บทที่ 346 ความแตก (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 346 ความแตก (2)

“อาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ท่านต้องการหรือ” เขาคู่หนึ่งค่อยๆ งอกออกมาบนหน้าผากของลู่เซิ่ง กล้ามเนื้อขยายต่อไปเรื่อยๆ ควันดำนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ ตัวถูกพ่นออกมาจากใต้เกล็ดและเจ็ดทวาร เหมือนกับร่างทั้งร่างกำลังลุกไหม้อยู่

“สิ่งที่ข้าต้องการหรือ” เชียนตู้ชักทวนวงเดือนขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและความบิดเบี้ยว “เจ้านึกว่าตัวเองปกปิดได้ดีนักหรือ เจ้าโง่!”

ชั่วพริบตานั้นทวนวงเดือนสีดำที่ยาวหลายสิบหมี่กลายเป็นเงาดำเต็มฟ้า ราวกับว่ากลายเป็นทวนวงเดือนขนาดยักษ์หลายสิบเล่มฟันใส่ลู่เซิ่งอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นในชั่วอึดใจเดียว

ต้นไม้ทั้งหมดในทะเลป่ารัศมีหลายร้อยหมี่ป่นปี้และระเบิดในชั่วเสี้ยววินาที พื้นแตกเป็นร่องที่ดูน่ากลัวหลายสาย หมอกควันสีดำซึ่งประกอบด้วยแมลงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตาเนื้อมองไม่เห็นกระจายออกมา มันผ่านไปทางไหน ทุกสิ่งล้วนแห้งเหี่ยวและดำเกรียม ถึงขั้นที่พื้นหญ้ากับดินโคลนค่อยๆ หลอมละลาย มีของเหลวกึ่งโปร่งแสงที่เล็กละเอียดไหลซึมออกมา

“ปกปิดไม่ดีแล้วอย่างไร?!” ลู่เซิ่งเงยหน้า ร่างพลันระเบิดกลายเป็นควันดำนับไม่ถ้วน ควันดำขยายตัวขึ้น พริบตาเดียวก็ตลบไปทั่วอาณาเขตหลายสิบหมี่รอบๆ

เปรี้ยง!

มือยักษ์ที่ใหญ่ถึงสิบกว่าหมี่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในควันดำ ก่อนจะคว้าใส่อากาศที่เชียนตู้อยู่

ฝ่ามือสีดำมีหนามโค้งและเกล็ดครอบคลุมอยู่อย่างหนาแน่น แถมยังมีความร้อนและพิษร้ายที่กำลังลุกไหม้ เงาทวนวงเดือนทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ กลับเกิดเสียงโลหะปะทะกันดังเคร้งคร้าง

“คนที่ต้องกลัวไม่ใช่ข้า!”

ควันดำสลายไป เผยให้เห็นร่างขนาดยักษ์ของลู่เซิ่ง นั่นเป็นสัตว์ยักษ์ขนาดมหึมาเกือบยี่สิบหมี่ ขาที่กำยำถึงขั้นบวมเป่ง ปากที่ฉีกไปถึงใบหู แขนคู่ที่สองซึ่งงอกออกมาอย่างช้าๆ ด้านลัง รวมถึงควันดำหนาทึบที่แผ่กระจายทั่วร่าง ลู่เซิ่งในตอนนี้มองไปดูเหมือนกับสัตว์ยักษ์น่ากลัวครึ่งคนครึ่งม้าขนาดมโหฬาร

เขาจับตัวเชียนตู้กระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

ตูม!

แผ่นดินสั่นไหวภูเขาเขย่า ทะเลป่าในอาณาเขตหลายสิบลี้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ดินสีเหลืองที่เหมือนกับน้ำตกลอยฟุ้งขึ้นมาหลายสิบหมี่ ในนี้ถึงขั้นมีก้อนหินและเศษไม้จำนวนมากปะปนอยู่

“จบแล้ว” เสียงของลู่เซิ่งในตอนนี้มีผลอันตรายที่ล่อลวงใจคนได้โดยธรรมชาติ ยิ่งใหญ่ล้ำลึก เดี๋ยวอยู่ใกล้เดี๋ยวอยู่ไกล

“ใช่ จบแล้ว” เสียงของเชียนตู้ดังมาจากเหนือศีรษะลู่เซิ่ง

ฟ้าว!

ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ เปลี่ยนแปลงไป สีสันคลุกเคล้ากันเหมือนกับสีจำนวนไม่ถ้วนผสมกัน ทิวทัศน์ทั้งหมดบิดเบี้ยวและหมุนวนอย่างฉับพลัน แถมยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ

พริบตาเดียวตรงหน้าลู่เซิ่งก็พร่ามัว ได้สติกลับมา

เขากำลังยืนอยู่ในถ้ำขนาดมหึมาอย่างสงบ บนถ้ำฝังผลึกหินสีเขียวก้อนหนึ่ง แสงอาทิตย์สาดลงมาผ่านผลึกหิน ย้อมถ้ำทั้งถ้ำเป็นสีเขียว

เชียนตู้ยังยืนอยู่ตรงหน้าเขา โดยที่ถือทวนวงเดือนสีดำซึ่งสูงเท่าคนหนึ่งคน โคลนสีดำที่กำลังเดือดปุดๆ ลอยอยู่กลางอากาศด้านหลัง

“กลัวหรือไม่” เชียนตู้ส่งเสียงอย่างแปลกประหลาด

“อาจารย์…ท่านต้องการทำอะไรกันแน? ทดสอ? หรือว่าประเมิน” ในความสงบนิ่งของลู่เซิ่งมีจิตสังหารที่เย็นเยียบผสมอยู่ เขาจับจ้องอีกฝ่าย ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นแค่ร่างแยก เขาเพิ่งได้สติก็สัมผัสได้ทันที

“ปกปิดได้ไม่เลว แต่ว่าผู้เข้มแข็งระดับสุดยอด ผู้ถืออาวุธที่ยิ่งใหญ่ยินยอมปะปนเข้าสำนักพันอาทิตย์ ดูเหมือนเจ้าจะมีแผนการยิ่งใหญ่ทีเดียว” เชียนตู้กล่าวอย่างราบเรียบ

“เรื่องนี้อาจารย์ท่านผิดแล้ว” สายตาลู่เซิ่งอยู่ที่ทวนวงเดือนสีดำเล่มนั้น “ข้ากำลังค้นหาเส้นทางของตัวเอง และกำลังทดลองบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น”

“ตอนนี้โดนข้าพบแล้ว เจ้าคิดจะทำอะไรต่อ” เชียนตู้เงยหน้าขึ้นจ้องมองลู่เซิ่ง

“พลังระดับผู้ถืออาวุธเป็นอดีตของข้า ข้าในตอนนี้เป็นแค่ศิษย์ระดับพันธนาการธรรมดาๆ คนหนึ่ง และเป็นศิษย์ของท่าน เป็นศิษย์สำนักพันอาทิตย์ธรรมดาที่หวังจะได้รับการชี้แนะจากท่าน” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างสงบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“อย่างนั้นข้ารับใช้ทางต้าซ่งของเจ้าเล่า”

“นั่นเป็นบ่าวในบ้านของศิษย์”

“เผ่ามารที่เจ้าเคยฆ่าในกองทัพมารเล่า”

“นั่นเป็นสัตว์ป่าที่ออกล่าเป็นบางครั้ง”

“แล้วการเปลี่ยนร่างเมื่อครู่ของเจ้า…”

“นั่นเป็นวรยุทธ์ในตระกูลที่ศิษย์ฝึกมาก่อน”

“เข้าใจแล้ว”

เชียนตู้เข้าใจความหมายของเขาแล้ว

“ข้าชี้แนะสิ่งที่เกี่ยวกับปราณจริงแท้ให้แก่เจ้าได้ แต่เจ้าต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไรหรือ”

“หาคนคนหนึ่ง” เชียนตู้สายตาล้ำลึกขึ้น “สตรีที่หน้าตาเหมือนกับข้า”

“หาในต้าอินนี่หรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย

“ในต้าอิน ส่วนค่าตอบแทน ข้าจะชี้แนะเจ้าว่าจะเข้าสู่ขอบเขตอริยะเจ้าได้อย่างไร เจ้าในตอนนี้ความแตกได้ง่ายดายเกินไป อาศัยความสามารถปกปิดที่เจ้าคิดว่าดี ไม่อาจปิดบังอริยะเจ้ากับเจ้าแห่งอาวุธได้” เชียนตู้ยิ้ม

“ข้าเข้าใจ” ลู่เซิ่งรับทราบว่านี้เป็นข้อแลกเปลี่ยน

เชียนตู้ไม่คิดเปิดโปงตน แม้เปิดโปงไปก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างมากสุดก็แค่ได้รับความสนใจและความกริ่งเกรงก่อนเวลา อาจถูกมองว่าเป็นไส้ศึกจากขุมกำลังภายนอก จนทำให้เป้าหมายขโมยความลับสำหรับฝึกฝนในสายปราณจริงแท้ของลู่เซิ่งล้มเหลว

แต่ตอนนี้เมื่อมีเชียนตู้คอยค้ำหัวไว้ เขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้ในการสัมผัสกับความลับในขอบเขตอริยะเจ้าหรือเจ้าแห่งมารของจริงได้ก่อนเวลา

“พูดจากใจจริง ถ้าหากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ ข้าตรวจสอบรายละเอียดของเจ้าแล้ว เมื่อครู่ข้าอาจจะฆ่าเจ้าเนื่องจากปราณมารบนร่างเจ้าไปแล้วก็ได้ เพราะเจ้าดูเหมือนมารโบราณเกินไป” เชียนตู้อธิบายอย่างราบเรียบ

“อย่างนั้นหรือ” ร่างขนาดมหึมาของลู่เซิ่งเริ่มถูกควันดำนับไม่ถ้วนครอบคลุม ไม่นานควันดำก็เล็กลงเรื่อยๆ จนเหลือขนาดแค่สองสามหมี่

หมอกควันสลายไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่เยือกเย็นในตอนแรกของลู่เซิ่ง บนตัวเขานอกจากเกราะเกล็ดสีดำที่ครอบคลุมอยู่ชั้นหนึ่งแล้ว จุดอื่นๆ ล้วนเปลือยเปล่า เป็นโครงสร้างกล้ามเนื้อที่เหมือนเหล็กกล้า

เชียนตู้โยนเสื้อคลุมสีดำชุดหนึ่งให้

“เอาไปใส่เสีย การฝึกฝนปราณจริงแท้ของเจ้าในตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว”

“ถึงแค่ระดับที่สองขอรับ” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างสงบพลางสวมเสื้อคลุมสีดำ “วิชาอาทิตย์เวโรจน์กับวิถีนภาวิญญาณที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ล้วนอยู่ในระดับที่สอง”

“แล้วเคล็ดหลอมแกนกลางโลกที่เจ้าเอามาจากสาขาย่อยเล่า” เชียนตู้คล้ายกับปฏิบัติกับเขาเหมือนศิษย์ธรรมดาจริงๆ

“เป็นระดับที่สองเช่นกัน” ลู่เซิ่งตอบ

“ฝึกฝนวิถีนภาวิญญาณจนสำเร็จก่อน แล้วข้าจะให้วิชาต่อจากนั้น ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว ยกระดับอย่างเต็มที่ได้เลย มีข้าอยู่ มัวแต่ปิดบังก็เสียเวลาเปล่า” เชียนตู้ขว้างทวนวงเดือนในมือทิ้งไป

ทวนวงเดือนสีดำส่งเสียงแหวกอากาศขณะลอยขึ้นท้องฟ้า มันหมุนด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็ยิ่งมายิ่งเล็ก ไม่นานก็เล็กลงจนมีขนาดเท่าเม็ดท้อ จากนั้นนางก็รับไว้แล้วเก็บใส่แขนเสื้อ

“นอกจากนี้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเดินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้เจ้าคิดจะรวมวิถีมาร วิถีปราณ และเคล็ดจริงแท้เป็นหนึ่งเดียว เส้นทางมีความหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่มีอาวุธเทพศัสตรามารคอยสะกด คุณสมบัติร่างและวิญญาณของเจ้าจะไม่อาจรองรับการเติบโตอย่างรุนแรงหลังจากรวมเป็นหนึ่งได้” เชียนตู้พูดต่อ

ลู่เซิ่งม่านตาหดตัว นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเชียนตู้จะดูออกแม้กระทั่งเรื่องนี้ “อาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วย”

“เส้นทางของเจ้า ถ้าไม่เดินบนเส้นทางของพิภพมาร ละทิ้งเส้นทางอื่นไป ก็ต้องหาอาวุธเทพศัสตรามารมาหลอมรวม เพื่อเดินบนเส้นทางที่แท้จริงของเจ้าแห่งอาวุธ”

“ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วหรือ”

“ไม่มี ที่เจ้าเดินบนเส้นทางพิภพมารได้ เป็นเพราะแก่นมารพิเศษที่ไม่รู้ว่าเจ้าหามาได้อย่างไร ข้าเพิ่งเคยเจอคนที่สามารถกระตุ้นแก่นมารระดับนั้นได้ทั้งๆ ที่ไม่มีศัสตรามารเป็นครั้งแรก” เชียนตู้พูดอย่างสงสัย

ลู่เซิ่งเงียบงัน

“ปัญหาใหญ่สุดของเจ้าในตอนนี้คือจิตวิญญาณของเจ้า จิตวิญญาณอ่อนแอเกินไปจนทำให้เจ้าควบคุมร่างกายตนเองอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสถานการณ์ที่พลังงานสามแบบแยกตัวเป็นอิสระแบบนี้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นสมควรเป็นการกลืนกินสิ่งอื่นๆ ด้วย ตัววิถีนภาวิญญาณมีผลเสริมความแข็งแกร่งและยกระดับจิตใจและกายเนื้อพร้อมกันอยู่แล้ว จงตั้งใจฝึกให้ดี รอเจ้าสำเร็จแล้ว ก็จะเข้ามาในเขตถ่ายทอดความลับนี้ได้เอง” เชียนตู้คว้ามือใส่อากาศ ไข่มุกสีทองที่เล็กกระจิ๋วและกลมมนเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือในทันที

นางโยนไข่มุกให้ลู่เซิ่ง “นี่เป็นหยกตัวลูกของหยกโค้งบุปผาเจ็ดกีฏะซึ่งเป็นศัสตรามาร สามารถอำพรางกลิ่นอายและพลังของเจ้าได้ ทั้งยังมอบสารกายที่อยู่ด้านในให้ ขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ทางสถานะของข้าด้วย จงเก็บไว้ให้ดี หลังออกไปแล้ว เจอปัญหาเมื่อไหร่ก็เอามันออกมาแสดง คนในสำนักพันอาทิตย์ที่กล้าไม่ไว้หน้าข้ามีอยู่ไม่กี่คน”

“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า ขอยืมไข่มุก แล้วเก็บใส่ถุงย่ามข้างเอวอย่างระมัดระวัง

“เอาล่ะ ไปเถอะ” หลังจากประโยคสุดท้ายของเชียนตู้ ด้านหน้าลู่เซิ่งพลันพร่ามัว จากนั้นก็มืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ตรงหน้าก็เลือนรางอีกครั้ง เขากลับมายังห้องฝึกฝนบนตัวลานด้านในเมืองแล้ว

ลู่เซิ่งถอนใจครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น แม้เขาจะไม่คิดว่าตนเองปิดบังได้ทุกคน แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะความแตกเร็วขนาดนี้

เขาล้วงมือหยิบไข่มุกสีทองเม็ดเล็กออกมาจากในถุงย่ามข้างเอว รู้สึกได้ว่าด้านในเหมือนกับเชื่อมต่อกับเขตถ่ายทอดความลับ มีสารกายเข้มข้นทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

‘ในเมื่ออาจารย์พูดแบบนี้ อย่างนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว’

สารกายมากพอ ทั้งยังมีวิชาอยู่ในมือ ก็สมควรยกระดับได้แล้ว

เคล็ดจริงแท้ที่เขาต้องการจะฝึกในตอนนี้มีทั้งหมดสามวิชา วิชาแรกคือวิถีนภาวิญญาณ วิชาที่สองคือวิชาอาทิตย์เวโรจน์ วิชาที่สามคือเคล็ดหลอมแกนกลางโลก

‘สามวิชานี้เป็นจุดที่เราต้องลงแรงในสายปราณจริงแท้แล้ว’

‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา เขาฝึกวิถีนภาวิญญาณกับวิชาอาทิตย์เวโรจน์จนเกิดความรู้สึกถึงปราณ เข้าสู่ระดับเบื้องต้นได้แล้ว

ทว่าพอกวาดตามองพลังอาวรณ์ที่เหลืออยู่ ลู่เซิ่งก็พลันงุนงง

หกร้อยเจ็ดสิบแปดหน่วยหรือ!?

ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีเยอะขนาดนี้ ในเมื่อมีพลังอาวรณ์เยอะขนาดนี้ อย่างนั้นเขาก็ไม่เกรงใจแล้ว ใช้ประโยชน์จากไข่มุกสีทอง ยกระดับวิถีนภาวิญญาณถึงระดับเก้าอันเป็นขั้นสูงสุด วิชาอาทิตย์เวโรจน์ไปถึงระดับหกซึ่งเป็นขีดจำกัดเช่นกัน อีกสามระดับต่อจากนั้นต้องทำเงื่อนไขพิเศษให้ครบ จึงจะยกระดับต่อได้ ส่วนเคล็ดหลอมแกนกลางโลกอันเป็นวิชาที่สามกลับมีความเร็วมากกว่า พริบตาเดียวก็ไปถึงระดับที่เก้าอันเป็นขอบเขตสูงสุดแล้ว

เคล็ดจริงแท้สามวิชาใช้พลังอาวรณ์ของลู่เซิ่งไปทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบห้าหน่วย หลังจากใช้หมด เขายังมีเหลือห้าร้อยยี่สิบสามหน่วย

วิชาอาทิตย์เวโรจน์ไปถึงแค่ระดับหก แต่ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ ปริมาณปราณจริงแท้ของลู่เซิ่งก็ไปถึงจุดสูงสุดของระดับสัตตะลักษณ์แล้ว

สำหรับคนอื่นๆ เมื่อปริมาณปราณจริงแท้ถึงขีดจำกัด อย่างมากสุดก็แค่มีเยื่อดำแข็งเล็กน้อยเท่านั้น ยังต้องค่อยๆ ฝึกฝนความสามารถการโจมตีที่เหลือ ทว่า กลับไม่มีความจำเป็นโดยสิ้นเชิงสำหรับลู่เซิ่ง หลังมาถึงระดับนี้ เขาก็เป็นยอดฝีมือของระดับนี้แล้ว

ครั้นมาถึงขั้นนี้ ก็ถือเป็นระดับสูงสุดชั่วคราว ไม่อาจยกระดับต่อไปได้อีก สิ่งที่วิชาอาทิตย์เวโรจน์ระดับที่เจ็ดต้องการก็คือสภาพแวดล้อมพิเศษที่เต็มไปด้วยแสงสว่างสีน้ำเงินซึ่งไม่มีความร้อน

รอจนลู่เซิ่งยกระดับหลายครั้งจนเสร็จในรวดเดียว ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว

เขาลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วเดินเข้าเรือน เห็นตวนมู่หว่านกำลังจัดสรรหน้าที่ให้บริวารหลายคนอยู่พอดี

ลานทั้งลานได้รับการเก็บกวาดจนสะอาดและเป็นระเบียบ

พื้นสะอาดสะอ้านขึ้นมามาก คราบสกปรกรอบๆ กำแพงหายไป สถานที่ที่เก่าคร่ำคร่าส่วนหนึ่งกลายเป็นใหม่เอี่ยม

……………………………………….