ตอนที่ 589 ผมชอบเซอร์ไพรส์แบบนี้
เฉินฝานซิงชะงักนิ่งไปนิด ก่อนจะขยับสองขา ให้ค่อยๆ ก้าวเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขา
เธอยื่นช่อกุหลาบในมือไปตรงหน้าของอีกฝ่าย
เมื่อแหงนหน้าขึ้นสบเข้ากับสายตาอันร้อนรุ่มของชายหนุ่ม สีหน้าของเฉินฝานซิงก็พลันเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ”
ป๋อจิ่งชวนลดสายตาลงมองดอกไม้สดช่อหนึ่งตรงหน้า แล้วยื่นมือไปรับมันเข้ามา
จากนั้น เขาก็หันมาจ้องเธอเช่นเก่า เสียงแหบทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ผมชอบเซอร์ไพรส์แบบนี้”
จังหวะการบีบของหัวใจของเฉินฝานซิงค่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้น อีกทั้งใบหน้ายังถูกย้อมไปด้วยสีของเลือดฝาด
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็เดินอ้อมป๋อจิ่งชวนเพื่อไปปิดประตูห้อง
ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มถือช่อดอกไม้ที่กำลังหันกลับมามองเธออยู่เช่นกัน สายตาของเขายังคงไม่ละความสนใจไปจากเธอ
ไหล่ของเธอสัมผัสเข้ากับกรอบประตูเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม พลางกัดริมฝีปาก
“อย่าจ้องฉันแบบนั้นสิ…”
มุมปากของเขาคลี่ยิ้มขึ้นอีกหลายส่วน “ผมกำลังลุ้นว่าคุณยังมีอะไรที่จะทำให้ผมเซอร์ไพรส์ได้อีก”
เฉินฝานซิงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไหล่มนขยับเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหว กระดูกไหปลาร้าที่งดงามละเอียดอ่อนเองก็ขยับขึ้นลงครั้งสองครั้ง
นัยน์ตาของป๋อจิ่งชวนมืดครึ้มลงในพริบตา
เฉินฝานซิงรู้เพียงว่าหญิงสาวมักชอบที่จะให้ตัวเองผอมหน่อยๆ และถ้าจะให้ดีต้องผอมจนเห็นกระดูกไหปลาร้าที่เนียนละเอียดงดงามน่ามอง
เพราะคิดว่ามันสวยงามและดูน่าหลงใหล
อันที่จริงมันก็แค่สิ่งที่ผู้หญิงคิดไปเอง
จริงๆ แล้วไหปลาร้าเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงดูดสายตาชายหนุ่มได้มากที่สุด
โดยเฉพาะตอนที่พวกมันเปลี่ยนไปตามท่วงท่ายามที่เผลอกระทำออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ชายหนุ่มอยากจะมองพวกมันในทุกๆ อริยาบถ อยากจะให้หยาดเลือดและกระดูกทุกชิ้นในกายของหญิงสาวต้องสั่นไหวเพราะพวกเขา
อย่างเช่นในตอนนี้ ต่อให้ป๋อจิ่งชวนจะเป็นสุภาพบุรุษอีกสักแค่ไหน กระดูกไหปลาร้าคู่นั้นก็ชวนให้เขาคิดไปไกลเกินไปอยู่ดี
ในขณะที่เขากำลังถูกปลุกปั่นอยู่นั้น คล้ายว่าความงดงามยามที่มันกระเพื่อมขึ้นลงจะเพิ่มสูงยิ่งขึ้น
ทว่าเฉินฝานซิงกลับเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เธอนำช่อดอกไม้ไปวางไว้อีกด้านหนึ่ง แล้วเอื้อมมือไปช่วยปลดเนคไทและกระดุมเสื้อสูทให้กับชายหนุ่ม
“คุณแน่ใจเหรอว่าจะถอดเสื้อผมตอนนี้”
เสียงของป๋อจิ่งชวนยิ่งเอ่ยก็ยิ่งฟังดูแหบทุ้ม เสน่ห์อันเย้ายวนนั้นทำเอามือของเฉินฝานซิงต้องชะงักไปเล็กน้อย
เธอช้อนสายตาขึ้นจ้องมองเขา “ถึงบ้านแล้วคุณยังจะสวมสูทกินอาหารอยู่อีกเหรอ”
ป๋อจิ่งชวนมองเธอดึงเนคไทของตัวเองออกไปอย่างเงียบเชียบ เธอปลดกระดุมตรงอกให้เขาสองเม็ด จากนั้นจึงเดินอ้อมไปข้างหลังแล้วถอดสูทตัวนอกของเขาออกมา
ก่อนจะลากเขาเข้าห้องครัวไป
แสงเทียน มื้อค่ำ ไวน์บอร์โดหนึ่งขวด
เมื่อป๋อจิ่งชวนเห็นทุกอย่างตรงหน้า ใบหน้าอันหล่อเหล่าก็ปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่น
เธอยกแก้วก้านยาวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับไวน์แดงรสนุ่มละมุนในมือของเธอ
“สุขสันต์วันเกิด…อีกครั้งนะคะ”
คลื่นลมในดวงตาคู่นั้นดูสงบนิ่ง ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
แก้วไวน์ถูกยกขึ้น เสียงกังวานจากแก้วไวน์เป็นสัญญาณที่บอกว่ามื้อเย็นของวันนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลังจากที่ดื่มไวน์หมดไปแล้วแก้วหนึ่ง เฉินฝานซิงก็สูดหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วมองไปยังอาหารเบื้องหน้า
“ฟัวกราส์นี่ฉันปรุงเองกับมือ สั่งตรงมาจากฝรั่งเศสโดยเฉพาะเลยนะ เพิ่งจะมาถึงเมื่อบ่ายนี้เอง ชิมดูสิคะ”
มาถึงตอนนี้ ป๋อจิ่งชวนก็พอจะมองออกแล้วว่า เธอใช้ความคิดหมดไปกับงานวันเกิดของเขามากแค่ไหน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะถูกฉาบไปด้วยความเคร่งขรึมและคลุมเครือ
เมื่อมองไปยังฟัวกราส์ที่ถูกรังสรรค์อย่างตั้งอกตั้งใจตรงหน้า ป๋อจิ่งชวนก็หยิบส้อมกับมีดขึ้นมาด้วยท่วงท่าแสนสูงส่งสง่างาม
เฉินฝานซิงจ้องมองเขา ในโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่เป็นได้อย่างป๋อจิ่งชวน ที่แม้แต่ขณะรับประทานอาหารก็ยังชวนให้จับตามอง
นัยน์ตาทั้งสองข้างราวกับน้ำหมึก ปลายจมูกโด่ง เส้นริมฝีปากที่คมชัดวาดเค้าโครงให้กับริมฝีปากบางของเขา เครื่องหน้าหล่อเหลา ทุกการแสดงออกเป็นไปอย่างเหมาะสม สีหน้าเรียบเฉยอย่างเคยตัว
การไม่แสดงออกมากเกินไป คล้ายเป็นการบ่งบอกว่าบนโลกนี้ไม่เคยมีสิ่งใดที่ทำให้เขาหวาดหวั่นได้
ความเคร่งขรึมและความสุขุมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นท่าทางที่เฉินฝานซิงชื่นชมเป็นที่สุด
ตอนที่ 590 ของขวัญวันเกิด
หลังมื้ออาหาร เฉินฝานซิงดึงมือป๋อจิ่งชวนไปหยุดตรงหน้าของหน้าต่างฝรั่งเศส
เธอหยิบ touch-your-heart เซตหนึ่งบนหลังเปียโนที่ซื้อไปก่อนหน้านี้มาส่งให้เขา
“เตรียมเอาไว้นานแล้วละค่ะ เข็มกลัดนี่ของฉัน คัฟลิงค์คู่นี้ของคุณ เครื่องประดับสองอย่างนี้ อยู่ใกล้การเต้นของหัวใจมากที่สุด ชิ้นหนึ่งอยู่ที่อกของฉัน ส่วนอีกชิ้นอยู่ตรงชีพจรของคุณ…”
เฉินฝานซิงเปิดตลับนั้นออกดู เมื่อเห็นเครื่องประดับคู่หนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น ใบหน้าของเธอก็พลันถูกประดับไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
“หากเป็นเมื่อก่อน ฉันคงไม่ใส่ใจคำพูดพวกนี้นัก ฉันไม่ใช่คนโรแมนติกอะไร เพราะงั้นอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้มันออกจะดูเพ้อเจ้อไปสักหน่อย ในตอนนั้นฉันมักจะปฏิเสธเสมอว่า เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายขนาดนั้น ในความเป็นจริง การที่คนสองคนอยู่ด้วยกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่ทิ้งกันไปไหน สิ่งเหล่านี้ต่างหากล่ะที่สำคัญ
เรื่องที่เพ้อฝันเสียเวลาแบบนี้ สำหรับฉันแล้ว ฉันว่ามันไม่จำเป็น มันก็แค่วัตถุพยาน ส่วนมากก็มีไว้เพื่อให้คนอื่นมองดูเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้…ฉันอยากจะเก็บเอาสัญลักษณ์ของความดีงามทุกอย่างบนโลกนี้มาเป็นของตัวเอง เพื่อมอบให้เป็นของขวัญระหว่างเราแค่สองคน เหมือนกับแหวนและหัวใจของคุณ ฉันอยากให้มันมั่นคงตลอดไป เหมือนกับคัฟลิงค์คู่นี้และจังหวะหัวใจของคุณ และฉันเองก็ยังอยากจะรู้อัตราการเต้นของมันอีกด้วย…”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เฉินฝานซิงก็เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง พลางยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง “คุณว่า ฉันโลภเกินไปรึเปล่า”
เธอสูดหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะวางคัฟลิงค์คืนกลับลงไปในตลับอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ป๋อจิ่งชวนกลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้
เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมอง ความรักและความอ่อนโยนกำลังตลบอบอวลอยู่ในดวงตาพร่างพราวคู่นั้น อัตราการเต้นของหัวใจของป๋อจิ่งชวนทะยานขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่ง ความตื่นเต้นและประหลาดใจเข้ามาเยือนภายในหัวใจเขา
“กว่าผมจะรอให้คุณพูดอะไรออกมาเยอะแยะมากมายขนาดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ผมชอบความโลภของคุณ คุณโลภต่อไปได้ และโลภให้มากกว่านี้”
นัยน์ตาพร่างพราวของเธอสั่นระริก วินาทีต่อมา เธอก็คลี่ยิ้มขึ้นพลางส่ายหน้า “ขืนเป็นแบบนั้นคุณจะแย่เอานะคะ ฉันไม่จำเป็นต้องผูกมันคุณเอาไว้ให้แน่นขนาดนั้นหรอก”
“ผมรวยมาก”
จู่ๆ ป๋อจิ่งชวนก็พูดโพล่งขึ้นมา ทำเอาเฉินฝานซิงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ว่าไงนะ”
ป๋อจิ่งชวนหลุบสายตาลงต่ำ นัยน์ตาสุดล้ำคู่นั้นจองจำเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา “ผู้ชายมีฐานนะจะเหลวไหลง่ายมาก ผมรวยมาก เพราะงั้นคุณต้องพยายามมัดผมไว้ให้แน่นๆ”
เฉินฝานซิงขำไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “มีใครที่ไหนบ้างที่พูดถึงตัวเองแบบนี้”
“ก็มันจริง” ป๋อจิ่งชวนเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น
ซึ่งความเอาจริงเอาจังนี้ของเขาทำเอาเฉินฝานซิงหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ไหว “ฉันรู้ค่ะว่ามันจริง แต่ว่าคุณเองก็เป็นคนแบบนั้นด้วยรึไง”
ป๋อจิ่งชวนมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ใช่”
เฉินฝานซิงนิ่งอึ้ง พลางมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “คุณ…”
“หากผมบอกว่าไม่ใช่ คุณก็คงไม่เก็บไปใส่ใจ”
ป๋อจิ่งชวนสารภาพความจริงออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
เฉินฝานซิงกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว “คุณพูดแบบนี้เท่ากับคุณบอกว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้นไปแล้วไม่ใช่รึไง”
“ไม่เสมอไป ใครจะไปรู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เกิดผมเปลี่ยนไปจริงๆ ล่ะ เพราะงั้นคุณต้องจับผมไว้ให้ดีๆ เข้าใจไหม ไม่งั้นหากตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นมา คุณจะไปร้องไห้กับใคร”
ป๋อจิ่งชวนยังคงมีท่าทีหนักแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยคำตักเตือน
จะว่าไปที่เขาพูดมาก็ถูก
เฉินฝานซิงพยักหน้าพลางครุ่นคิด ก่อนจะน้อมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด แผ่นหลังตั้งตรงของชายหนุ่มชายหนุ่มก็ค่อยๆ โน้มลงมา แนบหน้าผากของเขาเข้ากับหน้าผากของเธอ
หัวใจเธอกระตุกด้วยความตื่นตกใจ ก่อนที่จังหวะหัวใจของเธอจะเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
เสียงทุ้มต่ำและราบเรียบของป๋อจิ่งชวนค่อยๆ แทรกผ่านเข้าไปในอากาศ และซึมซาบเข้าไปสู่หัวใจเธอเธอ