ในฐานะที่เป็นเมืองใหญ่เพียงเมืองเดียวในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ บ้านเรือนในเมืองเฟิงหลินแน่นอนว่าย่อมราคาแพง
เงินช่วยเหลือของหลิงเหอน้อยนิดนัก เจียงวั่งเองก็ไม่มีเงินออมอะไร แต่ดีที่ยังมีบุคคลผู้ไม่ขาดเงินอยู่คนหนึ่ง
เจียงวั่งอุ้มเจียงอันอันตรงมาหาเจ้าหรู่เฉิง
“ขอเงินให้ข้าสักหน่อย” เจียงวั่งไม่อ้อมค้อม
เจ้าหรู่เฉิงกำลังจ้องตากับเจียงอันอัน ได้ยินดังนั้นก็ถามอย่างสบายๆ ว่า “จะเอาเท่าไร”
“จะซื้อเรือนพักเล็กๆ แถวสำนักเต๋าต้องใช้เงินเท่าไร ข้าอยู่กับน้องข้าแค่สองคน”
“ซื้อเรือนพักอะไรกันเล่า พวกท่านมาอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้แล้ว ที่นี่ข้ามีห้องว่างอยู่เยอะแยะ” เจ้าหรู่เฉิงประเดี๋ยวขยิบตาซ้ายให้เจียงอันอัน ประเดี๋ยวขยิบตาขวาให้อีก บางครั้งก็ยังเผยรอยยิ้มที่ตัวเองคิดเอาเองว่าหล่อเหลาไปให้ แน่นอน ใบหน้าของเขาก็เรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามจริงๆ
เจียงวั่งมองเจียงอันอันแวบหนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “พวกเราต้องมีบ้านของตัวเอง”
ตัวเขาเองอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่อันอันน้อยต่างออกไป เด็กหญิงตัวน้อยเพิ่งถูกส่งตัวมา ไม่ว่าจะแสดงออกว่าแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในใจก็ยังเปราะบางและไวต่อความรู้สึกมาก
“อ้อ” เจ้าหรู่เฉิงลูบคางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตระกูลข้าเหมือนจะมีบ้านใกล้ๆ สำนักเต๋าอยู่สองสามหลัง ท่านรอข้าถามก่อนสักประเดี๋ยว”
เขาหันหน้าไปตะโกน “ท่านอาเติ้ง!”
ครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนท่าทางงุ่มง่ามคนหนึ่งก็เดินเข้ามา โค้งคารวะอย่างเคารพนอบน้อม “คุณชาย”
“พวกเรามีบ้านที่เหมาะๆ ใกล้สำนักเต๋าบ้างหรือไม่ ตระเตรียมเอาไว้สักหลังหนึ่ง แล้วเอาโฉนดบ้านและที่ดินให้พี่สาม”
พ่อบ้านที่ถูกเรียกว่าอาเติ้งตอบกลับว่า “ไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไร ตอนนี้ที่ว่างอยู่มีอยู่สามแห่ง ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการที่ใดขอรับ”
เจ้าหรู่เฉิงมองไปทางเจียงวั่ง “พี่สาม ท่านว่าอย่างไร”
เจียงวั่งยิ้มอ่อนโยนให้พ่อบ้าน “รบกวนท่านอาเติ้งแล้ว บ้านไม่ต้องใหญ่มาก พอให้ข้ากับอันอันอยู่ได้ก็เพียงพอแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือต้องใกล้กับสำนักเต๋า สะดวกให้ข้ากลับมาอยู่กับนางได้ทุกเวลา”
พ่อบ้านยิ้มน้อยๆ “ในตรอกอาชาเหินข้างหลังสำนักเต๋ามีเรือนพักเล็กๆ หลังหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าตรงกับความต้องการของท่านหรือไม่”
“ไป! พวกเราไปดูกันสักหน่อย!” เจ้าหรู่เฉิงพูดขึ้นมาทันที “ท่านเอากุญแจมาให้ข้าก็พอ”
เจียงอันอันแม้จะไม่ชอบพูด และไม่ค่อยสนใจใคร แต่ดวงหน้าเล็กๆ ที่ขาวผ่องนั้นชวนให้คนเอ็นดูได้ตามธรรมชาติ
เจ้าหรู่เฉิงหยอกล้อนางตลอดทาง
“อันอัน เจ้าว่าพี่หรู่เฉิงกับพี่วั่งของเจ้าใครหล่อเหลากว่ากัน เอ๊ะ ข้าถามคำถามที่ไม่ควรถามเสียแล้ว เปรียบเทียบกันได้ที่ไหน”
“อันอัน อันอัน เห็นถังหูลู่ที่อยู่ตรงนั้นหรือไม่ มาให้ข้าอุ้ม แล้วพวกเราไปซื้อมาทั้งหมดนั่นเลย! ดีหรือไม่”
“อันอัน เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าหนักมาก ดูเจ้าอ้วนเสียสิ มือพี่ชายเจ้าใกล้ถูกทับจนหักแล้ว! ยังไม่มาให้พี่หรู่เฉิงของเจ้าอุ้มอีกหรือ”
อันอันน้อยเงียบนิ่งเมินเฉยโดยตลอด จนกระทั่งได้ยินประโยคนี้ถึงได้เอียงคอมองเจียงวั่ง
“ท่านเหนื่อยหรือไม่” นางถามเสียงเบา
เจียงวั่งหัวเราะอย่างอบอุ่น “ไม่เลยสักนิด ข้าอุ้มได้จนถึงปีหน้าโดยไม่ปล่อยมือเลย”
เรือนพักหลังเล็กในตรอกอาชาเหินไม่เลวเลย มีห้องหลักห้องหนึ่ง ห้องทางทิศใต้ห้องหนึ่ง และห้องปีกทิศตะวันออกตะวันตกอีกสองห้อง แม้ไม่มีคนอยู่ แต่ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน แค่ซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันอีกไม่กี่อย่างก็เข้าอยู่อาศัยได้เลย
การตบแต่งในห้องก็เรียบง่ายสะดวกสบายนัก
เจียงวั่งจูงมืออันอันน้อยเดินดูทุกห้อง เพื่อให้มั่นใจว่านางไม่แสดงอาการต่อต้านออกมา
“ดี เช่นนั้นก็เอาที่นี่แหละ” เจียงวั่งยิ้มอย่างสดใสให้เจ้าหรู่เฉิงที่คุยจ้อกับอันอันไม่หยุด “เอากุญแจมาให้ข้า เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ได้เลย!” เจ้าหรู่เฉิงหมุนตัวเตรียมจากไปอย่างรู้งาน ตอนก้าวข้ามประตูก็พลันหันกลับมาโบกไม้โบกมือให้อันอัน “พี่หรู่เฉิงของเจ้าไปแล้วนะ อย่าคิดถึงข้าจนมากเกินไปเล่า”
อันอันน้อยวิ่งดุกดิกเข้าไป ท่ามกลางรอยยิ้มสดใสเจิดจ้าของเจ้าหรู่เฉิง…นางปิดประตูเรือนใส่หน้าเสียเต็มแรง
ยามค่ำคืน เมืองเฟิงหลินที่จ้อกแจ้กจอแจมาตลอดทั้งวันเงียบสงบ
ไส้เดือนดินตัวน้อยในจุดผ่านสวรรค์กระโดดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคายรากพลังเต๋าเม็ดกลมเกลี้ยงไว้ในแผนผังจักรวาลดารา
เจียงวั่งลืมตาขึ้น สิ้นสุดการฝึกฝนทะลวงชีพจรของวันนี้ การเก็บสะสมรากพลังเต๋าแต่ละเม็ด ทุกวันทุกคืน ทำสำเร็จทีละเล็กทีละน้อย ความพยายามทั้งหมดจะไม่สูญเปล่าแน่ สุดท้ายพวกมันจะกลายเป็นแผนผังรากฐาน เปิดเส้นทางสู่การก้าวข้ามมนุษย์สามัญ
เพราะการฝึกบำเพ็ญที่น่าเบื่อหน่ายทุกคืนวันแบบนี้เอง ถึงได้ยอดเยี่ยมเกรียงไกรไปทั่วแดนเซียนในวันข้างหน้า
ในห้องเงียบมาก เจียงอันอันนอนนิ่งอยู่บนเตียงของตัวเอง มือน้อยๆ วางไว้นอกผ้าห่มอย่างเรียบร้อย
เนื่องจากอันอันยังเล็กอยู่มาก เจียงวั่งจึงสั่งทำเตียงเล็กๆ มาเตียงหนึ่งโดยเฉพาะ ให้นางนอนกับตนเองในห้องเดียวกัน หนึ่งเตียงเล็กหนึ่งเตียงใหญ่แยกกันตั้งอยู่ตรงข้ามกันภายในห้อง
ขณะฟังเสียงลมหายใจของอันอันน้อยอย่างเงียบๆ เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “อันอัน ยังไม่หลับอีกหรือ”
เสียงค่อนข้างลนลานของเด็กหญิงตัวน้อยดังขึ้นในห้องทันที “หละ…หลับแล้ว”
ความตื่นตระหนกของเจียงอันอันทำให้เจียงวั่งเจ็บปวดหัวใจ เด็กอายุน้อยแค่นี้ก็รู้จักดูสีหน้าคนเสียแล้ว แค่เพราะก่อนที่จะทะลวงชีพจรเขากำชับไว้ว่านางต้องนอนเร็วหน่อย พอตอนนี้ยังไม่หลับนางก็ตื่นตระหนกกระวนกระวายแล้ว
เด็กผู้หญิงอายุไม่ถึงห้าขวบคนหนึ่ง จู่ๆ ก็มายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย จู่ๆ ก็ต้องพรากจากมารดา ไม่ร้องไห้งอแงนับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว ในใจของนางจะตื่นกลัวปานใดกัน
แต่เรื่องนี้ย่อมไม่ควรเอ่ยถึงอีก
“อืม พี่ชายนอนไม่หลับ” เสียงของเจียงวั่งอ่อนโยนลงอีก “เจ้าอยากดูดาวหรือไม่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในห้องก็มีเสียงตอบรับ ‘อืม’ ที่เบาเหมือนยุงดังขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ลุกขึ้นมาเถอะ” เจียงวั่งลุกขึ้นจุดตะเกียง จากนั้นก็เดินมาข้างหน้าเตียงเล็กๆ และช่วยอันอันใส่เสื้อคลุม
มือคู่นั้นที่กวัดแกว่งกระบี่ได้คล่องแคล่ว ยามดูแลเด็กกลับเงอะงะเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ได้ใส่แบบนี้ พี่ชายท่านใส่กลับด้านแล้ว…”
เจียงวั่งชักมือกลับอย่างเคอะเขิน “เช่นนั้นอันอันใส่เองเถอะ”
ทั้งสองคนวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งถึงจะเดินออกจากห้อง
เวลานี้จันทร์กระจ่างลอยเด่น แสงดาวระยิบระยับ แสงจันทร์สะอาดบริสุทธิ์สาดส่องลงมาเติมเต็มพื้นที่เรือนหลังเล็กๆ ที่ว่างโล่ง ทำให้ค่ำคืนที่เดิมทีควรจะเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้างอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมา
“ดูดาวในลานบ้านหรือ” เจียงอันอันเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” เจียงวั่งพลันอุ้มนางเอาไว้ จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
เจียงอันอันส่งเสียงร้องออกมา ตอนลงมาบนหลังคาใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำไปหมด
เจียงวั่งก้มมองนาง กล่าวอย่างรู้สึกผิดนิดๆ “ทำอันอันตกใจแล้วหรือ”
เจียงอันอันกะพริบดวงตากลมโต ไม่นึกว่าจะมีความตื่นเต้นอยู่รางๆ “พี่ชาย ท่านบินได้หรือ”
แม้นางเหมือนอยากลองทำอีก แต่เจียงวั่งไม่อยากกระโดดไปมาบนหลังคาเหมือนลิง ชวนให้คนอื่นหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่ได้ รอวันข้างหน้าพี่ชายสำเร็จวิชาเต๋าแล้ว จะต้องทำได้แน่นอน ถึงตอนนั้นอันอันอยากไปไหน พวกเราก็บินไปดีหรือไม่”
“ดี”
เจียงวั่งถอดเสื้อคลุมปูลงบนหลังคา จากนั้นตัวเองก็นอนแหงนหน้าอยู่ด้านข้าง เอามือข้างหนึ่งหนุนไว้ที่หัว เอ่ยเรียกว่า “มา มานอนดูดาวเหมือนพี่ชาย”
อันอันน้อยนอนลงบนเสื้อคลุมตัวนอกของเจียงวั่งอย่างเชื่อฟัง เอามือเล็กๆ หนุนหัวอย่างจริงจัง ดวงตาดำขลับคู่นั้นเบิกกว้างจ้องมองท้องฟ้า
ผืนฟ้าราตรีกว้างใหญ่มีดวงดาวกะพริบระยิบระยับ เกิดเป็นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนในความมืดอันไร้ขอบเขต แม่น้ำดาราไพศาลเก็บรวมความฝันและความทรงจำเอาไว้มากมาย
“นั่นคือดาวจื่อเวย นั่นเรียกว่าดาวอวี้เหิง…กลุ่มดาวใต้อยู่ทางนั้น นี่ ตรงนั้น…”
“พวกมันกะพริบวิบวับ เหมือนกำลังกะพริบตาเลย”
“มีแค่อันอันที่น่ารักของพวกเรากะพริบตาเท่านั้นถึงจะเหมือนดาว อย่างพี่เหยี่ยหู่เจ้าคนตัวโตหนวดเคราครึ้มที่เจ้าเห็นเมื่อตอนเช้านั่น เขากะพริบตาก็เหมือนได้แค่กระดิ่งผูกคอวัวเท่านั้น”
เจียงอันอันหัวเราะคิกคักขึ้นมา
“เจ้ารู้หรือไม่อันอัน ดาวพวกนี้อยู่ห่างออกไปหลายร้อยล้านลี้…”
“ร้อยล้านลี้ไกลขนาดไหน ไกลกว่าตำบลเฟิ่งซีมาถึงนี่หรือไม่”
“ไกลกว่ากันเยอะ ไกลจนประมาณระยะไม่ได้ หากมีถนนเส้นหนึ่งมุ่งตรงไปสู่ดวงดาวได้ คนธรรมดาคนหนึ่งนับจากเกิดจนตาย อยู่บนถนนเส้นนี้อาจจะนับได้ว่าเพิ่งออกเดินทางเท่านั้น”
“เอ๋?” อันอันตกใจเล็กน้อย “ไกลขนาดนั้นเชียว”
“ใช่แล้ว ไกลขนาดนั้นเลย พวกมันส่งแสงข้ามผ่านระยะทางที่ไกลถึงเพียงนั้นมาจากความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ส่องสว่างมาถึงตรงหน้าเจ้า ส่งความงดงามที่บางทีอาจจะดับสูญไปแล้วหลายหมื่นปีของมันมามอบให้กับเจ้า”
“พวกมันดีจังเลย”
“ท่านพ่อก็คือดาวแบบนั้น บางทีเขาอาจจะจากไปนานมากแล้ว แต่เขาก็ยังคงส่องแสงอย่างแข็งขันจากที่ไกลโพ้น อาศัยประกายแสงนี้เคียงข้างพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม เจ้าไม่ต้องกลัวรู้ไหม พี่ชายจะอยู่เคียงข้างเจ้าไปตลอดชั่วนิรันดร์ ดวงดาวก็เช่นกัน”
“พี่ชาย” เสียงของเจียงอันอันแผ่วเบามาก “แม่ข้าไม่ต้องการข้าแล้วใช่หรือไม่”
เจียงวั่งนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
เขาจะพูดความจริง บอกอันอันน้อยว่านางเป็นตัวถ่วงและส่งผลกระทบต่อชีวิตมารดาของนางอย่างนั้นหรือ
จะเล่าความเห็นแก่ตัวของน้าซ่ง ให้อันอันเกลียดมารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเองนับจากนี้ไปหรือ
เขาควรจะตอบอย่างไรดี
เขาไม่มีเวลาให้ขบคิดนานนัก เพราะความเงียบงันก็คือการทำร้ายกันอย่างหนึ่ง
สุดท้ายเขาทำเพียงแค่เอียงตัวมา กุมมือน้อยๆ ของอันอันเอาไว้อย่างอ่อนโยนและจริงจัง
“อันอันน่ารักขนาดนี้ จะมีใครไม่ต้องการได้อย่างไร พี่ชายอยากจะอยู่กับเจ้ามากๆ ถึงได้ให้ท่านน้าส่งตัวเจ้ามา ตอนที่ท่านน้าไปนางร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก นางอาลัยอาวรณ์เจ้านัก”
“จริงหรือ”
แสงจันทร์ประกายดาวฉายอยู่บนใบหน้าเล็กๆ ของเจียงอันอัน และลบเลือนคราบน้ำตาที่ยังไม่จางหายไป นางงดงามเหมือนภูตแห่งดวงดาราและดวงจันทร์
แม้บนใบหน้าจะยังมีความหวาดกลัวที่ยังไม่จางหาย แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายขึ้นมาทันที
………………………………………………………