิถีแปดมารสูงสุด เกล็ดสีดำหลายชั้นครอบคลุมร่างหลักอย่างรวดเร็ว เปิดใช้สภาพหยินโชติช่วงโดยสมบูรณ์

สภาพหยินโชติช่วงของเขาในตอนนี้ นอกจากผิวนอกจะมีเกล็ดขึ้นบางส่วนแล้ว จุดอื่นๆ ล้วนไม่มีความแตกต่างกับคนทั่วไป แต่พลังกลับได้รับการยกระดับมากกว่าเดิมจนไปถึงขอบเขตสามขั้นบนของระดับอสรพิษแล้ว

เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เขาคว้าจับฝ่ามือของเชียนตู้ไว้อย่างดุดัน รีบร้อนกล่าวว่า “อาจารย์ ท่านทำอะไร”

“ตาย!” เชียนตู้สีหน้าเย็นเยียบ พร้อมกับบิดตัวเตะใส่คอของลู่เซิ่ง

ตูม!

ควันขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ลู่เซิ่งกระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ หลังชนใส่ต้นไม้ใหญ่สิบกว่าต้นจนหักโค่นในป่าติดต่อกัน จึงค่อยทิ้งตัวลงบนพื้นได้

“อาจารย์!?” ลู่เซิ่งทั้งแตกตื่นทั้งโมโห เพิ่งจะเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าท้องฟ้าด้านหน้าไม่มีใครแล้ว

“บัวดำ กระบวนท่าที่หนึ่งร้อยเจ็บสิบเอ็ด”

ทันใดนั้นลู่เซิ่งร่างสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นไป

วัตถุขนาดมหึมาหล่นลงมาจากกลางอากาศอย่างรวดเร็ว นั่นคืออาจารย์เชียนตู้ที่สองมือกำทวนวงเดือนยักษ์ขนาดหลายสิบหมี่เอาไว้

ในเวลาแค่ไม่กี่กระบวนท่า เชียนตู้ยกระดับตัวเองถึงขั้นผู้ถืออาวุธแล้ว! นี่คิดจะฆ่าเขาหรือ

ลู่เซิ่งตกใจระคนโมโห ขนลุกไปทั้งตัว ร่างกายกำลังเตือนเขาด้วยความคุ้มคลั่งตามสัญชาตญาณ

ตูม!

ทวนวงเดือนยักษ์ที่ยาวหลายสิบหมี่บดขยี้ป่าผืนเล็กในชั่วอึดใจ ทะเลป่ากลายเป็นหลุมยาว ดินโคลนจำนวนมากกระจายออกมาพร้อมกับเศษไม้

พร้อมกับที่นกประหลาดฝูงหนึ่งโผทะยานขึ้นท้องฟ้าด้วยความตกใจและส่งเสียงร้อง ลู่เซิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์

เขาใช้มือข้างหนึ่งขวางไม่ให้คมทวนวงเดือนกดลง ศีรษะมีเขางอกขึ้นมา เกราะเกล็ดสีดำปกคลุมทั่วร่าง ร่างกายสูงถึงห้าหมี่ หางน่ากลัวด้านหลังส่ายช้าๆ เป็นสภาพร่างหลักอันดับที่สาม

ความจริงแล้ว นี่เป็นร่างที่แท้จริงที่เขาหยุดควบคุมตัวเองโดยสิ้นเชิงอีก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นสภาพหยินโชติช่วง หรือสภาพปราณจริงแท้ ก็ล้วนเป็นการเสแสร้งของเขา

ล้วนเป็นสภาพที่เคลื่อนย้ายและบิดกระดูกกล้ามเนื้อของตัวเอง จนกลายเป็นความพิการอย่างหนึ่ง สำหรับเขาแล้ว สภาพสองประเภทนั้นล้วนเป็นความอึดอัด ไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงได้

ปัจจุบันต่างออกไปแล้ว

ไม่ใช้แก่นมาร ปราณเหลว และวิถีแปดมารสูงสุด ร่างหลักที่แท้จริงของเขาเป็นระดับราชามารที่เทียบเท่ากับผู้ถืออาวุธแล้ว แม้จะเป็นราชามารหางแถวก็ตามที

……………………………………….