ตอนที่ 113 สู้สองตายสอง (1)

กลางเวทีประลอง

ไม่นานผู้ประลองคนแรกก็ขึ้นเวที

ฟางผิงยกมืออยากจะพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่งฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้วเล็กน้อย “ว่ามา!”

“รุ่นพี่ชื่ออะไร?”

“เฉินกั๋วหลงปีสอง สาขายุทโธปกรณ์!”

“ผมแค่สงสัยเท่านั้น เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าเรียนแทบไม่เคยล่วงเกินใคร ทำไมถึงถูกท้าประลอง? แน่นอนว่าผมแค่อยากรู้เหตุผล เลยอยากถามว่า รุ่นพี่เฉินเคยถูกหวังจินหยางจากหนานเจียงอัดมาเหมือนกัน?”

“…”

เฉินกั๋วหลงขมวดคิ้วไม่ตอบอะไร

ฟางผิงเอ่ยต่อ “ถึงจะเคยถูกอัด ผมก็เข้าใจได้ แต่ผมและหวังจินหยางไม่ใช่คนเดียวกัน แม้เขาจะนับว่าเคยชี้แนะศิลปะการต่อสู้ให้ผม แต่คงไม่จำเป็นต้องใช้ผมเป็นเครื่องเซ่นแทนหรอกมั้ง? รุ่นพี่เฉินไม่ได้คิดจะทำให้ผมเจ็บหนักจริงๆ ใช่หรือเปล่า?”

เฉินกั๋วหลงยังคงรักษาความเงียบ

ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “จริงๆ ผมเป็นคนสุภาพเรียบร้อยมาตลอด รู้เรื่องศิลปะการต่อสู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น กระทั่งเรื่องทะเลาะวิวาทยังไม่เคยทำสักครั้ง เป็นนักเรียนที่ว่านอนสอนง่าย ถ้าพวกรุ่นพี่อยากจะอัดผมระบายโทสะ ผมยอมอยู่แล้ว แต่ไม่เล็งที่หน้าได้ไหม? อีกอย่างอย่าลงมือหนักกับผมเกินไป ผมกลัวจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่ไหว”

เฉินกั๋วหลงขมวดคิ้ว ผู้ชมล่างเวทีต่างไม่พอใจเช่นกัน หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างรำคาญอยู่บ้าง “จะสู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ยอมแพ้ซะ พูดพล่ามอะไรเยอะแยะ!”

ฟางผิงไม่มีท่าทีหงุดหงิดอะไร หัวเราะว่า “งั้นผมยอมแพ้ตอนนี้ได้หรือเปล่า?”

“หื้ม?”

เฉินกั๋วหลงเพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมา เอ่ยด้วยแววตาดุดัน “นายจะยอมแพ้?”

“แน่นอน นายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย ผมเพิ่งจะทะลวงด่าน ตอนนี้ยาบำรุงก็ได้มาแล้ว ยอมแพ้คงไม่เป็นไรสินะ?”

โจวเหยียนที่อยู่ล่างเวทีขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ยอมแพ้ได้ แต่นายคิดให้ดี การประลองยังไม่เริ่มกลับกลัวไปก่อนแล้ว นี่ไม่เป็นผลดีกับเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์”

“ช่วยไม่ได้ พวกเขาเป็นรุ่นพี่ ผมเป็นเด็กใหม่ ทั้งไม่รู้ว่าพวกเขาจะหาข้ออ้างมาฆ่าผมหรือเปล่า ยอมแพ้คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”

หลิวหย่งเหวินที่อยู่ด้านล่างสูดลมหายใจลึก “ฟางผิง ตกลงนายอยากพูดอะไรกันแน่!”

“นี่คงเป็นรุ่นพี่หลิวสินะ?”

ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงผมก็ไม่ได้จะอะไร แค่อยากถามว่า พวกนายคิดที่จะฆ่าผมหรือเปล่าเท่านั้น? ทุกคนต่างเป็นคนมีเหตุผล หากพวกนายมีความคิดแบบนี้ ควรจะบอกตรงๆ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น…ผมจะได้เตรียมตัวเหมือนกัน…”

หลิวหยางเหวินเอ่ยอย่างเยือกเย็น “บนเวทีประลองคือการแลกเปลี่ยนความรู้ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ไม่มีใครคิดจะฆ่าใครให้ตายหรอก ตอนแรกหวังจินหยางมาที่นี่ ไม่ได้คิดจะฆ่าใครเหมือนกัน แต่บางครั้งก็ไม่อาจออมมือได้ ไม่มีใครโทษใครได้ทั้งนั้น!”

“ผมเข้าใจความหมายของรุ่นพี่หลิวแล้ว”

ฟางผิงพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แบบนี้ผมคงไม่มีอะไรให้หนักใจแล้ว ผมพูดจริงที่ว่าผมเป็นคนสงบเสงี่ยม ตั้งแต่เล็กจนโตแค่ฆ่าไก่ยังกลัวเลย หวังจินหยางเคยบอกกับผมว่า เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ต้องต่อสู้แข่งขัน แข่งขันยังไง? ผมไม่เข้าใจ ผมอยากจะเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างเงียบๆ ช่วงชิงทรัพยากรแค่เล็กน้อยก็พอแล้ว นี่คงเป็นการต่อสู้แข่งขันที่ว่าสินะ? อาจารย์ของผมก็บอกว่าเวลาที่ควรสู้ก็ควรสู้ ต้องปรับเปลี่ยนจิตใจใหม่ ไม่ใช่ทำเหมือนคนใจเสาะ ผมไม่คิดว่าผมเป็นคนใจเสาะ แค่ไม่คุ้นเคยเท่านั้น ผมคิดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมเรียน เป็นนักศึกษาเหมือนกัน คงไม่มีเรื่องขัดแย้งใหญ่โตอะไร หรือจะพูดอีกอย่างว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบพวกรุ่นพี่ พวกนายมีความแค้นกับหวังจินหยาง ไม่ควรเกี่ยวกับผมด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้น่าจะถือว่าพาลโกรธกัน? ผมไม่ได้ไปยั่วโมโหใคร…”

“ฟางผิง พอได้แล้ว!”

ผู้ชมด้านล่างเวทีต่างรำคาญใจอยู่บ้าง เจ้าหมอนี่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่รึเปล่า? พูดพล่ามอะไรเยอะแยะ?

ฟางผิงถอนหายใจ ลอบบ่นในใจว่า ‘ฉันไม่ได้จะพูดพล่าม แค่บอกให้ตัวเองฟังเท่านั้น’

ฉันคนนี้หวงแหนชีวิตเป็นที่สุด!

หวงแหนจนถึงขั้นคิดว่า ถ้าหวงปินจะสร้างปัญหาให้เขา เขาต้องเป็นฝ่ายจัดการอีกฝ่ายก่อน

หวงแหนจนถึงขั้นแม้ฉันจะไม่เคยฆ่าคนมาก่อน ทั้งไม่กล้าฆ่าคน แต่ถ้ามีคนตั้งใจเอาชีวิตตัวเองจริงๆ งั้นฉันต้องต่อต้านอยู่แล้ว

ต่อต้านยังไง?

ฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย อีกฝ่ายคงไม่อาจมาเอาชีวิตเขาได้แล้ว

แต่ทุกคนต่างเป็นนักศึกษา เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน ทั้งไม่ได้มีความแค้นอะไรอีกด้วย อยู่ดีๆ ต้องมาฆ่าแกงกัน มันคุ้มหรือไง?

ฟางผิงไม่รู้ว่าคุ้มหรือเปล่า แต่เขารับรู้ได้ว่าในสายตาคนอื่น ความเป็นความตายช่างเป็นเรื่องง่ายดาย

ต่อสู้ด้วยปณิธานก็ดี เพราะพาลโกรธก็ช่าง ในเมื่อฟางผิงมีความสัมพันธ์กับหวังจินหยาง แต่เมื่อไม่สามารถล้างแค้นกับหวังจินหยางได้ งั้นจัดการกับนายแทนแล้วกัน!

เขาไม่รู้ว่าเฉินกั๋วหลงคิดจะฆ่าเขารึเปล่า แต่เรื่องที่หลิวหย่งเหวินอยากล้างแค้นแทนน้องชาย คงเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

หลิวหย่งเหวินไม่ขึ้นเวทีเอง นั่นหมายความว่า คนที่อยู่บนเวทีมาแทนหลิวหย่งเหวิน หรือจะพูดว่าเป็นเพชฌฆาตของหลิวหย่งเหวินนั่นเอง

“เฮ้อ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกนายคิดอะไร ผู้ฝึกยุทธ์บ้าระห่ำกันหมดเหมือนกันหรือไง? ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เปิดฉากเลย ทำเอาซะรู้สึกว่าเหมือนเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลบ้า…”

“พอได้แล้ว!”

เฉินกั๋วหลงที่อยู่ตรงข้ามโมโหอยู่บ้าง “ตอนนี้นายจะยอมแพ้หรือจะสู้ต่อ!”

“ยอมแพ้ พวกนายเห็นว่าผมรังแกง่าย คงจะหาเรื่องต่อ ดังนั้นไม่ยอมแพ้ดีกว่า…”

โจวเหยียนไม่รอเขาพูดจบ เอ่ยทันทีว่า “เริ่มได้!”

‘ฟึ่บ!’

สิ้นเสียง ฟางผิงที่เมื่อครู่ยังพูดพล่ามกลับสาวเท้ามาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว!

แค่เริ่มฟางผิงก็งัดการแทงเท้าที่แข็งแกร่งที่สุดมาใช้เสียแล้ว!

ใช้ขาขวาโจมตีอย่างว่องไว ในบรรยากาศต่างอื้ออึงไปด้วยเสียงหวีดหวิว

เฉินกั๋วหลงหน้าเปลี่ยนสี ยื่นแขนซ้ายบัง กำมัดมือขวา รุกคืบไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะเหวี่ยงหมัดขวาโจมตีที่ลำคอของฟางผิง!

‘ปั่ก!’

ขาขวากระทบกับแขนซ้าย ฟางผิงยังคงเผยสีหน้าเหมือนปกติ เฉินกั๋วหลงกลับสั่นสะท้านทั้งร่าง ใช้แขนซ้ายผลักขาขวาฟางผิงออกไปข้างนอกอย่างแรง

“ไอ้สถุล!”

เฉินกั๋วหลงครางเสียงเบา ปะทะกันท่าแรกแขนซ้ายเขาก็บาดเจ็บแล้ว!

ถึงจะหลอมกระดูกแล้ว แต่ความทนทานของผิวหนังยังคงมีจำกัด

ขาของฟางผิงเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้อง!

ยังไม่ทันมองดีๆ ฟางผิงก็ชักขากลับอย่างรวดเร็ว กำหมัดทั้งสองข้าง ระเบิดพลังขาซ้าย ก่อนจะทะยานตัวขึ้น!

กลางอากาศ ฟางผิงรวมหมัดพุ่งโจมตีเข้าไป!

‘พลั่ก!’

ชั่วพริบตาที่สนับมือปะทะกับแขนขวาของเฉินกั๋วหลง เขาคำรามอย่างโมโห ยืดร่างตรงดิ่ง ใช้แขนขวาป้องหมัดทั้งสองข้างของฟางผิง กำหมัดซ้ายพุ่งโจมตีไปยังหน้าอกอีกฝ่าย!

ร่างครึ่งบนของฟางผิงเอนไปด้านหลังด้วยท่วงท่าแปลกประหลาด ตอนนี้จวงกงระดับสองมาถึงจุดสูงสุดแล้ว…ตุ๊กตาล้มลุก!

ร่างที่เอียงหลบทำให้หมัดของเฉินกั๋วหลงชกกับอากาศ!

เฉินกั๋วหลงเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยอย่างคุ้นชิน ฟางผิงไม่พูดพร่ำทำเพลง เตะไปที่หว่างขาของเฉินกั๋วหลงโดยที่เขายังอยู่สภาพเอนตัวเช่นนั้น

“ระยำ!”

เฉินกั๋วหลงแววตาเต็มไปด้วยโทสะ ถอยหลังอย่างรีบเร่ง

แต่เพราะพลาดจังหวะชิงลงมือ ตอนนี้แขนซ้ายจึงเอียงไปข้างหน้า แขนขวาเพิ่งจะใช้ป้องหมัดฟางผิง ช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่อาจล่าถอยได้ในทันที!

ฟางผิงปากบอกว่าตัวเองอ่อนแอ กลับไม่ออมมือแม้แต่น้อย!

ไม่รอให้เฉินกั๋วหลงถอยออกจากพื้นที่โจมตี เตะขาซ้ายไปยังหว่างขาเขาโดยพลัน

เฉินกั๋วหลงรู้ว่าตัวเองถอยไม่ทันแล้ว จึงคิดจะหุบขาเพื่อหนีบขาของฟางผิงไว้ มือขวากางเป็นกรงเล็บอินทรี เตรียมจะจับขาซ้ายของฟางผิง!

หากขาซ้ายของอีกฝ่ายถูกมือขวาที่ผ่านการหลอมกระดูกมาแล้วของเขาจับไว้ ความตายของฟางผิงคงอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น

ฟางผิงยังคงไม่ส่งเสียงอะไร คล้ายไม่รู้ว่าขาซ้ายของตัวเองยังหลอมไม่เสร็จ ไร้ทางที่จะขัดขืนมือขวาของเฉินกั๋วหลงได้

ตอนที่ขาซ้ายกำลังจะเข้าใกล้หว่างขาของเฉินกั๋วหลง จู่ๆ ขาซ้ายของฟางผิงก็วางลงพื้นอย่างหนักแน่น

อาศัยแรงทะยานตัวขึ้น วาดขาขวาใช้ปลายเท้าจู่โจมไปที่ขมับของเฉินกั๋วหลง!

‘อั่ก!’

เฉินกั๋วหลงเจ็บปวดอย่างมาก คำรามเสียงดังก่อนจะรีบถอยหลัง!

เมื่อครู่เขาเตรียมจะจับขาขวาของฟางผิง แขนทั้งสองข้างจึงโน้มไปด้านล่าง ไม่อาจป้องกันได้ทัน

ตอนที่เขากำลังถอยหลัง ฟางผิงที่ปิดปากเงียบมาตลอด กลับคำรามออกมา

ระเบิดปราณสุดกำลังที่ขาขวา เตะไปยังขมับอีกฝ่ายทันที!

‘ฉึบ!’

เสียงของมีคมแทงทะลุเนื้อนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน

เฉินกั๋วหลงยังคงถอยหลังไปตามแรงที่ส่งมา ฟางผิงกลับชักขากลับไปแล้ว!

จวบจนเฉินกั๋วหลงถอยหลังไปหลายก้าว เสียงเลือดพุ่งกระฉูดค่อยดังตามมา

“ขอโทษที ผมกลัวตายจริงๆ”

ฟางผิงถอยหลังออกมา พึมพำเบาๆ ไม่ได้ลงมืออีก

ตอนนี้เฉินกั๋วหลงที่อยู่ตรงข้าม เบิกตากว้าง ประกายในดวงตาค่อยๆ เลือนหายไป

บนขมับได้รับบาดเจ็บ ปรากฏรอยยุบให้เห็นอย่างชัดเจน

เขาถูกรองเท้าโลหะผสมของฟางผิงเตะเข้าตรงขมับ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำกว่าขั้นสามแทบจะไม่มีทางรอด

“คะ…”

เฉินกั๋วหลงเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดนอกจากเสียงแค่กๆ แล้ว กลับไม่มีคำพูดอะไรออกมาอีก

‘ปัง!’

ร่างของเขาล้มไปด้านหลังกระทบกับพื้นเวทีอย่างแรง ทั่วทั้งสนามประลองเงียบเป็นเป่าสาก

‘ฉันฆ่าคนไปแล้ว…’

ฟางผิงพึมพำในใจ ไม่ได้มองไปทางเฉินกั๋วหลง ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ คนๆ นี้เป็นคนแรกที่ตายในน้ำมือของเขาอย่างแท้จริง

ตอนที่หวงปินตาย เขาไม่ทันได้เห็น

เขาเห็นตอนที่ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตตาย แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเขา

คนที่อยู่ตรงข้ามเป็นนักศึกษาปีสอง ทั้งยังเป็นวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปี

ฟางผิงไม่ได้คิดจะฆ่าใครก่อน จิตใจของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไวขนาดนั้น

แต่เขาไม่อยากตาย!

เขาไม่รู้ว่าเฉินกั๋วหลงจะฆ่าเขาหรือเปล่า แต่เขาไม่อยากคาดเดา ดังนั้นตั้งแต่แรกเขาจึงใช้ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายต้องการฆ่าเขาก่อน เพื่อให้ตัวเองสามารถลงมือได้

——————–