บทที่ 19 ไข่มุกน้อยหล่นกระทบถาดหยก

ท่องภพสยบหล้า

ถ้าหากถามว่าหอคณิกาไหนในเมืองเฟิงหลินน่าเย้ายวนใจที่สุด ผู้มักมากทางนี้ล้วนมีคำตอบเดียวให้กับเจ้า…หอสามจรุง

ไม่ใช่หอคณิกาที่มีเพียงสาวงามไม่กี่แบบ ทว่าสาวงามทุกแบบทั่วหล้า หอสามจรุงครอบครองเอาไว้แล้วหนึ่งในสาม

แม้จะเป็นเพียงแค่หอสาขาก็ตาม

ตั้งแต่วันที่ถูกสร้างขึ้นมา ก็ยึดตลาดหอคณิกาทั่วไปในเมืองเฟิงหลินไปจนหมดสิ้น

ปัจจุบันเหล่าคุณชายในเมืองเฟิงหลินยังมีความสุขกันได้ ล้วนต้องขอบคุณหอสามจรุงที่ยกระดับมาตรฐานกิจการของเหล่านกน้อยในเขตเมืองเฟิงหลินขึ้นมา เทียบเท่าได้กับการยกระดับมาตรฐานการสั่งสอนอบรมในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินของยอดฝีมือระดับห้าเช่นต่งเออทีเดียว แน่นอนว่าคำพูดนี้เจ้าหรู่เฉิงแอบพูดเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

เถ้าแก่ใหญ่หอสามจรุงในตอนนี้คือหญิงสาวที่ชื่อว่าเมี่ยวอวี้

มีคนมากมายเฝ้าฝันทั้งวันทั้งคืนถึงห้องของนาง อยากจะคลานมาเกาะชายกระโปรงของนางแทบทนไม่ไหว ทว่าผู้โชคดีที่จะได้หอมสักครั้งมีอยู่น้อยถึงน้อยมาก

บนเตียงแขวนที่ประดับประดางดงามหรูหรา ชายวัยกลางคนร่างเปลือยเปล่าคนหนึ่งมีสีหน้าร้อนรุ่ม ใต้ร่างชัดเจนว่ามีแต่เครื่องนอน

เก้าอี้นอนตัวหนึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามเตียงแขวน มีเพียงม่านไข่มุกกั้นไว้ เมี่ยวอวี้ใช้มือยันคาง เอนนอนอย่างเกียจคร้าน สัดส่วนโค้งเว้าวิจิตรยิ่ง สายตาของนางพร่าเลือน ไม่รู้ว่าชายกลางคนที่กำลัง ‘สนุกกับตัวเอง’ อยู่ในสายตาของนางหรือไม่

คนชุดดำคนหนึ่งก้มหมอบอยู่ตรงหน้าเก้าอี้นอน กำลังรายงานอย่างนอบน้อม

“หรือก็คือ คนที่ชื่อเจียงวั่งคนนั้นเข้าใจเคล็ดกระบี่ที่ยอดเยี่ยมชุดหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้ต่อหน้าใครเลยอย่างนั้นหรือ”

เสียงของนางยานคาง เหมือนกับแมวน้อยที่เพิ่งตื่นนอน มีความยั่วยวนใจคนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

คนชุดดำยังหมอบอยู่ ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้น “เป็นเช่นนั้นจริง ข้าน้อยไร้ความสามารถ ตรวจสอบไม่พบจริงๆ ว่าเขาไปเรียนรู้มาจากที่ใด”

เมี่ยวอวี้เหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะกระดิกนิ้ว “ลงไปเถอะ”

คนชุดดำเมื่อได้ยินก็ก้มหน้าผากติดพื้น นิ้วนางกับนิ้วก้อยรวบชิด นิ้วโป้งนิ้วชี้และนิ้วกลางทำเป็นสามเหลี่ยมวางไว้ที่ตำแหน่งหัวใจ พลางสวดเบาๆ ว่า “ก้นแม่น้ำลืมเลือน เหวลึกแห่งปรโลก เทวะคืนสู่โลกา ส่องสว่างโลกมนุษย์”

จากนั้นทั้งร่างก็จมหายลงไปใต้พื้นเช่นนั้น

“เคล็ดกระบี่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสำนักเต๋าเมืองเฟิงเฉิงหรือ สืบทอดมาจากยอดยุทธ์จอมกระบี่ใต้หล้าคนไหนกัน หรือว่า…” สายตาของเมี่ยวอวี้เหม่อลอย “ผู้สืบทอดมรรคา…”

นางยิ่งคิดมากขึ้น ไกลมากขึ้น และเลื่อนลอยมากขึ้น

“ก้นแม่น้ำลืมเลือน เหวลึกแห่งปรโลก เทวะคืนสู่โลกา ส่องสว่างโลกมนุษย์”

นางทำท่ามือแบบเดียวกัน ท่องแผ่วเบาเหมือนกัน

ส่วนชายวัยกลางคนร่างเปลือยบนเตียงแขวนยังคงบิดตัวไปมากับตัวเอง อยู่ในจินตนาการอันสวยสด ราวกับว่าสามารถจมดิ่งอยู่ในนั้นได้ตลอดกาล

……

เวลานี้ ไกลออกไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของรัฐยง ชายหัวล้านหน้าตาเหี้ยมเกรียมคนหนึ่งกำลังจับอะไรบางอย่างกระชากกัดกิน เลือดสดอาบเต็มปากและมือ

เขาเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ ก็มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหา

น่าเสียดายที่ไม่ใช่กระบี่บินขจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรมอะไรแบบนั้น

ชายหัวล้านยื่นมือคว้าไว้โดยพลัน และเปลี่ยนลำแสงสายนั้นให้กลายเป็นกระบี่ยาวโบราณเล่มหนึ่งในมือ

“สมควรตาย! ข้าต้องกินหัวใจเจ้าให้ได้สักวัน!” พอถูกรบกวนเวลากิน ชายหัวล้านโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าคนคร่ำครึ ยุคไหนแล้วยังใช้กระบี่บินส่งจดหมายอยู่อีก!” เขาพูดไปด่าไปพลางใช้มือที่ชุ่มไปด้วยเลือดเปิดจดหมายบนกระบี่บินออก

ตอนนี้กล่องส่งข่าวพันลี้ของสำนักโม่ออกมาหลายปีแล้ว ทั้งที่ขายดิบขายดี แต่ก็ยังมีบางขั้วอำนาจไม่ยอมใช้ เพราะใครก็ยืนยันไม่ได้ว่าคนสำนักโม่ที่สร้างกลไกพวกนั้นจะแอบใส่กับดักอะไรไว้ในกล่องส่งข่าวพันลี้หรือไม่

ต่อให้คนสำนักโม่จะลั่นคำสาบานโดยไม่ยี่หระ…แต่ต่อให้สาบานเข้มงวดอีกสักเพียงไหนก็ศึกษาหาวิธีมาแก้ได้หลายสิบวิธีแล้ว สาบานไปจะมีประโยชน์อะไร

“รัฐจวง เขตปกครองชิงเหอ เมืองซานซาน?” เขาเอ่ยขึ้นทีละคำ ก่อนถ่มน้ำลายออกมาอย่างทนไม่ไหว “หลืบมุมไหนกันละนั่น!”

กระบี่ยาวเล่มนั้นส่ายไปมากลางอากาศ ราวกับกำลังเร่งรัดอะไร

ชายหัวล้านยิ่งหงุดหงิดขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าของจดหมายเป็นบุคคลที่ตอนนี้เขาไม่อาจต่อต้านได้

เขาใช้นิ้วเปื้อนเลือดเขียนโย้เย้ลงบนกระดาษจดหมายห้าเส้น เป็นลายเส้นรูปม้าตัวหนึ่ง สื่อถึงว่า ‘จะไปเดี๋ยวนี้’

เมื่อนำจดหมายผูกติดกับตัวกระบี่ กระบี่เล่มนั้นก็พุ่งกลับไปเร็วรี่เหมือนตอนที่เข้ามา

จนกระทั่งกระบี่บินเล่มนั้นลับตาไป ชายหัวล้านถึงเหมือนคิดอะไรออก “พี่ใหญ่น่าจะเข้าใจกระมัง”

เขาคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดความกลัดกลุ้มเล็กๆ นี้ทิ้งไป

“ถ้าแค่นี้ยังไม่เข้าใจ แล้วจะมาเป็นพี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน!”

……

ตอนเดินมาถึงประตูห้องพัก เจียงวั่งได้ยินเสียงพูดคุยลอดออกมาจากด้านใน

หลังจากที่เข้าสำนักใน เขากับหลิงเหอและตู้เหยี่ยหู่พักอยู่ด้วยกัน สะดวกสำหรับการฝึกซ้อมเสวนาเต๋าได้ทุกเวลา เจ้าหรู่เฉิงนานๆ ครั้งจะแวะเข้ามาพักสักคืน แต่ก็ไม่อยู่นานนัก แม้ห้องจะดีกว่าก่อนหน้านี้อยู่มาก แต่สำหรับเจ้าหรู่เฉิงแล้ว…ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าใด

พอได้ยินเสียงฝีเท้าของเจียงวั่ง หลิงเหอก็รีบเดินออกมา “เจ้ากลับมาได้เสียที คนจากที่บ้านเจ้ารออยู่นานแล้ว!”

คนจากที่บ้าน…

เจียงวั่งใจเต้นกระตุก รีบร้อนเดินเข้าไปในห้อง และบนชุดโต๊ะเก้าอี้ทำจากไม้พะยูงหอมที่ตั้งอยู่ติดหน้าต่างนั้น เขามองเห็นหญิงสาววัยออกเรือนที่ยังดูสง่างามคนหนึ่ง…โต๊ะเก้าอี้ชุดนี้ แน่นอนว่าเป็นของที่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าหรู่เฉิงก็จะให้คนย้ายเข้ามาไว้ให้ได้

ตู้เหยี่ยหู่เก็บไม้เก็บมือนั่งอยู่ข้างๆ กำลังตอบกลับด้วยท่าทางสุภาพซื่อตรง…หญิงสาวถามประโยคหนึ่ง เขาก็ตอบประโยคหนึ่ง เหมือนเด็กดื้อที่เก็บซ่อนความซุกซนต่อหน้าบิดามารดาของเพื่อน

เพียงแต่ว่า ‘เด็ก’ คนนี้หนวดเคราขึ้นรกครึ้ม เติบโตเร็วไปหน่อย พอเทียบกันแล้วดูค่อนข้างแก่กว่าหญิงสาวที่ดูแลตัวเองอย่างดีคนนั้นเสียอีก

ครั้นเห็นเจียงวั่งเข้ามา หญิงสาวลุกขึ้นอย่างรีบร้อน ในดวงตามีประกายแห่งความยินดี “เสี่ยววั่ง ไม่เจอกันเสียนานเลย! เจ้าสูงขึ้นแล้ว ตัวใหญ่ขึ้นด้วย!”

เจียงวั่งพยักหน้าทักทาย “สวัสดีท่านน้าซ่ง”

มารดาแท้ๆ ของเขาเสียไปนานมากแล้ว หญิงสาวคนนี้คือแม่เลี้ยงของเขา เขาเปลี่ยนคำเรียกไม่ได้ จึงเรียกท่านน้ามาโดยตลอด

น้าคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร และก็ไม่เคยทำร้ายเขา เพียงแต่หลังจากที่บิดาแต่งงานใหม่ไปไม่กี่ปี เขาก็สอบเข้ามาเป็นศิษย์สำนักสายนอก ฝึกฝนอย่างยากลำบาก นอกจากมีงานเทศกาลก็แทบไม่ได้กลับบ้านเลย พวกเขาไม่เคยมีความบาดหมางกัน แต่ในด้านความรู้สึกก็บอกไม่ได้ว่าลึกซึ้งเพียงใด

น้าซ่งทักทายพลางดึงเด็กหญิงตัวน้อยที่หลบอยู่ด้านหลังออกมาด้านหน้า “รีบทักทายเร็ว!”

นางเป็นเด็กหญิงขี้อายคนหนึ่ง พอโดนมารดาเร่งจึงอ้าปากเล็กๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ชาย”

อาภรณ์ผ้าไหมบนตัวน้าซ่งสดใสสวยงาม แต้มสีสันสามสีอย่างเป็นธรรมชาติ ชุดที่เด็กน้อยใส่ก็ไม่ต่างกัน แต่เครื่องหน้าทั้งห้าที่ละเอียดอ่อนของนางงามโดดเด่นโดยกำเนิด ชวนให้คนต้องอุทานชื่นชม

น่าเสียดายที่พอเอ่ยขึ้นมาครั้งหนึ่ง นางก็รีบอ้อมกลับไปด้านหลังของมารดาอีกครั้ง ทำแค่ยื่นศีรษะเล็กๆ ออกมาครึ่งเดียว เพื่อพินิจมองพี่ชายที่นางไม่ได้เจอหน้ามานานคนนี้

เขาเอ็นดูน้องสาวคนนี้อย่างแน่นอน เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เรื่องนี้ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพียงแต่เขามีใจมุ่งฝึกตน ทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะรีบร้อนไปกลับ ห่างจากเสียงเรียกว่า ‘พี่ชาย’ นี้นานแล้ว

เสียงนี้แม้จะเบาและเล็ก แต่ก็ราวกับไข่มุกน้อยหล่นกระทบถาดหยก กังวานรื่นหูอย่างบอกไม่ถูก

แม้ผ่านการฆ่าสังหารมาเสียนาน เห็นเลือดและเรื่องดำมืดจนเป็นเรื่องปกติ จิตใจที่กระด้างเย็นชาไปแล้วของเจียงวั่งจู่ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนหลอมละลายขึ้นมา

ตั้งแต่กลับมาจากตำบลถังเส่อ เจียงวั่งเพิ่งเผยรอยยิ้มจริงใจอย่างที่หาได้ยากยิ่ง “อันอัน!”

……………………………………….