ตอนที่ 112 การวางอำนาจของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ (2)
รุ่นพี่เฉินเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าของสมาคม แต่ตอนนี้รับภารกิจอยู่ข้างนอก นานๆ ทีจะกลับมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่ได้รับตำแหน่งประธานสมาคม
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ม่านตาของโจวเหยียนก็หดลงเล็กน้อย กัดฟันว่า “ฉันจะไปแจ้งคณบดีให้เขามาช่วยคุมสถานการณ์!”
นึกไม่ถึงว่าหลู่เฟิ่งโหรวที่อยู่ขั้นหกจะมาด้วย!
โจวเหยียนเจองานหินเข้าให้แล้ว แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งแลกเปลี่ยนความรู้กัน จำเป็นต้องแห่มาดูด้วยหรือไง?
หากคนพวกนี้ไม่ทำตามกฎ สมาคมคงควบคุมไม่ไหวแน่
แหกกฎแล้ว ถึงจะกู้สถานการณ์ได้ทีหลัง นั่นยังหมายความว่าสมาคมทำเรื่องขายหน้าอยู่ดี
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์สามารถทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นสมาคมที่มีอำนาจที่สุดในหมู่นักศึกษา หากไม่ทำขายหน้าคนอื่นจะดีที่สุด
อย่าพูดถึงโจวเหยียนที่กุมหัวเตรียมจะไปหาคณบดีสาขายุทโธปกรณ์มาช่วยคุมสถานการณ์เลย
แต่อาจารย์หลายคนที่มาตอนแรกต่างก็ขมวดคิ้วเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมาด้วย
หลู่เฟิ่งโหรวมาด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน เสื้อผ้าหน้าผมไม่เรียบร้อย ด้านหลังยังมีจ้าวเสวี่ยเหมยเดินตามมา
หลู่เฟิ่งโหรวเดินเข้ามาหาพวกเขา เอ่ยพลางหาวหวอด “แจ้งคณบดีทำไมกัน? ฉันไม่ได้จะมาก่อเรื่องสักหน่อย แค่ลูกศิษย์ขั้นหนึ่งคนเดียว ตายก็ตายสิ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ พวกจางกั๋วหรูก็ไม่กล้าแทรกแซงหรอก หากสอดมือยุ่งฉันจะจัดการพวกเขาเอง วางใจเถอะ”
อาจารย์สกุลจางคนนั้นมุมปากกระตุก กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะว่า “วางใจเถอะ ยัยหนูสกุลโจว อู่อู๋ตี๋นพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว! การแลกเปลี่ยนความรู้ต้องทำตามกฎ ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้นอยู่แล้ว อย่าบอกเลยว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า แต่ต่อให้เป็นขั้นหกขั้นเจ็ดใครจะกล้าแหกกฎของมหาวิทยาลัย? จางกั๋วหรู คุณกล้ารึเปล่า?”
จางกั๋วหรูขมวดคิ้วว่า “หลู่เฟิ่งโหรว…”
“หื้ม?”
“อาจารย์หลู่…” จางกั๋วหรูถูกเธอจ้องจนหนังหัวชาหนึบ จำต้องเอ่ยว่า “พวกเราเคารพกฎเกณฑ์อยู่แล้ว ฉันบอกไปแล้วด้วยว่าแค่มาดู ไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง!”
“งั้นก็ดี…”
ก่อนหลู่เฟิ่งโหรวจะขมวดคิ้วว่า “ฟางผิงล่ะ?”
“ยังไม่มาค่ะ”
โจวเหยียนส่ายหัว ในเมื่อหลู่เฟิ่งโหรวพูดถึงขนาดนี้ ตอนแรกเธอยังคิดจะโทรหาคณบดี พอมาตรึกตรอกคงไม่เป็นไรแล้ว
แม้หลู่เฟิ่งโหรวจะทำเรื่องบ้าๆ ในบางครั้ง แต่เธอแทบจะไม่พูดโกหกเลย
เธอบอกว่าจะไม่แทรกแซง ก็ไม่แทรกแซง
หากพวกจางกั๋วหรูกล้าสอดมือ ถูกเธอหาข้ออ้างมาบั่นคอคงไม่ใช่เรื่องแปลก เดาว่าพวกเขาไม่กล้าเช่นเดียวกัน
“เจ้าหมอนี้…”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัว ไม่พูดอะไรอีก สาวเท้าไปยังสนามประลอง
คนอื่นๆ ต่างทยอยตามไป หยางเสี่ยวม่านที่ตอนแรกเตรียมจะกลับไป ตอนนี้เห็นจ้าวเสวี่ยเหมยมาด้วย จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
ความจริงจ้าวเสวี่ยเหมยก็มึนงงอยู่บ้าง เอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างฟางผิงกับพวกปีสูงไง? ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอาจารย์ต้องมาด้วย แถมมีอาจารย์คนอื่นอีก”
“เกือบลืมเรื่องนี้เลย!”
หยางเสี่ยวม่านเขกหัวตัวเอง ตอนแรกเธอยังจำเรื่องนี้ได้แม่น แต่ช่วงนี้ฟางผิงทำตัวลับๆ ล่อๆ แทบไม่โผล่มาให้เห็นหน้า ทุกคนเอาแต่พูดถึงจ้าวเหล่ยและพวกหยางเสี่ยวม่าน เธอจึงลืมซะสนิท
ตอนนี้พอนึกขึ้นได้ หยางเสี่ยวม่ายอดเอ่ยไม่ได้ “ทำไมถึงรู้สึกว่าบรรยากาศมันทะแม่งๆ?”
นอกจากอาจารย์จะแห่กันมา ปฏิกิริยาของทางสมาคมก็ยังแปลกๆ ด้วย
โจวเหยียนที่ปกติเป็นมิตร มาวันนี้กลับเอ่ยเตือนพวกอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามา แทบจะฉีกหน้าอีกฝ่าย
จากที่หยางเสี่ยวม่านมีโอกาสคลุกคลีกับโจวเหยียน เธอคิดว่ารุ่นพี่คนนี้ใจเย็นไม่ใช่น้อย
มีแค่ตอนปะทะกับรองประธานฉินเฟิ่งชิงที่ค่อนข้างรับมือยากเท่านั้น กับคนอื่นๆ เธอก็ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเป็นอาจารย์ ยังให้ความเคารพอย่างมาก
ฉากในวันนี้ ไม่คล้ายท่าทีดั่งวันปกติสักนิด
จ้าวเสวี่ยเหมยจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน เอ่ยว่า “ไม่รู้ ดูกันไปก่อนเถอะ”
หยางเสี่ยวม่านพยักหน้า ไม่พูดถึงเรื่องกลับบ้านอีก
—
รอพวกเขาไปที่สนามประลองแล้ว ฟางผิงเพิ่งจะเดินเอ้อละเหยตามมา
รอเขามาถึงสมาคมแล้ว ก็เห็นตึกใหญ่ของสมาคมโล่งว่างเปล่า เอ่ยอย่างปวดหัวอยู่บ้าง “คนไปไหนหมด?”
“ไม่ใช่นัดประลองหรอกเหรอ?”
“นัดก็บอกสถานที่ให้ชัดเจนหน่อย ฉันต้องไปที่ไหนเนี่ย?”
“บอกแค่ว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ สมาคมใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีคนอยู่สักคน?”
“…”
ฟางผิงทำหน้าจนใจ หาอยู่นานก่อนจะเจอสมาชิกในสมาคมคนหนึ่ง ถามสถานที่ชัดเจนแล้ว จึงรีบตามไปสนามประลองแห่งที่หนึ่ง
—
เจ็ดแปดนาทีต่อมา
ในที่สุดฟางผิงก็หาเจอ
สนามประลองแห่งที่หนึ่งค่อนข้างกว้างขวาง รอบทิศรายล้อมด้วยที่นั่งของผู้ชม ตรงกลางเป็นเวทีประลอง
ฟางผิงมาถึงก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ
คนทั้งหมดจับจ้องมาที่เขา ทำให้ฟางผิงกดดันอยู่บ้าง ขำแห้งว่า “ขอโทษทีมาสายซะแล้ว หาที่ไม่เจอ ไม่มีใครรอรับฉันสักคน”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ไม่พูดอะไร
โจวเหยียนหมดคำจะพูดอยู่บ้าง ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ดูแลสมาคม ตอนนี้จำต้องลุกขึ้นมา ถามว่า “ฟางผิง ตามกฎแล้วฉันจะถามก่อนว่า การแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้นายเต็มใจใช่หรือไม่?”
“อืม”
“คู่ต่อสู้ที่นายต้องประลองมีสี่คน ขั้นหนึ่งตอนปลายทั้งหมด นายมั่นใจนะว่าไม่มีคนบังคับ ข่มขู่ รวมถึงใช้วิธีบีบคั้นนาย?”
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย “ถ้าผมบอกว่ามี ต้องทำยังไงล่ะ?”
โจวเหยียนยังไม่ทันพูดอะไร ในหมู่ผู้คนมีคนพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฟางผิง นายเป็นคนรับปากการประลองตั้งแต่แรกเอง! มีคนบังคับนายเหรอไง?”
“หุบปาก!”
โจวเหยียนตะโกนด้วยเสียงเยียบเย็น “ฉันถามฟางผิงอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่พวกนายจะพูด ถ้ายังพร่ำเรื่องไร้สาระอีก ก็ไสหัวออกไป!”
แม้นักศึกษาที่แทรกบทสนทนาจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าจะพูดอะไรตอนนี้ ทำได้แค่สงบปาก
ตำหนิคนนั้นแล้ว โจวเหยียนค่อยเอ่ยว่า “ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ไม่ได้ห้ามการแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ได้ห้ามการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย! แต่ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมทั้งคู่! หากมีฝ่ายใดไม่ยินยอม คงไม่อาจจัดการประลองได้! ขอแค่มีคนบีบบังคับ สามารถยื่นเรื่องกับสมาคมได้ พวกเราจะออกหน้าจัดการ มหาวิทยาลัยทำทุกอย่างอย่างเที่ยงตรงโปร่งใสอยู่แล้ว! หากมีคนร้องเรียนเรื่องสกปรกไร้กฎเกณฑ์ พวกเราจะจัดการให้ นายวางใจเถอะ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีหน้าที่รักษาความเรียบร้อย แม้จะเป็นอาจารย์ ก็ไม่มีอำนาจบังคับนักศึกษาให้ทำเรื่องที่ไม่เต็มใจเช่นกัน!”
ฟางผิงลอบชมอยู่บ้าง สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีอำนาจขนาดนี้เชียว?
พูดตามตรง เขาไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้แน่ชัดเท่าไหร่
เห็นบนเวทีมีบางคนตึงเครียดขึ้นมา ฟางผิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีคนบังคับ ผมเต็มใจ”
“งั้นขึ้นประลองได้!”
โจวเหยียนพูดจบ ก็บอกเป็นนัยให้ฟางผิงขึ้นเวที ก่อนจะเอ่ยว่า “ต่างเป็นนักศึกษาเหมือนกัน ถือการแลกเปลี่ยนความรู้เป็นหลัก จำข้อนี้ไว้ให้ดี! แน่นอนว่าหมัดเท้าไม่มีตา เจ็บตัวเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ฟางผิงเป็นเด็กใหม่ ครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับนักศึกษาสี่คน ถือว่าเป็นรองเรื่องลำดับขั้น ตามกฎแล้วสามารถเสนอเงื่อนไขได้ ฟางผิงนายอยากเสนอเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า?”
ฟางผิงพยักหน้าว่า “มี ข้อแรกนักศึกษาปีสูงห้ามใช้อาวุธเย็น ยังไงก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยนความรู้ ผมกลัวพวกรุ่นพี่จะใช้อาวุธไม่ออมมือพลาดทำตัวเองเจ็บได้ ข้อสองผมเป็นนักศึกษาใหม่ ความสามารถยังน้อย ต้องประลองตั้งสี่คน ดังนั้นผมต้องการให้รุ่นพี่ทุกคนชดเชยยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองให้ผมคนละหนึ่งเม็ด เพื่อให้ผมได้ฟื้นฟูปราณ ไม่งั้นผมคงสู้ต่อไม่ไหว ข้อสาม…”
“แค่กๆ!”
โจวเหยียนอดสำลักออกมาไม่ได้ นายยังจะมีเงื่อนไขอีก?
ตัดบทฟางผิงแล้ว โจวเหยียนค่อยมองไปทางพวกหลิวหย่งเหวิน “พวกนายล่ะ?”
หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้ว ผ่านไปพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งสามเม็ดก็ฟื้นฟูได้แล้ว ไม่งั้นถือว่าแล้วไป”
“สี่เม็ด!” ฟางผิงต่อรองทันที
หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้วอีกครั้ง เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ได้ แต่พักระหว่างประลองไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น!”
“ไม่มีปัญหา!”
ฟางผิงตอบอย่างรวดเร็ว นึกไม่ถึงว่าแค่พูดออกไปเล่นๆ จะได้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งมาถึงสี่เม็ด รุ่นพี่พวกนี้มีเงินกันจริงๆ!
—————