เมื่อตาเหลือบไปเห็นน้ำชาที่ไม่พร่องลงเลยบนโต๊ะ เจียงวั่งจึงทักขึ้นว่า “พวกท่านกินข้าวกันหรือยัง เดี๋ยวข้าจะไปจองโต๊ะให้ที่โรงเตี๊ยม”
“อ๊ะ ข้าไปจองให้” ตู้เหยี่ยหู่เหมือนได้รับนิรโทษกรรม “โรงเตี๊ยมในเมืองเฟิงหลินข้าคุ้นเคยหมดทุกที่!”
น้าซ่งนั่งลง โบกไม้โบกมือให้ “ไม่ต้องรีบร้อน น้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
เจียงวั่งมองเจียงอันอันที่แอบมองสำรวจเขาพลางยิ้มตอบอย่างอบอุ่น ปากก็เอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรเชิญท่านน้าว่ามาได้”
น้าซ่งลูบศีรษะของเจียงอันอัน “เจ้าไปเดินเล่นกับพี่ชายสองคนนี้ก่อนดีหรือไม่ ไปเดินดูสถานที่ที่พี่ชายเจ้าใช้ชีวิตฝึกบำเพ็ญเสียหน่อย”
ตู้เหยี่ยหู่รีบกางสองแขนออกทันที แย้มยิ้มจนใบหน้าใหญ่ยับย่นราวดอกเบญจมาศเหี่ยวๆ “มา พี่หู่จะพาเจ้าไปซื้อของกิน!”
หลิงเหอเองก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้ตัว “ท่านโปรดวางใจ พวกเรากับเจียงวั่งมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นยิ่ง จะดูแลอันอันอย่างดีแน่นอน”
อันอันน้อยก็รู้ความนัก แม้จะเป็นเด็กน้อยขี้อายที่ขลาดกลัว แต่พอน้าซ่งเอ่ยปาก นางก็เดินตรงไปทางหลิงเหออย่างเหนียมอาย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร หลิงเหอที่หน้าตาดียิ้มอ่อนโยนก็น่าเข้าหากว่าตู้เหยี่ยหู่ที่มีหนวดเคราดกเต็มหน้าอีกทั้งฉีกยิ้มน่ากลัวเกินจริงอยู่หลายขุม
หลิงเหอจูงมือเจียงอันอันเดินออกไปอย่างพึงพอใจ ส่วนตู้เหยี่ยหู่จ้องเขม็งที่เจียงวั่งก่อนจะเดินออกไป สายตากำลังถามอย่างชัดเจนว่า..น้องสาวของเจ้าหมายความว่าอะไรกัน
จนกระทั่งกลุ่มคนเดินออกไปแล้ว เจียงวั่งถึงจะเก็บรอยยิ้ม มองไปยังน้าซ่งพลางกล่าว “ช่วงนี้ตำบลเฟิ่งซียังสงบสุขดีหรือไม่ กิจการที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่นัก เพียงแต่ว่า…” น้าซ่งรู้สึกกระดากอยู่บ้าง
เจียงวั่งฟังอย่างอดทน “มีเรื่องอะไรท่านโปรดบอกมาเถิด”
“นับตั้งแต่บิดาเจ้าจากไป กิจการร้านค้าก็แย่ลงทุกวัน พวกเราสองแม่ลูกใกล้จะไปกันไม่รอดเร็วๆ นี้แล้ว…” ขณะพูด น้าซ่งก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
ร้านค้าที่ทางตระกูลเหลืออยู่ทำกิจการขายสมุนไพร แม้ขนาดจะไม่ใหญ่โต แต่ก็สร้างลู่ทางมาหลายปีแล้ว ทั้งตำบลเฟิ่งซีล้วนบอกกันปากต่อปาก ตอนที่ตระกูลตกอับครั้งนั้นแทบจะต้องขายทรัพย์สินทั้งหมด เหลือไว้เพียงร้านขายสมุนไพรร้านนี้เพราะตั้งอยู่มานาน เมื่อมีร้านนี้อยู่ ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าร่ำรวยมีกินมีใช้ แต่ก็นับไม่ได้ว่าอดอยาก
ต้องเป็นคนมีพรสวรรค์เช่นไรกันแน่ ถึงทำให้กิจการร้านสมุนไพรที่เป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทรายแย่ลงทุกวันในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีเช่นนี้ได้
เขารู้ว่าในเรื่องนี้ต้องมีปัญหาอยู่ แต่เจียงวั่งพูดได้เพียงว่า “มีเรื่องไหนที่ข้าช่วยได้บ้างหรือไม่ ท่านน้า”
เขาคิดดูในใจ ถ้าหากต้องการเงินทองไม่มาก เขาก็สามารถรวบรวมบางส่วนได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจียงอันอันก็เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา แม้จะเห็นแก่ประโยชน์ของเจียงอันอันเท่านั้น เขาก็ยังหวังให้ชีวิตของพวกนางดีขึ้นอีกหน่อย
“น้ารู้ว่าเสี่ยววั่งพยายามอย่างหนัก หลังจากนี้ต้องมีอนาคตที่ดีแน่ แต่น้า…” น้าซ่งซับน้ำตา “น้าก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีที่พึ่งพิงอะไร แบกรับต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
นางเงยหน้ามองเจียงวั่งทั้งน้ำตา “จากนี้ขอส่งอันอันให้เจ้าดูแลต่อได้หรือไม่”
ความอบอุ่นสุดท้ายในดวงตาของเจียงวั่งสลายหายไป
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง ผู้หญิงคนนี้กระทั่งลูกสาวแท้ๆ ของตนเองก็จะไม่เอาไว้แล้ว
เจียงวั่งพยักหน้าช้าๆ เอ่ยตอบว่า “ดูท่าท่านน้าจะมีรักใหม่แล้ว?”
น้าซ่งหลุบตาลงเล็กน้อย จนถึงเวลานี้ ตอนที่อยู่เบื้องหน้าลูกชายคนโตของสามีผู้ล่วงลับ จู่ๆ ความรู้สึกละอายใจของนางก็เจาะทะลวงส่วนลึกที่สุดของจิตใจออกมาช้าๆ
“งานมงคลกับงานอวมงคลเป็นเรื่องปกติของคนเราอยู่แล้ว” เจียงวั่งไม่ได้พูดอะไรรุนแรงนัก “แล้วอันอันรู้หรือไม่ว่านับจากนี้จะต้องอยู่กับข้า”
“นางไม่รู้หรอก น้าแค่คิดแล้วมาลองถามความเห็นเจ้าดูก่อน เจ้าเองก็รู้ นางขี้ขลาดหวาดกลัวผู้คนมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้น้าพานางไปด้วย นางก็ใช้ชีวิตไม่มีสุขนัก…” ถึงแม้น้าซ่งกำลังอธิบาย แต่น้ำเสียงแผ่วเบาลงทุกที
“ข้ารู้แล้ว” เจียงวั่งตัดบทนาง “เช่นนั้นจะให้ข้าบอกนาง หรือว่าท่านจะไปพูดกับนางเอง”
“เจ้าไปพูดกับนางเถิด…” น้าซ่งกล่าว “น้า…จะไปแล้ว รถม้ากำลังรอน้าอยู่ที่นอกเมือง”
เจียงวั่งนิ่งไปพักหนึ่ง “ดีเหมือนกัน เช่นนั้นข้าไม่ส่งแล้ว”
“น้าจะคอยส่งเงินมาให้พวกเจ้าทุกเดือน”
“ไม่ต้องหรอก แค่อันอันข้าพอเลี้ยงไหว ท่านน้า…ดูแลตัวเองด้วย”
“เฮ้อ เจ้ากับอันอันอยู่ด้วยกันดีๆ ล่ะ” น้าซ่งพูดพลางลุกขึ้นมา
นางเดินไปด้านนอกสองก้าว จู่ๆ ก็หยุดลงแล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจียงวั่งทั้งน้ำตา “อันอันไม่ชอบกินฟักเขียว ชอบกินมะเขือยาว และชอบกินของหวานมากที่สุด…แต่อย่าให้นางกินเยอะนัก
ตอนนอนนางชอบถีบผ้าห่ม…นาง…นางยังเล็กไม่รู้ความ เจ้าเป็นพี่ชายก็ดูแลนางให้มากๆ”
“ท่านน้า” เจียงวั่งเดิมทีไม่อยากพูดอะไรอีก แต่พอเห็นท่าทีเช่นนี้ของน้าซ่ง ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ไม่รู้ว่าท่านยังจำได้หรือไม่ ตอนแรกบิดาข้ายังพออยู่ได้อีกสองปี แต่เขาไม่ยอมรักษาตัว อยากจะเหลือทรัพย์สินของบ้านไว้ให้ข้า ให้ท่านดูแลน้องสาวที่อายุยังน้อยของข้าให้ดี…”
น้าซ่งพูดไม่ออก เบือนหน้าหนีแล้วจากไป
เจียงวั่งนั่งลงอย่างเหม่อลอย ผ่านไปนานสองนานจึงค่อยรินน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว
หลายปีมานี้เขาเอาแต่แสวงหามรรคาอยู่ด้านนอก ถึงจะยากลำบากเพียงไหน ก็ไม่เคยคิดหยิบยืมเงินของทางบ้านแม้แต่น้อย เพราะคิดถึงบิดาที่นอนป่วยอยู่บนเตียง น้าซ่งกับอันอันก็มีชีวิตที่ไม่สบายนัก อีกทั้งเขาคิดไปถึงว่าหากบิดาจากไปก่อนเวลา ก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพวกนาง แล้วเขาจะไปขอเงินของที่บ้านได้อย่างไร
แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทผู้สืบทอดที่ไร้ข้อกังขามากที่สุดของทรัพย์สินเหล่านั้นก็ตาม
ข้างหูราวกับได้ยินเสียงสนทนาเมื่อครั้งนั้นดังขึ้น
‘เสี่ยววั่ง เจ้าโตแล้ว เจ้าดูแลตัวเองได้ใช่ไหม’
‘ขอรับ ท่านพ่อ’
ร่างสมัยยังอ่อนวัยเหมือนปรากฏขึ้นอีกครั้งในเวลานี้ ข้ามผ่านช่วงเวลาหลายปีมารวมอยู่ด้วยกัน
“ข้าดูแลอันอันได้” เจียงวั่งเอ่ยขึ้นเสียงเบา
……
หลิงเหอกับตู้เหยี่ยหู่พาเจียงอันอันไปเดินเล่นสักพักก็กลับมา
“เอ๋ ท่านอาล่ะ” ตู้เหยี่ยหู่ถามขึ้นโดยไม่ได้คิดก่อน
หลิงเหอดึงตัวอันอันไว้แน่นตามจิตใต้สำนึก แต่นางดึงมือเล็กๆ ข้างนั้นออกไปอย่างดื้อรั้นแล้ว
เจียงวั่งมองไป เด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่ห้าขวบดียืนนิ่งอยู่เช่นนั้น กำลังขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ดวงตาโตสีดำขลับคู่นั้นไม่กะพริบ
นางยืนอยู่ระหว่างหลิงเหอกับตู้เหยี่ยหู่ทั้งสองคน แต่ราวกับอยู่ในมุมหนึ่งบนโลกอันกว้างใหญ่อย่างโดดเดี่ยว
นางไม่ร้องไห้ ไม่อาละวาด
เจียงวั่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปหา คุกเข่าลงก่อนดึงร่างเล็กเข้ามาสวมกอดไว้ และดึงนางกลับมาจากมุมที่โดดเดี่ยวบนโลก ดึงกลับมาอยู่ในโลกมนุษย์ที่สดใสมีชีวิตชีวา
“อันอัน จากนี้ก็อยู่กับพี่ชายแล้ว พี่ชายจะเล่นกับเจ้าบ่อยๆ เหมือนพวกเราสมัยก่อน ไม่รู้ว่าเจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นเจ้ายังเล็กมากเลยนี่นะ…”
“ใช่ๆๆ หลังจากนี้พี่หู่ก็จะเล่นกับเจ้าบ่อยๆ เหมือนกัน!” ตู้เหยี่ยหู่ก็รีบร้อนเข้ามาปลอบด้วย
อันอันน้อยมองเขาผาดหนึ่ง จากนั้นเบือนใบหน้าไร้อารมณ์กลับ ก่อนเอาศีรษะเล็กๆ ซุกลงบนบ่าของเจียงวั่งเบาๆ
“เอาละ” เจียงวั่งอุ้มอันอันลุกขึ้นยืน “หลังจากนี้อันอันก็ใช้ชีวิตกับข้า อยู่ในห้องพักคงไม่สะดวกนัก ข้าต้องหาที่อยู่ใหม่สักที่หนึ่ง จากนั้นพวกเราค่อยมากินข้าวด้วยกัน”
“ควรจองที่พักให้เรียบร้อยเสียก่อน” หลิงเหอล้วงก้อนเงินปลีกสองก้อนออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนจะยัดเข้าไปในมือของเจียงวั่งอย่างไม่ยอมให้อธิบายอะไร “เงินส่วนนี้เจ้าเอาไปเสีย”
หลังจากเข้าสำนักสายใน ชีวิตของหลิงเหอไม่ได้ข้นแค้นเพียงนั้นแล้ว สำนักเต๋าจ่ายเงินให้ทุกเดือน แต่ว่าเศษเงินสองก้อนนี้ก็เป็นทรัพย์สินทั้งหมดของเขาแล้ว
“อ๊ะ จริงด้วย” ตู้เหยี่ยหู่เหมือนได้รับการชี้แนะ เริ่มลูบๆ คลำๆ ทั่วตัวทันที สุดท้ายก็ล้วงเหรียญมีดออกมาได้เพียงสี่เหรียญ และยัดใส่ในมือของเจียงวั่งอย่างขัดเขิน “เงินเดือนนี้ข้าเอาไปดื่มหมดแล้ว”
จากนั้นก็เอ่ยสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ “เดือนหน้า เดือนหน้าข้าจะไม่ดื่มแล้ว จะเอาเงินมาซื้อชุดใหม่ให้อันอัน!”
เจียงวั่งก็ไม่เกรงใจ รับเงินเหล่านี้มายัดใส่ในกระเป๋า แล้วจึงอุ้มอันอันเดินออกประตูไป
ตอนที่พวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว ตู้เหยี่ยหู่ยังคงพิงประตูยืนมอง “อันอันน้อยน่ารักเหลือเกิน! เฮ้อ เหล่าหลิง ท่านว่าทำไมข้าถึงไม่มีน้องสาวสักคน”
“เหล่าหลิง?” ตู้เหยี่ยหู่หันหน้าไปมอง พบว่าหลิงเหอขึ้นไปนั่งบนเตียงของตัวเองแล้ว
‘น้องสาวที่มีหนวดเคราเฟิ้มจะน่ากลัวขนาดไหนกัน’ หลิงเหอคิดอยู่ในใจ
“เหมือนกับน้องสามเลยนะ เจ้าพวกคลั่งฝึกตน” ตู้เหยี่ยหู่พึมพำ เดินไปริมหน้าต่าง ก่อนจะยกน้ำชาที่เจียงวั่งรินไว้แก้วนั้นมาดื่มจนหมดในรวดเดียว
“ถุยๆๆ” ตู้เหยี่ยหู่ถุยออกมาหลายที “ชานี่ทำไมขมนัก”
“ขมให้ตายไปเลยก็ดี” หลิงเหอเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ
……………………………………….