บทที่ 18 เจอภูเขาสูงอีกครั้ง ปีนเขาสูงอีกครั้ง

ท่องภพสยบหล้า

ทั้งร่างของมารหน้าขาวแยกเป็นสองท่อนจากกลางตัว แต่เพราะแขนขวาถูกฟันขาดไปแล้ว ซากร่างสองท่อนนี้จึงไม่สมดุลเท่าไร

เจียงวั่งลอยต่ำลงมาตรงหน้าซากศพ ครั้นมือคลายออก กระบี่ยาวเล่มนั้นก็แตกกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนร่วงลงสู่พื้นดิน

หน้าที่ของมันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

กระบี่ยาวที่เป็นเพียงวัสดุธรรมดาเล่มนี้ทนการถ่ายโอนรากพลังเต๋าเป็นเวลานานแบบนี้ไม่ได้

เจียงวั่งสัมผัสความว่างเปล่าในจุดผ่านสวรรค์ได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง เจ้าตัวเล็กที่น่ารักร่าเริงพวกนั้นไม่เหลือสักเม็ดแล้ว

ก่อนที่หมอกเทาไร้เจ้าของพวกนั้นจะแผ่ขยายออกไป เจียงวั่งก็กลับมายังถนนทางหลวงแล้ว เขาสังเกตเห็นว่ามีหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งลอยหนีไปข้างถนน แต่ถูกพลังที่ไร้รูปร่างบางอย่างค่อยๆ กำจัดไป

เจียงวั่งรู้ นั่นน่าจะเป็นพลังของอักขระตราเวทบางอย่างที่สลักไว้บนถนนทางหลวง

รออีกสักครู่หนึ่ง เสียงอัสนีเลื่อนลั่นก็ดังเข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ จางหลินชวนกระโดดไม่กี่ทีก็มาถึงข้างกายเขา

“ศิษย์น้องเจียงคงไม่ได้ไปจากที่นี่กระมัง” เขาถามขึ้น

แม้จะผ่านการต่อสู้มา แต่เสื้อผ้าของเขายังสะอาดหมดจด กระทั่งว่าแม้แต่ผมก็ยังคงอยู่ทรงเรียบร้อย ทุกอิริยาบถสง่างาม

“ข้าเจอ…มารตนนั้นที่พบในตำบลถังเส่อ”

“เจ้าฟันเลือดมันไหล มันต้องมาเอาคืนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ทำได้แค่หนีไปจากรัฐจวง”

“ข้าสังหารมันไปแล้ว”

จางหลินชวนเลิกคิ้ว “อะไรนะ”

เจียงวั่งชี้ไปทางที่มารหน้าขาวถูกสังหาร “ไม่รู้ว่าซากร่างมีประโยชน์หรือไม่ จะหาเบาะแสอะไรได้ไหม”

จางหลินชวนตั้งสติกลับมาจากความตกตะลึง ก่อนจะส่ายหน้า “คนพวกนี้ดวงจิตและวิญญาณไม่สมบูรณ์ สืบค้นวิญญาณตอนยังมีชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากตายไปแล้วเลย สองสามคนที่ข้าฆ่าไปเมื่อครู่ก็เช่นกัน”

“แบบนี้นี่เอง” เจียงวั่งไม่ได้ผิดหวังอะไร สำหรับเขา แค่ฆ่ามารหน้าขาวนั่นได้ก็เพียงพอแล้ว

เขาไม่ได้กล่าวโทษจางหลินชวนที่เลือกโจมตีศัตรูในทันที แต่ไม่อยู่ปกป้องเขาตรงนั้น เขาไม่ใช่คนอ่อนแอที่ต้องการการปกป้องอะไร จางหลินชวนยิ่งไม่ใช่พี่เลี้ยงของเขาด้วย

นอกจากนั้น หากไม่ใช่เพราะแรงกดดันของจางหลินชวน มารหน้าขาวคงไม่มีทางหมดใจจะสู้แล้วเลือกหนีไปเป็นอย่างแรก และสหายของมันก็ไม่มีทางเปิดโอกาสให้เจียงวั่งได้สู้ตัวต่อตัวแน่นอน

จางหลินชวนมองจุดที่หมอกเทาสลายไปแวบหนึ่ง ทอดถอนใจเล็กน้อย “อักขระตราเวทของถนนทางหลวงสายนี้ถูกกัดกร่อนแล้ว ต้องแจ้งทางการให้พวกเขาส่งคนมาซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด”

ม้าสองตัวนั้นไม่ได้ตกใจหนีไปแต่อย่างใด เมื่อเจียงวั่งสะบัดเชือก ม้าก็ออกวิ่งอย่างเต็มกำลัง

ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่า ตรงจุดที่เกินหยั่งถึงสักแห่งในจุดผ่านสวรรค์ จู่ๆ ก็มีรากพลังเต๋าเม็ดหนึ่งไหลกลิ้งมา เม็ดแล้วเม็ดเล่า มากถึงห้าเม็ดติดกัน อีกทั้งยังอิ่มเอิบชุ่มชื้นยิ่งกว่าเดิม

แม้จะไม่ได้ชดเชยส่วนที่เสียไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายแล้ว

ยามนี้เขาถึงจะเข้าใจบทเรียนที่นักพรตมากประสบการณ์บรรยายไว้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

รากพลังเต๋า ขั้นแรกของมหามรรคา การเกิดขึ้นของรากพลังเต๋าไม่ใช่การยกระดับเลือดลมธรรมดา แต่เป็นการผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบของจิตและพลัง เป็นการตอบสนองต่อต้นกำเนิดฟ้าดินอย่างจริงแท้ที่สุดของวิญญาณสรรพสิ่ง

……

ตอนกลับมาที่สำนักเต๋ายังไม่เย็นมาก คนทั้งสองจึงไปรายงานภารกิจยังที่พักของต่งเออเลย

ประตูเปิดอยู่ แต่ในเขตที่พักว่างโล่ง มีเพียงฟางเฮ่อหลิงเดินเนิบนาบอยู่คนเดียว ท่าทางเบื่อหน่าย

ครั้นปรายตาเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามามือเปล่า ดวงตาของเขาก็พลันเป็นประกาย

ฟางเฮ่อหลิงทักทายจางหลินชวนก่อนอย่างสงบเสงี่ยม แล้วจึงเอ่ยคล้ายปลอบโยนว่า “ท่าทางครั้งนี้ศิษย์พี่จางจะไม่ได้อะไรกลับมา…ต่อให้เป็นอัจฉริยะอย่างศิษย์พี่จาง แต่พามือใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลยไปด้วยก็ลำบากเกินไปหน่อยจริงๆ”

เขาย่อมไม่คิดว่าตัวเองเป็นมือใหม่อยู่แล้ว ตระกูลฟางเป็นตระกูลเก่าแก่ สร้างผู้บำเพ็ญมาไม่น้อย เขาได้เห็นได้ฟังมามาก จึงคุ้นเคยกับการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญ ทว่าเจียงวั่งมาจากตำบลเล็กๆ จะไปเคยรู้เห็นอะไรได้

เจียงวั่งขี้เกียจจะสนใจเขา

จางหลินชวนกลับหยอกล้ออย่างสบายใจ “อ้อ? ท่าทางครั้งนี้เฮ่อหลิงจะได้อะไรกลับมาไม่น้อย”

“ก็นับว่าราบรื่นดีกระมัง” ฟางเฮ่อหลิงอดทนถ่อมตนได้ประโยคหนึ่ง ก็เอ่ยโอ้อวดอย่างอดรนทนไม่ได้

ที่แท้ตอนพวกเขาไปสืบเบาะแสที่โรงเตี๊ยมสุขมาเยือน ก็มีคนแอบสะกดรอยตามเช่นกัน ทว่าหลีเจี้ยนชิวลงมือทันควัน จับคนคนนั้นมาได้ การสืบเรื่องที่แต่เดิมไม่ค่อยมีความหวังจึงมีแนวทางทันทีเพราะพยานคนนี้!

แน่นอนว่าครั้งนี้ฟางเฮ่อหลิงมีประโยชน์สักกี่ส่วน นั่นก็พูดได้ยากยิ่งนัก

“ศิษย์น้องหลีไปไหนเสียเล่า” จางหลินชวนถาม

ฟางเฮ่อหลิงชะงักอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วตอบว่า “อยู่ในห้องขอรับ อาจารย์ต่งกำลังใช้เคล็ดวิชาลับสืบค้นวิญญาณ”

ต่งเออสืบค้นวิญญาณ หลีเจี้ยนชิวคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ส่วนฟางเฮ่อหลิงไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะดูอยู่ข้างๆ…คุณงามความดีของเขาในครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนแล้ว

จางหลินชวนและเจียงวั่งไม่สะดวกไปรบกวน ทำได้เพียงรออยู่ในลานที่พักด้วยกันกับฟางเฮ่อหลิง

เจียงวั่งไม่พูดจา หลับตาส่งรากพลังเต๋าในจุดผ่านสวรรค์ไปยังตำแหน่งที่มันควรจะลอยอยู่ ส่วนจางหลินชวนพยายามหาเรื่องคุยกับฟางเฮ่อหลิง

ฟางเฮ่อหลิงย่อมได้ใจ ในเมื่อก่อนหน้านี้ต่งเออบอกว่าแต้มเต๋าภารกิจจะแบ่งกันหนึ่งต่อเก้า ชัดเจนว่าเจียงวั่งไม่ได้อะไรกลับมา แต่ฝั่งพวกเขาเอาพยานกลับมาได้ นี่เป็นก้าวแรกของการเพิ่มระยะห่างระหว่างกัน

ไม่นานนัก ต่งเออในชุดนักพรตสีดำทั้งตัวก็นำหลีเจี้ยนชิวเดินก้าวๆ ออกมา

เมื่อเจอสายตาคาดหวังของฟางเฮ่อหลิง หลีเจี้ยนชิวส่ายหน้า

ต่งเออพูดขึ้นว่า “คนคนนี้ดวงจิตและวิญญาณไม่สมบูรณ์ ข้าทำได้เพียงค้นภาพเหตุการณ์กระจัดกระจายบางส่วน ไม่มีความสำคัญอะไร”

ฟางเฮ่อหลิงชิงกล่าวความเห็น “ป้องกันได้รอบคอบแบบนี้ เบื้องหลังคนพวกนี้จะต้องมีกลุ่มลับอยู่แน่! เรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!”

ต่งเออไม่พูดอะไร ทำแค่มองจางหลินชวนเท่านั้น

จางหลินชวนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากไปตำบลถังเส่อให้ฟังรอบหนึ่ง ไม่ใส่สีตีไข่แม้แต่น้อย สำหรับรายละเอียดการต่อสู้ทั้งสองครั้งระหว่างเจียงวั่งกับมารหน้าขาว ต่งเออจะไม่ถาม และเจียงวั่งก็ไม่จำเป็นต้องเล่า

เขาเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่นักโทษ ไม่จำเป็นต้องถูกสอบสวน

ต่งเออได้ยินก็ทำแค่พยักหน้าและพูดว่า “เจียงวั่งไม่เลวเลย”

คำพูดนี้ฟังแล้วดูเย็นชา แต่สำหรับคนที่เข้าใจนิสัยของต่งเอออย่างดี นี่เป็นการชมเชยที่หาได้ยากยิ่ง

ภารกิจครั้งนี้ ทั้งสองกลุ่มที่จางหลินชวนและหลีเจี้ยนชิวเป็นผู้นำล้วนได้เบาะแสใหม่มา แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ย่อมไม่อาจนับว่าภารกิจสำเร็จ แต่ต่งเออก็ยังให้แต้มเต๋าพวกเขาคนละห้าแต้มเป็นรางวัลชมเชย

สำหรับจางหลินชวนและหลีเจี้ยนชิว เดิมทีพวกเขาก็แค่นำศิษย์น้องที่เพิ่งจะได้ทำภารกิจเข้าขั้นเท่านั้น ได้ผลกำไรยิ่งดี แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นศิษย์พี่ของพวกเขาก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน

ส่วนเจียงวั่งและหลีเจี้ยนชิว แต้มเต๋าห้าแต้มนับว่าไม่น้อยแล้ว เทียบเท่ากับการทำภารกิจระดับเก้าที่ต่ำที่สุดสำเร็จครึ่งหนึ่ง

แต้มของภารกิจระดับเก้าอยู่ระหว่างสิบแต้มถึงหนึ่งร้อยแต้ม ภารกิจระดับแปดอยู่ที่หนึ่งร้อยถึงห้าร้อยแต้ม ดูตามระดับความยากของภารกิจ

ต่งเออทำอะไรรวดเร็วเด็ดขาด หลังจากตัดสินให้ภารกิจนี้สิ้นสุดลงชั่วคราว ก็สั่งให้ลูกศิษย์แยกย้ายกันไป

หลังจากจบเรื่อง ฟางเฮ่อหลิงคะยั้นคะยอจางหลินชวนกับหลีเจี้ยนชิวให้ไปดื่มด้วยกัน เจียงวั่งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจไปดูที่ตำหนักแต้มเต๋าเสียหน่อย

……

ตำหนักแต้มเต๋าอยู่ตรงข้ามกับวิหารสักการะ จุดนี้จะเห็นได้ถึงความสำคัญของมัน

ทั้งตำหนักว่างโล่งไม่มีวัตถุอื่น มีเพียงกระดานแต้มเต๋าที่ทอแสงสลัวๆ ลอยอยู่บนโต๊ะบูชา

ที่นี่ไม่มีคนเฝ้า เพราะกระดานแต้มเต๋ามีพลังปกป้องตัวเอง ตัวมันเป็นของวิเศษอยู่แล้ว หรือพูดให้ถูกต้องก็คือกระดานที่ตั้งอยู่ในตำหนักแต้มเต๋าของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินนี้ เป็นกระดานรองของกระดานแผ่นหลักภายในสำนักเต๋าประจำรัฐซึ่งได้รับการสักการะจากคนทั่วทั้งรัฐ

เจียงวั่งตั้งใจมาสักครั้งก็เพื่อเปิดหูเปิดตาเท่านั้น

ตรงหน้ากระดานแต้มเต๋ามีนักพรตชุดผ้าป่านสูงปานกลางคนหนึ่งยืนอยู่ มือทั้งสองประสานอยู่ข้างหน้า กำลังมองกระดานอย่างใจลอย

มองจากข้างหลังเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่หากเป็นคนสำนักสายในที่เจียงวั่งไม่คุ้นหน้า พลังล้วนสูงกว่าเขา เพราะว่าเป็นศิษย์พี่ทั้งนั้น

เจียงวั่งไม่เข้าไปรบกวน แต่เดินไปยังกระดานแต้มเต๋า ตั้งสมาธิจับจ้องกระดาน เมื่อแสงจ้าแผ่ระลอกเล็กน้อย ข้อมูลมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในใจ

นี่เป็นแค่กระดานรองแผ่นหนึ่งเท่านั้น และก็ดูได้เพียงข้อมูลเกี่ยวกับสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ว่ากันว่ากระดานแต้มเต๋าหลักมีทุกอย่างครบครัน แต่สำหรับเจียงวั่งแล้วสิ่งนั้นยังอยู่ห่างไกลนัก

ตัวเลือกการแลกเปลี่ยนบนกระดานรองสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไม่นับว่าน้อย มากพอจะทำให้เจียงวั่งตาลายได้ แต่ราคาของการแลกเปลี่ยนเหล่านั้นทำให้เขาอยากจะหันหลังจากไป

ลูกกลอนเปิดชีพจรที่ถูกที่สุดเม็ดหนึ่งใช้แต้มเต๋าหนึ่งร้อยแต้ม ราคาของมันแน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้ เพียงแต่พวกเขามีฐานะเป็นลูกศิษย์สำนักเต๋า ทางสำนักจึงสนับสนุนในระดับหนึ่ง ส่วนการแลกเปลี่ยนลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดที่สองต้องใช้หนึ่งพันห้าร้อยแต้มเต๋า นี่ต่างหากถึงจะเป็นราคาที่แท้จริงของลูกกลอนเปิดชีพจร

นอกจากนั้น กระบี่เวทได้มาตรฐานที่ถูกที่สุดเล่มหนึ่งก็เริ่มต้นที่ห้าร้อยแต้มเต๋า!

เจียงวั่งมองแต้มเต๋าห้าแต้มของตัวเอง…อืม เขามาครั้งนี้ก็เพื่อเปิดหูเปิดตาเท่านั้นจริงๆ

กระดานแต้มเต๋าที่ว่า ในเมื่อเป็นกระดานอันดับรายชื่อ เช่นนั้นก็ย่อมมีอันดับรายชื่ออยู่ เวลานี้เจียงวั่งเพิ่งจะพบว่าจางหลินชวนที่ลึกล้ำเกินหยั่งในสายตาเขาอยู่เพียงอันดับที่สามบนกระดานแต้มเต๋ารองของเมืองเฟิงหลิน

คนที่อยู่อันดับสองชื่อเว่ยเหยี่ยน คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเต๋า แต่เป็นทหารในกองทัพประจำเมือง ดูจากชื่อของเขา ไม่แน่ว่าอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรกับเว่ยชวี่จี๋ก็เป็นได้

ส่วนจู้เหวยหว่อที่มีคะแนนหนึ่งพันสามร้อยแต้มเป็นอันดับหนึ่ง ก็คือศิษย์พี่ใหญ่ที่ทั้งสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินต่างยอมรับ ตลอดมาลึกลับเช่นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง เจียงวั่งแค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบเจอเช่นกัน

ต้องรู้ไว้ว่าเว่ยเหยี่ยนที่อยู่อันดับสองมีแต้มเต๋าเพียงเจ็ดร้อย ห่างจากจางหลินชวนไม่มาก ทว่ากลับถูกจู้เหวยหว่อทิ้งห่างไปไกล

เจียงวั่งมองไล่ลงมา ครั้นเห็นชื่อของหลีเจี้ยนชิวที่อันดับที่สิบเจ็ด ก็ตัดการเชื่อมต่อกับกระดานแต้มเต๋า

“เป็นศิษย์น้องที่เข้าสำนักมาใหม่หรือ”

ศิษย์พี่คนก่อนหน้านี้เหมือนจงใจรอเขา

เจียงวั่งได้ยินก็หันหน้าไป และได้เห็นใบหน้าแย้มยิ้มอ่อนโยน

“คารวะศิษย์พี่ ข้าน้อยเจียงวั่ง เพิ่งเข้าสำนักสายในมาได้ไม่นาน”

“เจ้าสบายดีใช่ไหม ข้าชื่อหวางฉางเสียง” หวางฉางเสียงหน้าตาไม่โดดเด่น แต่รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้เขาดูเป็นมิตรยิ่งนัก “เช่นนั้น ไว้พบกันใหม่ครั้งหน้า”

“แล้วพบกัน” เจียงวั่งใจกระตุกวูบหนึ่ง ในกระดานแต้มเต๋าที่ดูเมื่อครู่ คนคนนี้อยู่อันดับที่เจ็ด อยู่เหนือหลีเจี้ยนชิวไปไกล

แน่นอนว่าคะแนนที่กระดานแต้มเต๋ารวบรวมมีแค่แต้มเต๋าเท่านั้น ไม่ใช่พลังแท้จริงของตัวบุคคล แต่กล่าวจากในอีกความหมายหนึ่ง มันก็สะท้อนให้เห็นเรื่องบางอย่างได้

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่สำนักสายนอก พวกเขาพี่น้องบุญธรรมทั้งหลายพูดได้ว่ายอดเยี่ยมโดดเด่น ไร้เทียมทาน แต่เมื่อเข้าสายในแล้วถึงได้รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

คนที่ได้พบเจอในตอนนี้อย่างหลีเจี้ยนชิว จางหลินชวน และหวางฉางเสียง บุคลิกรัศมีล้วนต่างกันไป แต่ว่าเป็นอัจฉริยะเยี่ยมยุทธ์กันทั้งสิ้น เจียงวั่งรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย

ลำพังแค่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินก็มีคนมากความสามารถปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย หากมองทั้งเขตปกครองชิงเหอไปจนกระทั่งทั้งรัฐจวงเล่า

แล้วอัจฉริยะฟ้าประทานที่ชื่อก้องทั่วหล้า ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั่วทุกแว่นแคว้นต้องแหงนหน้ามองเหล่านั้น จะสง่างามถึงเพียงใด!

คิดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจียงวั่งท้อแท้ กลับทำให้จิตใจมุ่งต่อสู้อันไม่ที่สิ้นสุดของเขาลุกโชน

อย่างน้อยตอนนี้ เขาก็ก้าวสู่วิถีเหนือมนุษย์แล้ว เมื่ออยู่บนสนามแข่งขันเดียวกับคนที่เจิดจ้าพร่างพรายเหล่านั้น เช่นนั้นยังมีอะไรที่ต้องกลัวเกรงอีกเล่า

………………………………………………………