Ep.345 ข้าไม่แต่งกับใครทั้งนั้น
ฤดูหนาวเวียนมาบรรจบ แทนฤดูใบไม้ผลิที่พ้นไป เวลาสามปีผ่านไปเพียงพริบตา
เดือนมกราคมปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบสี่ ถังหลานและซูมู่หยุนรวบรวมกองกำลังสี่แสนนายจากจักรวรรดิเข้าจู่โจมมณฑลหลิงคงที่อยู่บนสันเขา ทั้งสองถูกจัดการโดยหลงเซียนหลิน หนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งหลิงหนาน โดยการยื้อเวลารบในช่วงหิมะตกหนักจนกองทัพขาดแคลนเสบียงก่อนจะเข้าโจมตีทำให้สูญเสียทหารไปกว่าสองแสนนาย มณฑลหลิงตงและมณฑลทงทียนถูกยึดครองโดยจักรวรรดิอี้เหอ บนเทือกเขาฉินเต็มไปด้วยศพทหารเกลื่อนกลาดทุกตารางนิ้ว เป็นครั้งแรกตั้งแต่จักรวรรดิฟื้นฟู แม้แต่เซี่ยงอวี้และแม่ทัพคนอื่นๆ ยังได้รับบาดเจ็บ
เดือนมีนาคม กองทัพทั้งหมดกลับสู่เมืองหลวง
ณ ตำหนักเจ๋อเทียน ฉินอินผู้เลอโฉมดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยหลังได้รับการราชาภิเษก นางยืนจับด้ามกระบี่จื่อยินอย่างสง่างามหน้าบัลลังก์ สายตาอันเย็นชามองไปยังเหล่าคนเบื้องล่าง “ท่านตา ท่านหลานกง ข้าอยากทราบว่าเหตุใดจึงยอมแพ้เช่นนี้?”
ถังหลานและซูมู่หยุนคุกเข่าเงียบต่อหน้าฉินอิน
เฟิงจี้สิงยืนขึ้นพลางกระชับดาบที่เอว ก่อนจะก้าวออกมาและประสานหมัด “ข้าแต่ฝ่าพระบาท การศึกครั้งนี้หานับได้ว่าเป็นการรบกันอย่างเท่าเทียมไม่ ทุกการกระทำของเราล้วนถูกควบคุมโดยศัตรู เสบียงอาหารเราถูกพวกมันยึดและเผาจนสิ้น กองทัพกว่าสี่แสนบนภูเขาฉินต้องสูญเสียเสบียง อีกทั้งยังถูกถ่วงเวลาท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างหนัก เสื้อผ้าฝ้ายก็มีไม่พอ…ทำให้กองทัพจักรวรรดิเราเสียกำลังรบไปโดยสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดอันใดขึ้น?” ฉินอินถาม
เฟิงจี้สิงกล่าว “เมื่อสามปีก่อน สำนักอัศวินจากหลิงหนานหนีเข้ามายังหลิงเป่ย พวกเราได้ทำการล้อมกำจัดพวกมันไปหลายครั้งหลายคราทว่าก็เปล่าประโยชน์ พวกเจ้าเล่ห์ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ทุกการเคลื่อนไหวของกองทัพถูกรายงานไปยังจักรวรรดิอี้เหอ เป็นเหตุให้เราพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงครั้งนี้”
ฉินอินถอนหายใจอย่างเงียบๆ “ท่านเซี่ยงอวี้ ส่งกองกำลังไปพิทักษ์ชายแดนมณฑลเทียนชู่และชางหนาน อย่าให้พวกอี้เหอเข้าโจมตีได้อีก ส่วนท่านเฟิงจี้สิงรับผิดชอบเรื่องการกำจัดสำนักอัศวิน ภายในสามปีต้องมีพวกมันเหลืออยู่ในจักรวรรดิอีก”
“ฝ่าบาท แบบนี้มัน…”
“ข้องใจอย่างนั้นรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เฟิงจี้สิงประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาทรู้จักหานจวิ้น หลูจ๋าน ฝานอวิ๋น ตวนมู่ฟาง เซี่ยโหวจู้ หยานลี่ และปู้ไห่ เจ็ดปราชญ์แห่งอี้เหอหรือไม่? พวกเขาเป็นรองเพียงลั่วหลานเท่านั้น ขณะนี้สามในเจ็ดได้เข้ามายังอาณาเขตหลิงเป่ยแล้ว พวกมันซ่อนอยู่ในสำนักอัศวินตามภูเขาและป่า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงล้มเหลวในการกำจัดสำนักอัศวินซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“แล้วจะยอมต่อไปเช่นนี้หรือ?”
ฉินอินเอ่ยถาม “เว่ยโฉว จงนำกลุ่มมังกรผงาดเข้าร่วมกับท่านเฟิงจี้สิง ช่วยกันถอนรากถอนโคนพวกมันจากชางหนานและหลิงเป่ยให้สิ้น”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เว่ยโฉวประสานหมัดพร้อมกับแม่ทัพทั้งสาม ฉินเหยียน หลัวอวี่และเฟิงสี่ ตั้งแต่กลุ่มมังกรผงาดถูกถล่มเมื่อนานมาแล้วนี่จึงเป็นโอกาสที่จะแก้แค้น
เป็นเพราะหลินมู่อวี่สร้างศรเศวตรมณีทิ้งไว้ให้กว่าพันดอก ซึ่งเป็นอาวุธสังหารของกลุ่มมังกรผงาด จึงไม่ใช่เรื่องยากหากจะจัดการกับขอบเขตปราชญ์
“ข้าแต่ฝ่าพระบาท”
ซูมู่หยุนประสานหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ศึก ณ มณฑลหลิงคง ทำให้จักรวรรดิต้องสูญเสียกำลังทหารไปมาก ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ขอโปรดประทานโทษทัณฑ์แก่กระหม่อมโดยการยึดตำแหน่งผู้ปกครองมณฑลอวิ้นจงเสียเถิด”
“การที่ท่านตายอมรับผิดเช่นนี้ช่างหายากจริง”
ฉินอินยิ้ม “ย่อมได้ ตามที่ท่านร้องขอ ข้าขอปลดซูมู่หยุนลงจากบัลลังก์อวิ้นจงเพื่อเป็นการลงโทษ เรื่องแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องปกติของการรบ ท่านตาไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ สักวันเราต้องเอาชนะพวกมันให้จงได้ ตอนนี้เมืองชีไห่ อวิ้นจง หลิงเป่ย ชางหนาน และเทียนชู่ ทั้งห้ามณฑลอันอุดมสมบูรณ์อยู่ในกำมือเรา ด้วยเหตุนี้พวกจักรวรรดิอี้เหอคงยื้ออยู่ฝั่งนี้ได้อีกไม่นาน”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ซูมู่หยุนก้มลงกราบพื้น
ถังหลานขมวดคิ้วคุกเข่าลง “ข้าแต่ฝ่าพระบาท หากท่านหยุนกงถูกปลด กระหม่อมเองก็สมควรโดนเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ย่อมได้” ฉินอินตอบอย่างยินดียิ่ง
…
ช่วงบ่าย ทหารจักรวรรดิห้าพันนายจัดทัพออกจากเมืองไปโดยมีเฟิงจี้สิงเป็นแม่ทัพ ตามด้วยทหารฝีมือดีจากกลุ่มมังกรผงาดอีกพันนาย เพราะถูกขัดขวางจากถังหลานและซูมู่หยุนทำให้กลุ่มมังกรผงาดไม่สามารถขยายอำนาจต่อได้ ถึงกระนั้นก็โชคดีที่ทั้งหนึ่งพันนายนั้นมีอาวุธชั้นยอดช่วยให้ปะทะกับศัตรูได้ดี อีกทั้งทักษะธนูและม้าที่เก่งกาจ ทำให้กำลังทหารของพวกเขาแข็งแกร่งกว่ากองทัพอื่นที่มีจำนวนเท่ากันนัก
“ผู้บัญชาการเว่ยโฉว”
เฟิงจี้สิงดึงบังเหียนม้ากล่าว “เราจะตีเขาลูกไหนกันก่อนดี?”
“ภูเขาหลงหยานขอรับ”
เว่ยโฉวกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไอ้พวกชั่วสำนักอัศวินยึดครองภูเขาหลงหยานมาเป็นปี! ความอับอายของกลุ่มมังกรผงาดต้องได้รับการชดใช้”
“ถ้าเช่นนั้น…”
เฟิงจี้สิงกล่าว “แสดงว่าศูนย์หลักของสำนักอัศวินเมืองหลันเยี่ยนตอนนี้ตั้งอยู่บนภูเขาหลงหยาน และมีขอบเขตปราชญ์ที่แข็งแกร่งนามปู้ไห่อยู่ด้วย เพราะเหตุนี้เองการกวาดล้างภูเขาหลงหยานเมื่อครึ่งปีก่อนของเซี่ยงอวี้จึงถูกขัดขวางจนแทบเอาชีวิตไม่รอด”
“เซี่ยงอวี้สู้ปู้ไห่ไม่ได้หรือ?” เว่ยโฉวสงสัย
“อันที่จริง…” เฟิงจี้สิงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เซี่ยงอวี้บรรลุสู่ขอบเขตปราชญ์ได้หนึ่งปีแล้ว ด้านพลังเขาสูสีกับปู้ไห่ ทว่าได้รับคำสั่งจากหลานกงให้ถอยทัพกลับเมืองเสียก่อน”
“หึ!”
เว่ยโฉวกล่าว “หมายความว่าถังหลานเองก็คงไม่ให้อยากสังหารปู้ไห่ใช่หรือไม่?”
“อาจใช่”
เฟิงจี้สิงจับด้ามดาบ ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านเขาเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าถังหลานรู้ดีถึงพลังของเซี่ยงอวี้ แม่ทัพผู้เก่งกาจ จึงรอกองทัพอื่นๆ จากจักรวรรดิบุกโจมตีภูเขาหลงหยานแทน ซึ่งก็คือกองทัพองครักษ์ที่เป็นกองกำลังเดียวที่มี เพราะกลุ่มมังกรผงาดขึ้นตรงกับจักรพรรดินี”
“ขอรับ”
เว่ยโฉวยิ้ม “น่าเสียดาย ขณะที่กองทัพองครักษ์มีทหารกว่าสองหมื่นนาย ทว่ากลุ่มมังกรผงาดกลับมีเพียงหนึ่งพันคน มิเช่นนั้นคง…”
“อย่าคิดมาก” เฟิงจี้สิงกระชับผ้าคลุม “ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น ตราบใดที่เรายังอยู่จะไม่มีใครกล้าต่อต้านจักรพรรดินีแน่ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
“ขอรับ”
ดวงตาเว่ยโฉวเริ่มปริ่มน้ำ “น่าเสียดาย…ไม่มีท่านผู้บัญชาการหลินอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาคงวางแผนทุกเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม และอย่างน้อยจักรพรรดินีคงไม่ต้องมาทนทุกข์อย่างน่าอัปยศเช่นนี้”
เฟิงจี้สิงเงยหน้ามองท้องฟ้า “ไอ้หนูอาอวี่…เขาเป็นผู้นำที่หาได้อย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ”
“เอาเถิด…คืนนี้ข้าจะตั้งค่ายอยู่ตีนเขาหลงหยาน และบุกโจมตีเช้าวันพรุ่งนี้”
“ขอรับ”
…
ณ สมาพันธ์โอสถแห่งเมืองหลันเยี่ยน กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายไปทั่วบริเวณ เหล่านกกระจอก นกนางแอ่นและผีเสื้อต่างเริงระบำ
ตาคู่สวยสงบนิ่งของฉู่เหยาจ้องมองสมุนไพรขณะใช้ฝ่ามือพิศุทธิ์ค่อยๆ กะเทาะแก่นโอสถออกมา กระบี่ดอกหลีฮวาที่อยู่ด้านข้างกวัดแกว่งขึ้นกลางอากาศราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ท่านผู้นำ ปรุงโอสถอยู่หรือขอรับ?” ชายแก่สวมชุดผุ้ดูแลยิ้มถาม
“อืม” ฉู่เหยาพยักหน้า “ช่วงนี้เหตุการณ์สงบเงียบ ข้าไม่มีสิ่งใดทำจึงปรุงโอสถเก็บไว้ ผู้ดูแลหลีมีอันใดหรือไม่?”
“ขอรับ”
ผู้ดูแลหลียื่นบางสิ่งในมือให้ “อายุวัฒนะจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะหมดแล้ว ทว่ามันเป็นโอสถระดับแปด คนแก่อย่างพวกข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะปรุงมัน จึงมาขอรบกวนท่านผู้นำช่วยปรุงให้หน่อยขอรับ”
“หมายความว่า…” ฉู่เหยากะพริบตากล่าว “ท่านเกอหยางผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ป่วยอีกแล้วหรือ?”
“ขอรับ” ผู้ดูแลหลีตอบรับ “อาการใต้เท้าเกอหยางเริ่มทรุดลงหลังได้รับตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่ท่านรู้ว่าเขายังไม่บรรลุขอบเขตปราชญ์ ซึ่งเป็นขอบเขตที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างยาวนานทำให้ผลาญพลังชีวิตเขาไปมาก ด้วยวัยเก้าสิบปี…ข้าเกรงว่าคงไม่ทันได้บรรลุขอบเขตนั้นเป็นแน่ ทำได้เพียงอาศัยยาอายุวัฒนะช่วยรักษาพลังชีวิตไว้เท่านั้น”
“ข้าทราบแล้ว” ฉู่เหยากล่าว “โอสถระดับแปดนั้นต้องใช้เวลาอย่างมากในการปรุง ท่านค่อยมารับทีหลังแล้วกันนะ”
“ขอรับ”
ผู้ดูแลหลีมองไปข้างๆ สร้อยไข่มุกสีดำอันงดงามแขวนแกว่งไปมาอยู่ตรงขอบโต๊ะ สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยของฉินอินที่เก็บมันมาจากหลินมู่อวี่และส่งต่อให้ฉู่เหยา
“ท่านผู้นำ เหล่าคนที่สลักบนสร้อยนี้คือใครหรือ?” ผู้ดูแลเฒ่าเอ่ยถามทันใด
ฉู่เหยาชะงัก ร่างงามลุกขึ้นยืนหลังเงียบไปครู่ใหญ่ “พวกเขาคือคนที่ข้าเฝ้าฝันถึง ผู้เป็นที่รักที่พบได้เพียงในฝันเท่านั้น…”
ผู้ดูแลหลีชะงัก รีบประสานหมัดด้วยความเคารพและกล่าว “ดวงวิญญาณของท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและท่านหลินมู่อวี่ที่อยู่บนสวรรค์ คงอวยพรให้จักรวรรดิรุ่งเรืองมั่งคั่งอยู่เป็นแน่…ท่านผู้นำอย่าได้โศกเศร้าไปเลยขอรับ จริงสิ…ไม่กี่วันก่อนมีคนจากหลิงเป่ยมาขอมั่นหมายอีกแล้วขอรับ…”
ฉู่เหยาตอบ “อย่าได้กวนข้าด้วยเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดทั้งนั้น”
“ขอรับ”
…
ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมจิตใจของนักรบได้รับการก่อสร้างขึ้นใหม่ ทว่าเถ้าเขม่าที่เปรอะเปื้อนบนกำแพงนั้นยังอยู่ ชวนให้หวนระลึกถึงความอัปยศและเกลียดชังที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น
ในห้องทำงานของผู้นำ ชายผมหงอกจับปากกาเหล็กมือสั่น คอยตอบกลับเอกสารรายงานต่างๆ ครูฝึกดาวเงินคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเอ่ยขึ้น “ใต้เท้า มือสั่นหมดแล้วครับ”
เกอหยางมองหน้าครูฝึก “อย่ามากวนข้า ข้ารู้ตัวดี…”
เกอหยางวางปากกาและเอนหลังพิงเก้าอี้ “ตอนนี้ข้าแก่มากแล้ว งานพวกนี้ควรเป็นงานของคนหนุ่มสาวมากกว่า น่าเสียดาย…เราได้สูญเสียคนมีพรสวรรค์ที่มีค่าไปอย่างมากตั้งแต่เหตุการณ์โกลาหลเมื่อสามปีที่แล้ว”
ครูฝึกหนุ่มยิ้ม “ท่านผู้นำกำลังพูดถึงใต้เท้าหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่? แม้ข้าจะไม่เคยพบเขา ทว่าทุกคนในวิหารนี้ล้วนรู้จักเขาทั้งสิ้น เป็นผู้มีพลังแห่งราชาที่เด็กที่สุดในจักรวรรดิ”
“ไม่ใช่เพียงพลังแห่งราชา…” เกอหยางน้ำตาปริ่ม “หากอาอวี่ยังไม่ตาย ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาด เขาคงก้าวสู่ขอบเขตปราชญ์แล้วตอนนี้”
“คำขอลาออกจากตำแหน่งของใต้เท้าถูกจักรพรรดินีปฏิเสธอีกแล้วขอรับ พระองค์ทรงตรัสว่ากลุ่มมังกรผงาดกำลังต้องการคนเช่นกัน ทำให้ท่านฉินเหยียนกลับมารับตำแหน่งแทนไม่ได้”
“ข้าเองก็ต้องการแท้ๆ…”
เกอหยางถอนหายใจก่อนหยิบปากกาเหล็กขึ้นมาอีกครั้ง